The Divine Nine Dragon Cauldron 361

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 361 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เดี๋ยวก่อน!”

 

มู่เทียนฟางเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้อย่างดี แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

“พิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย ว่ากันว่าเจ้ามีปัญญาตั้งแต่แรกเกิด เจ้าเข้าสู่การบ่มเพาะพลังตั้งแต่สามขวบ เจ้าเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เก้าขวบ แล้วยังทะลวงขอบเขตมังกรที่อายุสิบสี่ แล้วอายุสิบแปดเจ้าก็ได้เป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูง”

 

“ทั้งชีวิตของเจ้าเป็นตำนาน! มีข่าวว่าตำแหน่งรองเจ้าตำหนักลำดับสิบเหลือทิ้งไว้ให้เจ้า แต่เจ้าปฏิเสธ”

 

“ข้าได้ยินชื่อของเจ้าตั้งแต่ยังสาว อยากจะเจอเจ้ามานาน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่เคยมีโอกาสได้พบเจ้าสักครั้ง ในวันนี้ เจ้าจะให้โอกาสข้าได้ประลองกับเจ้าสักครั้งได้หรือไม่?”

 

เหล่ายอดฝีมือมองไปทางเจียงมู่เฟยด้วยความนับถือยิ่งกว่าเดิม

 

นางคือสตรีผู้เป็นตำนานจริงๆ

 

ด้วยอายุเพียงเท่านี้ พรสวรรค์และความงดงามของนางนั้นมากมาย!

 

ซือหยูแอบตกใจ!

 

นางเป็นราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เก้าขวบรึ? ตอนที่ซือหยูเก้าขวบ เขาเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนระดับหนึ่ง

 

เมื่อเทียบกันด้านพรสวรรค์ เจียงมู่เฟยนั้นเหนือกว่าฮั่วฉีหลาน

 

ในทวีปแห่งนี้ นางคู่ควรอย่างมากที่จะถูกเรียกว่าหญิงสาวผู้ได้รับพรจากสวรรค์

 

ด้วยความเร็วในการพุ่งทะยานเช่นนี้ นางจะต้องเป็นจ้าวสวรรค์ที่แข็งแกร่งในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน

 

เจียงมู่เฟยกระพริบตา

 

“ฮ่าๆๆ มิใช่ว่าตำนานคือหยินหยูหรอกรึ? นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีเฟิงเซี่ยน นางคือของจริง เทียบกับนางแล้วข้าจะเป็นสิ่งใดกัน?”

 

แม้นางจะพูดอย่างเจียมตัว แต่คำพูดนั้นก็แฝงความริษยาเล็กน้อย

 

ถ้าไม่มีซือหยู นางก็คงจะเป็นตำนานยอดฝีมือ

 

ถ้าไม่มีเฟิงเซี่ยน นางก็คือหญิงสาวที่ได้รับพรจากสวรรค์

 

แต่ทั้งสองมีพลังเหนือนาง นางจึงหม่นหมองลง

 

“ถ้าพี่สาวมู่อยากจะประลองกับข้าก็ผ่านน้องหยินหยูให้ได้เสียก่อนเถอะ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนแรกที่ยอมรับการประลอง”

 

เจียงมู่เฟยยิ้ม ใบหน้านางนั้นไร้เดียงสาและน่าหลงใหล

 

มู่เทียนฟางประสานหมัดต่อหน้าซือหยู

 

“เจ้าตำหนักหยินหยู เจ้าให้ข้าสู้จะได้หรือไม่?”

 

ซือหยูยอมนาง

 

“ย่อมได้ หัวหน้ามู่ประลองก่อนเถอะ”

 

หลังจากที่ทั้งสองตกลงจะประลอง เหล่ายอดฝีมือต่างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

 

ฝ่ายหนึ่งคือเทพีผู้ได้รับพร ส่วนอีกฝ่ายคือสตรีวิหคเพลิงมากประสบการณ์ ฝ่ายหนึ่งละเอียดอ่อน น่ารัก และสละสลวย ส่วนอีกคนนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นที่ชื่นชอบ

 

ทั้งสองทั้งสง่างาม เฉียวฉลาด และงดงามเป็นอย่างมาก ใครกันที่จะเก่งกว่า?

 

ทั้งสองยืนอยู่กลางลานประลองและมองหน้ากัน

 

“หนูน้อยเจียง ข้ามิใช่บุรุษที่จะแสดงความสงสารและหลงรักเจ้าหรอกนะ ระวังตัวด้วย!”

 

โลหิตของมู่เทียนฟางเดือดพล่าน

 

“หัตถ์จับมังกร”

 

แขนทั้งสองข้างของนางปกคลุมด้วยพลังวิญญาณและเปลี่ยนเป็นกรงเล็กยักษ์ที่ยาวห้าศอก กรงเล็บยักษ์นั้นมีพลังอันมหาศาล

 

พลังมหาศาลจากทุกพื้นที่พุ่งเข้ามา

 

รอยยิ้มของเจียงมู่เฟยเป็นดั่งบุพผา ลักยิ้มเล็กๆทั้งสองข้างบนแก้มนั้นดูผ่อนคลาย

 

“ฮ่าๆๆ วิชาอำมฤตระดับสอง น่าประทับใจ”

 

“แต่พี่สาวมู่น่าจะต้องระวังเหมือนกันนะ”

 

เจียงมู่เฟยยื่นมือเล็กๆออกไปและยิ้ม

 

ที่กลางฝ่ามือของนางมีก้อนพลังวิญญาณที่มีชีวิตชีวาดั่งต้นท้อ

 

กลีบสีชมพูเติมเต็มต้นท้อ มันเหมือนจริงอย่างมาก

 

ฟู่ว—

 

เจียงมู่เฟยเป่าฝ่ามือของตัวเอง

 

ต้นท้อปัดปลิว กลีบดอกท้อบินลอยดั่งขนวิหค กลีบท้อปกคลุมหอชมจันทร์

 

กลีบเหล่านั้นโปรยปรายอย่างช้าๆ ดูเหมือนฝนดอกท้อ

 

นั่นคือที่มาของพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย

 

ดอกท้ออันงดงามเหล่านี้มิได้สวยงามเพียงเท่านั้น

 

มู่เทียนฟางราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว เมื่อนางพุ่งเข้าไปโจมตีก็ไม่ลืมที่จะปล่อยชั้นพลังวิญญาณออกมาป้องกันร่างกาย เพราะนางระวังกับฝนดอกท้อที่เต็มนภาอย่างมาก

 

เมื่อกลีบดอกท้อสัมผัสกับชั้นพลังวิญญาณบนร่าง ชั้นพลังวิญญาณทั้งหมดของมู่เทียนฟางก็หายไป กลีบดอกท้อหลงเหลือเพียงร่องรอยพลังวิญญาณเล็กๆเท่านั้น

 

เจียงมู่เฟยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

“พี่สาวมู่ ท่านป้องกันข้าแบบนั้นไม่ได้หรอก”

 

“พิรุณดอกท้อ!”

 

เจียงมู่เฟยกำหมัด

 

เหล่ากลีบดอกท้อราวกับพิรุณกระหน่ำที่เปลี่ยนเป็นฝนศรสีชมพูพุ่งไปทางมู่เทียนฟาง

 

แย่แล้ว!

 

สีหน้าของมู่เทียนฟางเคร่งเครียดอย่างมาก นางเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายป้องกัน

 

นางปล่อยพลังวิญญาณล้อมกายเพื่อปกป้องพิรุณดอกท้อที่กระหน่ำเข้ามา

 

แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือฝนดอกท้อนั้นแล่นผ่านชั้นพลังวิญญาณไปยังร่างของมู่เทียนฟางอย่างง่ายดาย

 

หนึ่งกลีบ สองกลีบ สามกลีบ…

 

พิรุณไร้ขอบเขตปกคลุมร่างมู่เทียนฟางโดยสมบูรณ์

 

ทุกครั้งที่นางถูกพิรุณซัดใส่ รอยดอกท้อจะปรากฏบนร่างของนาง

 

เพียงสามอึดใจ ทั่วร่างของมู่เทียนฟางเต็มไปด้วยรอยดอกท้อ

 

“ฮ่าๆๆ จับก้นตัวเองซิ”

 

เจียงมู่เฟยชี้ดัชนีไปบนนภาและขยับตัว

 

รอยดอกท้อบนร่างของมู่เทียนฟางเปล่งแสงสีชมพู

 

ส่วนร่างของมู่เทียนฟางนั้นขยับไปเอง นางตัวสั่นต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก นางกำลังจะจับก้นตัวเอง!

 

“หยุดนะ! ข้าขอยอมแพ้!”

 

มู่เทียนฟางรีบพูด

 

เจียงมู่เฟยยิ้มอย่างน่ากลัวและดีดนิ้ว รอยดอกท้อบนร่างของมู่เทียนฟางเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณหวนคืน

 

มู่เทียนฟางหน้าแดง นางพูดด้วยความโกรธ

 

“นังเด็กนิสัยไม่ดี!”

 

ทุกคนจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาแทบจะกัดลิ้น

 

หลายคนเคยได้ยินนามของพิรุณดอกท้อ แต่พวกเขาไม่เคยเห็นกับตา

 

ตอนนี้พวกเขาได้รับรู้แล้วว่ามันน่ากลัวเพียงใด

 

มันคือวิชาประเภท ‘สัญลักษณ์’ ในระดับอำมฤตที่แปลกประหลาดอย่างมาก

 

เมื่อรอยดอกท้อถูกสร้างบนตัว ร่างของคนผู้นั้นจะถูกบังคับ!

 

แม้ทั้งคู่จะเป็นอำมฤตระดับสามขั้นสูง มู่เทียนฟางก็มิใช่ศัตรูของเจียงมู่เฟย!

 

ทั้งสองห่างชั้นเพียงใดกัน?

 

ซือหยูแอบตกใจกับวิชาประหลาด

 

ถ้าซือหยูประมาท เขาก็อาจจะถูกควบคุมและพ่ายแพ้เช่นเดียวกัน

 

“ขอบคุณพี่สาวมู่ที่ให้ข้าชนะ”

 

เจียงมู่เฟยเชิดหน้าอย่างภูมิใจ

 

มู่เทียนฟางสีหน้าไม่พอใจและสิ้นหวัง นางกลับไปนั่งด้วยความอับอาย

 

นางเคยคิดว่าด้วยประสบการณ์มากมายหลายปี นางมีโอกาสสูงที่จะชนะ แต่เมื่อนางได้สู้กับเจียงมู่เฟยจริงๆ นางกลับมิอาจป้องกันกระบวนท่าของอีกฝ่ายไม่ได้เลย

 

นั่นทำให้นางอับอายอยู่เล็กน้อย

 

“ถึงตาเจ้าแล้ว อย่ามาอ้อนข้อกับข้าล่ะ!”

 

มู่เทียนฟางเตือนอย่างดุร้าย ในวันนั้น ซือหยูทำกับนางอย่างป่าเถื่อนและไร้เยื่อใย

 

ซือหยูหัวเราะ เขายืนขึ้นและพร้อมที่จะต่อสู้

 

แต่ในตอนนั้นเองเสียงที่ประหลาดอย่างมากก็ดังมาจากที่นั่งสวรรค์

 

“สมกับเป็นยอดฝีมือจากร้อยดินแดน ยากมากที่จะชื่นชมมาตรฐานของร้อยดินแดน แต่ในที่ที่ขาดทรัพยากรเช่นนั้น เจ้ายังแสดงพลังเช่นนี้ออกมาได้ สมควรชื่นชมยิ่งนัก”

 

เอ๋? ซงหลวนไม่พูดอะไร…ราวกับไม่ได้ยิน เขายังคงเป็นสุภาพบุรุษเช่นทุกที

 

เจียงมู่เฟยเป็นคนตรงไปตรงมา นางตอบกลับด้วยการถากถาง

 

“ถ้ามหาบุตรของหอสดับหิมะเก่งนัก แล้วทำไมหยินหยูที่มาจากร้อยดินแดนถึงสังหารได้ถึงสองคนในคราเดียวเล่า?”

 

“ร้อยดินแดนของพวกข้าก็แค่ขาดทรัพยากร ถ้าพวกข้าเหมือนหอสดับหิมะที่มีทรัพยากรสูงสุดในทวีป มหาบุตรทั้งสี่ก็คงจะไม่มีที่ยืนไปนานแล้ว”

 

คำพูดของนางเป็นความจริงและสมเหตุสมผล

 

สีหน้าของโจวเนี่ยนเฉินหม่นหมองในทันที

 

“สาวน้อย ปากเจ้าไม่ควรจะใช้พูดจาไร้สาระเช่นนั้น ระวังปากเจ้าเองให้ดีเถอะ!”

 

เจียงมู่เฟยนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา นางจะทนให้คนมาดูหมิ่นได้อย่างไร?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด