The Divine Nine Dragon Cauldron 350

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 350 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขาคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี ฐานพลังของเขาอยู่ที่อำมฤตระดับสี่!

 

ซือหยูเคยเห็นพลังของอำมฤตระดับสี่มาก่อนแล้ว

 

ในคลื่นสัตว์อสูรจากป่าทมิฬ ราชาวิหคน้ำแข็งได้สั่นคลอนธรณี เพียงแค่ลมหายใจก็ทำลายทุกสิ่งในระยะสามร้อยลี้

 

ซือหยูจดจำเหตุการณ์อันน่ากลัวนั้นได้ขึ้นใจ

 

บอกได้เลยว่าอำมฤตระดับสี่ขั้นคือระดับใหม่ของเหล่ายอดฝีมือ

 

นั่นคือระดับที่ใกล้เคียงกับเทพ

 

ทุกการเคลื่อนไหวมีพลังอันมหาศาล แข็งแกร่งกว่าอำมฤตระดับสามอย่างมาก

 

นี่คือรองเจ้าตำหนักลำดับสอง หลิวลี่งั้นรึ?

 

“เจ้าตำหนักหลิวลี่จริงๆด้วย!”

 

กลุ่มทหารอุทานอย่างตกใจ แววตาพวกเขานอบน้อมในทันที

 

พวกเขาบาดเจ็บเพราะสัตว์อสูรของหลิวลี่แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะโอดครวญ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะรู้สึกชิงชังในจิตใจ

 

เมื่อเฟิงฉิง ซื่อเหยา กับเสี่ยวกวงโจมตีพวกเขา พวกเขาโกรธเกรี้ยวแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

 

แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะโกรธ!

 

“เสี่ยวกวงอยู่นี่หรือไม่?”

 

หลิวลี่ใช้มือทั้งสองเท้าเอว

 

รูปลักษณ์ของเขาดูงดงามเมื่ออาบแสงตะวัน

 

แต่สีหน้าของเขาไร้ชีวิตชีวา ไร้ซึ่งความสุขและทุกข์

 

ซือหยูสัมผัสถึงความหยาบช้าได้จากในหน้าไร้อารมณ์นั้น

 

ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าตอบ

 

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ หยินหยู!”

 

หลิวลี่ก้มลงมองซือหยู

 

“โอ้ เจ้าพูดกับข้าหรอกรึ?”

 

หลิวลี่ไม่มองซือหยูด้วยซ้ำในตอนที่พูด

 

“ใช่! ข้าพูดกับเจ้า จอบมา!”

 

หลิวลี่พูดอย่างธรรมดาแต่ก็ดูเป็นคำสั่ง

 

“ทำไมข้าต้องตอบเจ้าล่ะ?”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

แววตาของหลิวลี่ไร้อารมณ์

 

“ข้าไม่มีเวลามากแล้วก็ไม่อยากจะให้เจ้าเสียเวลา ถ้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เขาเป็นหรือตาย?”

 

บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าการเสวนากับซือหยูนั้นเป็นเรื่องเสียเวลา

 

“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าเสียเวลา เจ้าจะถามข้าทำไมเจ้า? เจ้าคิดว่าข้าต้องตอบเจ้าด้วยรึ?”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

หลิวลี่ส่ายหน้า เขาไม่มองซือหยู

 

“เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

 

“โอกาสที่ข้าจะชี้แนะเจ้า!”

 

จะมีรองเจ้าตำหนักอื่นใดกันที่ไม่แสดงความนับถือต่อหลิวลี่?

 

แต่หลิวลี่ก็ไม่เคยสนใจพวกเขา เขาแสดงเพียงท่าทางหยิ่งยโสเท่านั้น

 

ยากที่จะทำให้เขาได้เหลียวมอง การพูดคุยนั้นยากยิ่งกว่า

 

แล้วไหนจะเป็นโอกาสที่ได้ประลองกับเขาและได้คำชี้แนะ?

 

พูดได้เลยว่าเสี่ยวกวงที่เป็นลำดับสามก็ปรารถนาที่จะประลองกับเขาเพื่อได้รับคำชี้แนะ

 

ซือหยูอยากจะหัวร่อเมื่อได้ยิน…

 

แต่ทุกคนนั้นนับถือเขา เขาอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่จนเกินไปหน่อย

 

“เอาโอกาสนั่นให้คนอื่นไปเถอะ ข้าไม่ต้องการหรอก”

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

หลิวลี่เหลือบตามอง

 

“เจ้าคิดเช่นนั้นก็เพราะว่าเจ้าอยู่ในแอ่งน้ำ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นเส้นทางของผู้บ่มเพาะพลังที่แท้จริง”

 

หลิวลี่พูดจบและสั่งวิหคครามให้ออกเดินทาง

 

“ไปเถอะ เสี่ยวกวงตายแล้ว เขาตายไปก็ไม่คู่ควรแก่การเวทนาด้วยซ้ำถ้าต้องตายเพราะการต่อสู้กับพวกอ่อนแอ”

 

ในสายตาเขา การต่อสู้ระหว่างซือหยูกับเสี่ยวกวงนั้นไร้ความหมายใดนอกจากการต่อสู้ของพวกอ่อนแอ!

 

ความหยาบคายของคนคนนี้นั้นน่าตกใจยิ่งนัก

 

สุดท้ายหลิวลี่ก็หันมามองซือหยู

 

“เดินทางได้ พวกเขาจะไปเจอกันที่เขตวิหคเพลิง อย่าสร้างปัญหาให้ข้า ข้าไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องไร้สาระของเจ้า”

 

ซือหยูหัวเราะ หลิวลี่คิดว่าซือหยูจะขอให้เขาช่วยเมื่อเจอปัญหาในเขตวิหคเพลิง!

 

“ไปเถอะ!”

 

หลิวลี่กระซิบกับวิหคคราม เขาเตรียมจะเดินทาง

 

“เดี๋ยว!”

 

ซือหยูตะโกน

 

“เจ้าเสร็จธุระของเจ้าแล้ว แต่ข้าน่ะยัง!”

 

หลิวลี่ไม่แม้แต่หันมอง

 

“พูดมา เจ้ามีเวลาแค่นับสาม”

 

ซือหยูมองรอบๆและพูดอย่างเยือกเย็น

 

“เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรกับคนที่เจ้าทำให้บาดเจ็บสักหน่อยรึ?”

 

เขาบังคับวิหคครามมาที่เมืองหยินหยูทำให้คนมากมายต้องบาดเจ็บ จะอย่างไรก็เป็นความผิดของเขา

 

“ไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่หรือไม่?”

 

หลิวลี่พูดอย่างใจหนักแน่น

 

“พูดมาซะ เจ้าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?”

 

หลิวลี่สั่งวิหคครามให้บินขึ้นและตอบกลับ

 

“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นข้าก็จะไป ส่วนเรื่องที่เจ้าพูด…นั่นมันก็แค่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของมัน มันแค่ทำร้ายมิได้สังหาร บ่งบอกอยู่แล้วว่ามันถูกควบคุมมาอย่างดี เจ้าควรจะขอบคุณที่มันไม่ได้ฆ่าคนของเจ้า”

 

“เอาล่ะ ข้าจะไปเจอเจ้าที่เขตวิหคเพลิง จงจำไว้ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ข้า!”

 

เขาพูดจบพร้อมกับวิหคครามที่บินทะลวงนภาลับขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

ความเร็วของมันเหนือว่าอำมฤตระดับสี่

 

ซือหยูใช้พลังดวงตาแต่ก็เห็นแค่ภาพติดตาในระยะร้อยห้าสิบลี้ ซือหยูมองตามมันไม่ทัน

 

“หลิวลี่!”

 

ซือหยูโกรธแค้น

 

ที่หลิวลี่บอก เขาบอกว่าการที่สัตว์ขี่ของเขาไม่ได้ฆ่าใครก็เป็นการแสดงความเมตตาแล้ว ซือหยูควรจะขอบคุณที่มันทำร้ายแค่คนหลายคนเท่านั้น!

 

ฉีหยุนเซี่ยงโกรธเกรี้ยว

 

“หยาบคายนัก! ทำไมเขาไม่พูดให้พวกเราขอบคุณซะล่ะ?”

 

ซือหยูมองไปในทิศทางของวิหคคราม

 

“เราจะไปตอบแทนมันที่งานชุมนุมวิหคเพลิง คนเช่นนี้ต้องสั่งสอนด้วยหมัดเท่านั้น เหตุผลใดก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระกับมัน”

 

“เวลาเริ่มน้อยลงแล้ว ไปกันเถอะ”

 

ซือหยูคว้าตัวฉีหยุนเซี่ยงและบินขึ้น

 

ครึ่งเดือนถัดไป

 

พวกเขาเดินทางมาสามล้านลี้จนถึงเขตวิหคเพลิง

 

ที่นี่เป็นเขตที่อยู่กึ่งกลางของทวีป ที่นี่จะเป็นฤดูคิมหันต์ตลอดทั้งปีเพราะถูกรายล้อมด้วยเทือกเขา

 

หมอกปกคลุมเหล่าภูเขาโดยรอบอย่างงดงาม

 

ที่นี่เต็มไปด้วยทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตนานาชนิด

 

“เขตวิหคเพลิงนั้นเป็นดินแดนของทวีปที่ได้รับพรจากธรรมชาติ พันธมิตรร้อยดินแดนเทียบไม่ได้เลย”

 

ฉีหยุนเซี่ยงประหม่า

 

ซือหยูพยักหน้า

 

“ใช่แล้ว! แต่ที่นี่ชื้นจนเกินไป นั่นจะทำให้เกิดพิษโดยรอบเขตเทือกเขา พวกสัตว์มีพิษน่าจะปล่อยไอพิษออกมา พิษนั่นอาจจะซึมมากับไอวารีทำให้เป็นพิษที่อันตราย”

 

ซือหยูพูดจบและชี้ไปที่ป่าเบื้องล่าง เขาชี้ไปยังแมลงทมิฬบนต้นไม้

 

“แมลงพิษสวรรค์!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงตกใจ

 

“แมลงนี่มีพิษร้ายฆ่าได้แม้อำมฤตระดับหนึ่ง มูลค่าของมันสูงมากในร้อยดินแดน เทียบเท่ากับวิชาระดับสมบัติทั้งตำรา!”

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวนะ เจ้าดูดีๆสิ!”

 

ฉีหยุนเซี่ยงมองอีกครั้งและพบว่ามีดินสีดำใต้ต้นไม้ที่กำลังขยับอยู่

 

หากมองดีๆจะพบว่านั่นไม่ใช่ดินแต่เป็นฝูงแมลงพิษสวรรค์!

 

มันปกคลุมพื้นที่หนึ่งร้อยเมตร จำนวนนั้นมากกว่าพันตัว!

 

“นะ….ถ้ามีแมลงพิษสวรรค์มากมายขนาดนี้ที่ร้อยดินแดนก็คงจะเกิดภัยพิบัติแน่ ไม่มีที่ใดนอกจากเมืองพันธมิตรที่จะรับมือมันได้เลย!”

 

แต่ฝูงแมลงพิษเหล่านี้ก็พบได้มากมายในเขตวิหคเพลิง

 

ซือหยูเลิกคิ้ว แม้ถ้าเขตวิหคเพลิงจะมีเอกลักษณ์ มันก็ผิดปกติที่จะมีสัตว์มีพิษมากมายรวมตัวกันในที่เดียว

 

เขาใช้พลังดวงตามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะร้อยห้าสิบลี้

 

หลังจากที่สังเกตรอบๆ ใบหน้าเขาก็เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด