The Divine Nine Dragon Cauldron 345

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 345 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือหยูรู้สึกว่าสถานการณ์นี้อันตรายมาก จักรพรรดิสัตว์อสูรยังปรากฏตัวออกมา…นี่มันอันตรายแบบใดกัน?

 

“ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องรายงานท่านเจ้าตำหนัก ข้าฆ่าผู้ตรวจการไป่ฮีไปแล้ว”

 

หลิงเสี่ยวเทียนประหลาดใจ แววตาเขาเป็นประกาย

 

“แม้ไอ้กาเฒ่านั่นจะรอดจากสมบัติเทพไปได้ มันก็ยังกล้าไปทำร้ายเจ้าอีกรึ?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนพูดอย่างเย็นชา

 

“เขาควรจะยินดีนักที่ได้ตายด้วยมือเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงจะตามไปฆ่ามันเองแล้ว!”

 

ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าการที่เขาฆ่าไป่ฮีไปจะไม่เป็นปัญหา

 

“ถ้าท่านเจ้าตำหนักไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับเขตหยินหยู ข้าไม่ได้กลับไปหลายเดือน สงสัยนักว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร”

 

ซือหยูเตรียมเดินทาง

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนหยุดซือหยู

 

“เจ้าจำได้หรือไม่ ก่อนที่จะไปฝึก ข้าพูดอะไรกับเจ้า?”

 

เอ๋? ซือหยูพยายามนึกและจำได้ในที่สุด

 

“ท่านเจ้าตำหนักบอกว่าหลังจากที่ข้ากลับจากการฝึก ท่านจะให้งานสำคัญกับพวกเรา”

 

หลิงเสี่ยวเทียนยิ้มและพยักหน้า

 

“ใช่แล้ว การฝึกของพวกเจ้าก็เป็นการเตรียมเพื่อสิ่งนี้”

 

“ท่านเจ้าตำหนักโปรดชี้แนะ”

 

ซือหยูยังคงหนักแน่น

 

หลิงเสี่ยวเทียนยิ้ม

 

“เจ้าไม่ต้องกังวลใจนัก เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดนัก เจ้าแค่ต้องเข้าร่วมงานประชุมเท่านั้น”

 

“งานประชุมใดรึ?”

 

ซือหยูสับสน

 

“งานประชุมแห่งทวีปของวิหคเพลิง!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนตอบ

 

ประชุมวิหคเพลิงรึ? ซือหยูตกอยู่ในภวังค์

 

“มันเป็นงานแบบใดรึ งานนี้ดังมากในทวีปใช่หรือไม่?”

 

ถ้างานนี้มีชื่อของทวีปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย…มันจะต้องเป็นงานที่มีคนมหาศาลแน่อน

 

หลิงเสี่ยวเทียนเบ้ปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าซือหยูมาจากเกาะอันห่างไกล เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่คุ้นเคยกับงานใหญ่ๆในทวีป

 

“งานประชุมวิหคเพลิงจะจัดขึ้นในทุกสิบปี คนที่ได้รับเชิญล้วนเป็นชายหนุ่มยอดฝีมือแห่งยุค มีบุรุษที่ยิ่งใหญ่มากมายมารวมตัวกัน”

 

ซือหยูผิดหวังเล็กน้อย

 

“งานประลองอีกแล้วรึ?”

 

ซือหยูไม่ได้สนใจงานประลองอีกแล้ว

 

ในเวลานี้ การตั้งใจกับการบ่มเพาะพลังนั้นสำคัญกับซือหยูมากกว่า

 

“ไม่ใช่หรอก!”

 

คำตอบของหลิงเสี่ยวเทียนนั้นคาดไม่ถึง

 

“มันคือการจับคู่ของชายหญิงต่างหาก”

 

งานจับคู่งั้นรึ? ซือหยูโชคดีที่ยังไม่พลั้งปากออกไป…สรุปแล้วมันคืองานจับคู่นี่เอง

 

หากเป็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งสนใจน้อยยิ่งกว่าเดิม

 

“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักสำหรับน้ำใจ แต่ข้าคิดว่าข้าไม่…”

 

เขามีเซี่ยนเอ๋ออยู่แล้ว เขาจะเข้าร่วมงานจับคู่ทำไมกัน?

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ห่วงว่าคู่หมั้นเจ้าจะถูกคนอื่นชิงไปหรอกรึ?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนแสร้งยิ้ม

 

ซือหยูตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที

 

“เหล่าบุรุษในทวีปจะถูกจับคู่กับคนของวิหคเพลิงงั้นรึ?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า

 

“ใช่แล้ว หลายยุคสมัยมาแล้ว พวกวิหคเพลิงนั้นรับแค่ศิษย์ที่เป็นสตรี ดังนั้นพวกเขาจึงขาดบุรุษ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหล่าสตรีที่มีพลังอันตระการตาล้วนต้องแต่งงานออกไปจากพวกเขา”

 

“ดังนั้นเจ้าแห่งวิหคเพลิงจึงต้องเริ่มงานประชุมวิหคเพลิงเพื่อทำให้เหล่าศิษย์สตรีได้หาคู่ครอง การจัดงานนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้เก็บศิษย์ไว้ในสำนัก ศิษย์เหล่านั้นยังได้บุรุษจากภายนอกที่โดดเด่นมาอีกด้วย ไม่ต่างอะไรกับขว้างศิลาก้อนเดียวได้วิหคสองตัว”

 

“และเหล่าชายหนุ่มในทวีปยังมุ่งมั่นที่จะหาคู่ครองจากวิหคเพลิงอีกด้วย พวกวิหคเพลิงคือที่ที่เหล่าสตรีที่มีพลังมหาศาลมารวมตัวกัน เช่นกัน…พวกนางทุกคนล้วนมีรูปลักษณ์งดงาม!”

 

“ในงานใหญ่นี้ ถ้ามีคนไปยุ่งกับคู่หมั้นเจ้าและทางฝั่งวิหคเพลิงอนุมัติในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับนางก็จะถูกคณะวิหคเพลิงทำลายสิ้น ในตอนนั้นนางก็จะกลายเป็นคู่ครองของคนอื่น เจ้าอยากให้เกิดเรื่องเช่นนั้นรึ?”

 

ซือหยูตกใจ

 

“แต่สตรีเหล่านั้นก็ต้องยินยอมด้วยไม่ใช่รึ?”

 

หลิงเสี่่ยวเทียนส่ายหัว

 

“แน่นอนว่าไม่! ยากนักที่การยินยอมทั้งสองฝ่ายจะเกิดขึ้น มิเช่นนั้นพวกวิหคเพลิงจะจัดงานนี้ขึ้นมาทำไมกันเล่า?”

 

“หากบุรุษแสดงพลังออกมา เหล่าหญิงสาวที่เขาสนใจก็จะหมั้นกับเขา ส่วนเรื่องความยินยอมนั้นไม่มีความหมายถ้าจะพูดต่อหน้าสำนัก! ดังนั้นแล้ว ถ้ามีคนที่คู่ควรกับคู่หมั้นเจ้าปรากฏตัว ทางวิหคเพลิงก็ไม่สนใจที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนาง”

 

ซือหยูตกใจมาก ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ของเซี่ยนเอ๋อ รูปลักษณ์ของนางนั้นน่ารักราวกับนางไม้…นางคงจะทำให้เหล่ายอดฝีมือต้องสู้เพื่อที่จะได้นางมาครอง

 

เมื่อคนที่มีคุณสมบัติเพรียบพร้อมปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่รอคอยซือหยูอยู่ก็มีเพียงแต่การหมั้นที่ไร้ความหมาย

 

แม้เซี่ยนเอ๋อจะไร้เสียงสาและบริสุทธิ์ผุดผ่อง นางก็หนักแน่นและดื้อรั้น ถ้านางถูกบังคับให้ยอมรับ…นางก็คงจะฆ่าตัวตายเพื่อให้เรื่องราวจบลง

 

ก่อนหน้านี้ที่สำนักหลิวเซี่ยน ในตอนที่นางถูกบังคับให้แต่งงานกับเคาฉวน มีหลายครั้งที่นางอยากจะฆ่าตัวตาย

 

ซือหยูไม่อยากจะให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว

 

เซี่ยนเอ๋อคือคู่หมั้นของเขา และจะไม่มีใครแย่งนางไปจากเขาได้!

 

“ดูเหมือนเจ้าจะทำใจได้แล้วสินะ  อีกไม่กี่วัน จงเตรียมตัวและบ่มเพาะพลัง ในงานนั่นจะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดแน่”

 

ซือหยูตอบ

 

“การต่อสู้เป็นอย่างไรรึ? หรือว่าจะเป็นการเอาคนที่สนใจใครคนใดคนหนึ่งมาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิง?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า

 

“ใช่แล้ว จะมีรอบคัดเลือกในรอบแรก ร้อยลำดับแรกจะมีสิทธิ์เลือกสตรีที่พวกเขาสนใจ จากนั้นถ้ามีมากกว่าหนึ่งคนที่สนใจคนเดียวกัน คนเหล่านั้นก็จะต้องสู้กัน คนที่มีพลังสูงกว่าจะได้สิทธิ์ในสตรีผู้นั้น”

 

“ในงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ทุกกองกำลังใจทวีปจะส่งชายหนุ่มที่ตระการตาที่สุดเข้าร่วมงาน หลายปีมาแล้ว นี่เป็นการประลองของเหล่าชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ในเบื้องหน้าก็แค่การหาคนในการวิวาห์สร้างครอบครัว แต่ความจริงแล้วมันคืองานประชุมครั้งใหญ่ที่ทุกสำนักจะส่งบุรุษไปเพื่อแสดงพลังของสำนัก”

 

“เกียรติยศและชื่อเสียงที่พวกเจ้าได้จะส่งผลถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรทมิฬ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าร่วมงานนี้อย่างจริงจัง”

 

แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

 

“ท่านเจ้าตำหนัก ไม่ต้องห่วง ข้าจะต่อสู้ด้วยพลังสูงสุดของข้า!”

 

ถึงจะไม่พูดถึงการตอบแทนพระคุณของหลิงเสี่ยวเทียน แต่ถ้าเพื่อเซี่ยนเอ๋อ…ซือหยูจะสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี!

 

“ดี เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถอะ อีกสามวัน เจ้า รองลำดับหนึ่ง รองลำดับสอง รองลำดับสาม จะเป็นตัวแทนของตำหนักรองแห่งอาณาจักรทมิฬไปเข้าร่วมงานประชุมวิหคเพลิง”

 

ซือหยูพยักหน้าและจากไป

 

ครึ่งวันต่อมา ที่เขตหยินหยู

 

ที่เมืองหยินหยู นอกตำหนักนั้นเงียบเชียบ

 

กลุ่มทหารยืนอยู่ในตำหนักอย่างน่าเกรงขาม

 

ที่นี่มีชายหนุ่มหัวล้านที่อายุประมาณยี่สิบห้าปี เขาสวมชุดหนังสัตว์ แววตาเขาดุจดั่งระฆังทองแดง

 

เพียงมองก็รู้สึกถึงความป่าเถื่อน

 

เขายืนมือไพล่หลังอยู่นอกตำหนักและมองไปรอบๆ กลุ่มทหารไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

 

และพวกเขาก็ยังไม่กล้าเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงๆ

 

นั่นก็เพราะว่าตัวตนอันน่ายกย่องของเขา!

 

“ท่านรองเจ้าตำหนักลำดับสาม เจ้าตำหนักหยินหยูยังไม่กลับมา ถ้าท่านมีเรื่องอะไร โปรดฝากให้ข้าพูดเองเถอะ”

 

ฉีหยุนเซี่ยงใจเย็น

 

ชายหนุ่มหัวโล้นที่อยู่ตรงหน้านางคือรองเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เขาเป็นลำดับสามในบรรดารองเจ้าตำหนัก!

 

เมื่อครู่ เขาเข้ามาในเขตหยินหยูและขอให้ซือหยูออกมาเจอเขา

 

หลังจากที่ได้ยิน เสี่ยวกวงก็เหลือบตามองนาง

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงคิดว่าจะมาฝากข้อความให้ข้าได้?”

 

“ข้าจะพูดอีกครั้ง พาเขาออกมาพบข้า!”

 

เสี่ยวกวงพูดย้ำ

 

ท่าทางของฉีหยุนเซี่ยงในตอนนี้มองได้ทั้งอ่อนน้อมและหยิ่งหยอง

 

“ข้าจะพูดอีกครั้งเช่นกัน เจ้าตำหนักหยินหยูมิได้อยู่ในตำหนัก ถ้าท่านไม่คิดจะให้ข้าฝากเรื่อง ท่านก็รอข้างนอกต่อไปเถิด”

 

เสี่ยวกวงคิ้วกระตุก

 

“เจ้าบอกให้ข้ารอเขางั้นเรอะ? ไอ้เด็กน้อยไม่เจนโลกนั่นมีสิทธิ์เช่นนั้นรึ?”

 

“ข้าอยากเจอมัน ถึงมันจะอยู่ในส่วนที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลก มันก็ต้องออกมาเจอข้า! แล้วเขาก็ยังฝึกฝนกับพวกเจ้าทุกคน แม้พวกเจ้าจะกลับมาแล้วเขาจะไม่อยู่ได้ยังไง? อย่ามาทดสอบความอดทนของข้า ลากมันออกมา!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงส่ายหัวเบาๆ นางมิอาจเข้าใจคนที่เข้ามาเพื่อหวังจะก่อเรื่อง

 

“ปิดประตู!”

 

นางหันกลับเข้าตำหนักและสั่งอย่างหนักแน่น

 

เสี่ยวกวงที่ถูกฉีหยุนเซี่ยงเมินนั้นตัวแข็งทื่อ เขาไม่คิดว่าสตรีในตำหนักหยินหยูจะแข็งกร้าวเช่นนี้ นางทำให้เขาดูแย่ต่อหน้าทุกคน!

 

เขาโกรธแค้น

 

“เป็นแค่สาวใช้แต่บังอาจดูหมิ่นข้างั้นเรอะ! เจ้าไม่เห็นข้าในสายตาเลยรึ?”

 

เสี่ยวกวงหรี่ตามองรอบตำหนักหยินหยู แววตาเขาเย็นชา

 

“ข้าคิดว่าตำหนักหยินหยูแห่งนี้ ทั้งเจ้าตำหนักและข้ารับใช้ ทุกอย่างล้วนขาดการอบรม!”

 

“หยินหยู ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด เจ้าถึงปฏิเสธที่จะมาเจอข้า!”

 

ปั้ง–

 

เสี่ยวกวงเตะประตูใหญ่ของตำหนัก ประตูใหญ่ไม่ต่างจากกระดาษต่อเขาที่เป็นอำมฤตระดับสามขั้นกลาง

 

ประตูยักษ์กระเด็นลอยไปพันศอกในตำหนัก

 

“แม่นางฉี ระวัง!”

 

สีหน้าของกลุ่มทหารเปลี่ยนไป พวกเขาดึงฉีหยุนเซี่ยงหลบอย่างเร่งรีบ

 

แต่ทหารหลายคนที่อยู่ในเส้นทางของประตูยักษ์ก็มิอาจหลบได้ทัน

 

อ๊าก—

 

เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นตามๆกัน เสียงร้องระงมดังอย่างต่อเนื่อง

 

ทหารขอบเขตมังกรสามคนถูกบดขยี้ด้วยประตูยักษ์

 

ทหารที่อยู่ตรงกลางนั้นตายอย่างอนาถ

 

ส่วนอีกสองคนที่อยู่ซ้ายขวานั้นถูกบดขยี้ไปครึ่งท่อน พวกเขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

 

ภาพการนองเลือดทำให้เหล่าข้ารับใช้สตรีกรีดร้องด้วยความกลัวก่อนจะรีบหนี

 

กลุ่มทหารโกรธแค้นแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรกับเสี่ยวกวง

 

เสี่ยวดวงมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบแต่ก็ไม่ได้เหลือบมองทหารทั้งสามแม้แต่ครั้งเดียว

 

“ก็แค่พวกไร้ประโยชน์! เจ้าตำหนักที่ไร้ความสามารถมีได้แค่พวกคนไร้ค่านี้เท่านั้น!”

 

เสี่ยวกวงพูดหยามอย่างเยือกเย็น เขาก้าวเข้าไปในตำหนัก

 

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงที่เพิ่งได้สติจากความตกใจพูดขึ้น นางหายใจเร็ว ยากที่จะบอกว่าโกรธเกรี้ยวหรือตกใจ

 

“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง! โปรดระมัดระวังการกระทำหน่อย! ท่านบุกเข้าในและสังหารคนบริสุทธิ์ เจ้าตำหนักหยินหยูจะไม่พอใจแน่!”

 

ซือหยูคงจะเกินกว่าไม่พอใจ…เขาคงจะโกรธแค้นอย่างแน่นอน!

 

“นั่นมันมุกตลกของเจ้ารึ? ข้าต้องสนใจว่ามันจะรู้สึกอย่างไรด้วยรึ?”

 

เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงก้าวเข้าไปในสำนัก เขามองรอบๆ และส่งพลังวิญญาณห้าสายใส่ทุกที่ในตำหนัก

 

ครืน—

 

ปั้ง—

 

โครม—-

 

ฝุ่นควันกระจายเติมเต็มนภา ตำหนักพังทลายลง

 

การโจมตีของเขาทำให้กว่าครึ่งของตำหนักหยินหยูกลายเป็นซาก!

 

ส่วนอีกครึ่งที่เหลือคือในส่วนที่พักข้ารับใช้

 

“เขาไม่อยู่จริงๆงั้นรึ?”

 

เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงคิ้วกระตุก

 

ฉีหยุนเซี่ยงมองตำหนักหยินหยูที่กลายเป็นซาก นางเดือดพล่านไปด้วยความโกรธ

 

“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เจ้าจงใจทำเช่นนี้นี่!”

 

“มิได้มีเรื่องผิดใจต่อเจ้าตำหนักหยินหยู แล้วทำไมเจ้าถึงมารังแกเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้?”

 

เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหันไปมองด้วยแววตาดั่งพยัคฆ์

 

“ข้าต้องให้คนรับใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ามาตั้งคำถามด้วยรึ?”

 

“ถ้าเขาไม่อยู่ก็บอกให้เขามาเจอข้าในสามวัน มิเช่นนั้น มันจะต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา!”

 

เสี่ยวกวงก้าวออกไป

 

เมื่อเขาผ่านฉีหยุนเซี่ยง เขาก็คว้าคอของนางเอาไว้

 

“ส่วนเจ้า เจ้าจะตามข้ากลับไปที่เขตเสี่ยวกวง ข้าจะไปอบรมวินัยเจ้าก่อนที่หยินหยูจะกลับมา!”

 

เขาจับฉีหยุนเซี่ยงเป็นตัวประกัน!

 

เขาหยาบคายจนทหารธรรมดาไม่กล้าจะต่อกร

 

“เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เจ้าไม่คิดว่าการกระทำของเจ้ามันไม่สมกับฐานะไปหน่อยรึ?”

 

ในตอนนั้น เสียงของชายชราดังขึ้น เป็นเสียงของฟางไห่เซิง เขาประสานหมัด

 

เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงหันไปมองทันที เขาปัดมือเบาๆ สายลมรุนแรงซัดใส่ฟางไห่เซิงไปหลายร้อยเมตรก่อนที่เขาจะกระแทกกำแพง

 

โลหิตเริ่มไหลออกจากมุมปากของฟางไห่เซิง เขาล้มลงกับซากโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย

 

“ผู้เฒ่าฟาง!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงตะโกนร้อง แววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง

 

“เจ้ามันเดรัจฉาน!!”

 

เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงถอนหายใจแรง

 

“ถ้าเจ้าไม่รู้จักรับน้ำใจ เจ้าก็จะตายในไม่ช้า ทำไมไม่ให้ข้าฆ่ามันก่อนที่เสบียงของอาณาจักรทมิฬจะสูญเปล่าเล่า?!”

 

“ไป!”

 

เจ้าตำหนักเสี่ยวกวงเริ่มเดินออกจากตำหนักหยินหยู

 

แต่ในตอนนั้นเอง ที่ขอบนภา เสียงดังอันทรงพลังราวกับเสียงสวรรค์ได้ดังขึ้น

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าตำหนักเสี่ยวกวง เจ้าฆ่าคนของข้า ทำลายตำหนักข้า แล้วยังเอาคนของข้าไปเป็นตัวประกัน เจ้ากำลังอ้อนวอนให้ข้าฆ่าเจ้างั้นรึ?”

 

ที่หลายสิบลี้ ซือหยูใช้พลังดวงตาจ้องมองและเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ดวงตาอันลุ่มลึกถูกแผดเผาไปด้วยเพลิงจิตสังหาร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด