The Divine Nine Dragon Cauldron 364

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 364 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นี่คือพลังที่แท้จริงของคลื่นกลินกิน!

 

คลื่นทั้งร้อยคลื่น แม้แต่อำมฤตระดับสี่ตัวจริงก็ต้องลงเอยอย่างโศกเศร้า ไม่ต้องพูดถึงอำมฤตระดับสามเลย

 

และซือหยูยังเป็นแค่อำมฤตระดับสาม!

 

แค่พลังอย่างเดียว เขาจะรับมือกับกระบวนท่าที่อำมฤตระดับสี่ยังต้องกลัวได้อย่างไร?

 

ซงหลวนสีหน้าเคร่งเครียดในทันที

 

“ถ้าข้าเผชิญหน้ากับโจวเนี่ยนเฉินที่ใช้พลังเต็มที่ โอกาสชนะคงเหลือแค่หกต่อสี่ส่วน”

 

แต่ซงหลวนก็ไม่พูดว่าใครกันแน่ที่มีโอกาสสี่หรือหกส่วน

 

เจียงมู่เฟยตัวชา นี่คือความต่างขั้นสูงสุดระหว่างอำมฤตระดับสามกับสี่

 

นางไร้คู่ต่อสู้ในขอบเขตเดียวกัน แต่กับโจวเนี่ยนเฉิน นางอาจจะป้องกันตัวเองจากคลื่นเดียวของโจวเนี่ยนเฉินไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

นั่นคือความต่าง

 

แต่ซือหยูมิได้เผชิญหน้ากับคลื่นเดียว มิใช่สิบ แต่เป็นร้อย!

 

เขาจะป้องกันตัวเองจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?

 

“หยินหยู อย่าฝืนตัวเองไปเลย มันไม่เสียเกียรติถ้าเจ้าจะยอมแพ้ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังต้องเข้าร่วมงานในอีกสามวัน อย่าทำให้อารมณ์ทำให้เจ้าต้องเจ็บตัว”

 

เสียงมู่เฟยเตือนด้วยความหวังดี

 

เหล่าคนดูเข้าใจได้เมื่อสัมผัสกับพลังของอำมฤตระดับสี่

 

แม้ซือหยูจะยอมแพ้ตอนนี้ เขาก็จะไม่ถูกผู้ใดเหยียดหยาม

 

ไม่มีใครที่มีพลังพอจะหัวเราะซือหยูที่พ่ายแพ้ต่ออำมฤตระดับสี่

 

หลิวลี่มองอย่างเหยียดหยาม

 

“หยินหยู! การยอมแพ้จะทำให้อาณาจักรทมิฬเสียหน้า อาณาจักรอาจจะปล่อยเจ้าไป แต่ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

 

เหล่าผู้คนขมวดคิ้ว เจ้าตำหนักหลิวลี่พยายามจะบังคับหยินหยูให้ไปตายหรืออย่างไร?

 

เขามีเรื่องบาดหมางอันใดกับเจ้าตำหนักหยินหยูงั้นรึ?

 

ต่อหน้าภัยร้าย ซือหยูมิได้ร้อนรน เขากลับสุขุมยิ่งกว่าเดิม

 

ขณะที่นภาเต็มไปด้วยคลื่นพลัง ซือหยูยังหันไปเหลือบมองหลิวลี่

 

“เจ้าพูดมากเหลือเกิน หุบปากไปจะได้หรือไม่?”

 

มู่เทียนฟางรู้สึกขยะแขยง นางจ้องหลิวลี่อย่างเยือกเย็น

 

“ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะสู้หรือหุบปาก ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็ขออภัยที่หอวิหคเพลิงไม่ต้อนรับคนอย่างเจ้า!”

 

สีหน้าของหลิวลี่ไม่เปลี่ยนไป แต่เขาก็เงียบลงอย่างว่าง่าย เขาดูการประลองอย่างเงียบเชียบ

 

“เจ้ายังมีแรงเหลือไปมองคนอื่นอีกรึ? อวดดีจริงๆ!”

 

โจวเนี่ยนเฉินผลักฝ่ามือ

 

คลื่นพลังที่เต็มท้องนภาฟังคำสั่งจากเขา มันกระหน่ำซัดใส่ซือหยูราวกับวายุร้ายที่หมายจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ

 

เหล่าผู้คนเป็นห่วงซือหยู

 

ยังพอมีเวลาที่ซือหยูจะยอมแพ้ ยังไม่สายเกินไปที่โจวเนี่ยนเฉินจะหยุดพลังได้

 

แต่ซือหยูยังคงผ่อนคลาย เขาดูใจตเย็น

 

ฟึ่บ–

 

แสงสีเงินปรากฏพร้อมกับธนูเงินที่ปรากฏบนมืออันว่างเปล่า

 

จากมุมมองของผู้คน ซือหยูนั้นใช้พรสวรรค์มิติในระดับที่ไร้ที่ติ เขาถึงซ่อนของชิ้นใหญ่เช่นนี้ได้

 

ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่าซือหยูมีคันฉ่องจักรวาลไว้กับตัว

 

“ธนูมังกรฟ้าดิน!”

 

เจียงมู่เฟยประหลาดใจ แบบตากลมโตของนางแสดงความริษยา

 

ซงหลวนมองอย่างอิจฉาเช่นกัน เขาหัวเราะอย่างขื่นขม

 

“โชคดีจริงจริงๆ เขาได้สมบัตระดับกลางจากเมืองอันยี่มาครอง!”

 

สมบัติเทพที่มีแต่ขุมกำลังใหญ่ในทวีปเท่านั้นที่จะครอบครองได้ปรากฏในมือซือหยู

 

เหล่ายอดฝีมือต่างอิจฉาตาร้อน

 

แม้แต่โจวเนี่ยนเฉินก็เบิกตากว้าง เขาเลียฝีปากโดยไม่ทันคิดเมื่อจ้องมองธนูสีเงิน

 

มีเพียงหลิวลี่ที่ไม่รู้เรื่องธนูนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองอันยี่ก็ยังไม่รู้ถึงหูอาณาจักรทมิฬ

 

แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าธนูนี้ไม่ใช่ของธรรมดา

 

ดวงตาของซือหยูกลายเป็นสีแก้วใสโดยที่ไม่มีใครรับรู้

 

คลื่นยุ่งเหยิงทั้งร้อยคลื่นต่างต้องตาของซือหยู

 

เขาดึงสายธนูเล็กน้อย ประมาณนิ้วเดียว

 

ตอนที่ซือหยูชำระธนู เขาดึงสายธนูได้ถึงสามนิ้ว แต่เขาเลือกจะใช้พลังแค่หนึ่งในสาม

 

ศรขนาดเท่านิ้วโป้งปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง

 

แรงกดดันจากศรธนูทำให้ผู้คนตกใจ

 

ท่าทางใจเย็นของหลิวลี่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเล็กน้อย

 

“นี่มัน…”

 

ฟึ่บ–

 

เสียงธรณีสั่นดัง ศรพลังวิญญาณทะลวงเข้าใส่คลื่นวิญญาณ

 

คลื่นกลืนกินหายไปทันที

 

ศรพลังวิญญาณก็หายไปเช่นกัน

 

ศรวิญญาณนั้นทำลายคลื่นกลืนกิน!

 

พลังของธนูนี้น่าตกใจอย่างมาก

 

เทียบกับวิบัติอัสนีเยือกแข็ง ดูเหมือนว่าธนูนี้จะแข็งแกร่วกว่ามาก!

 

แต่ก็ยังมีคลื่นกลืนกินอีกเก้าสิบเก้าคลื่น!

 

ฟึ่บ–

 

ผู้คนยังคงตกตะลึง แต่ก็มีเสียงทะลวงอากาศดังขึ้นอีก

 

ปั้ง–

 

อีกคลื่นสลายไป

 

พวกเขาพบว่าซือหยูดึงสายธนูอีกครั้งโดยไม่ลังเลทันทีหลังจากที่ปล่อยดอกแรกไป

 

เขาออกแรงเบาๆที่นิ้วและสร้างศรวิญญาณ จากนั้นจึงปล่อยมือและทำแบบเดิม

 

เขาทำมันอย่างต่อเนื่อง ไร้ซึ่งการหยุดพัก

 

ไม่นานเขาก็ยิงศรวิญญาณไปสิบดอก!

 

คงจะแค่น่าตกใจเท่านั้นเมื่อผู้คนเห็นความเร็วที่ซือหยูยิงธนู แต่พวกเขาถึงกับเลิกลั่กเมื่อเห็นความชำนาญในวิชาธนูของซือหยู!

 

ซือหยูเพียงเหลือบมองอย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยศรวิญญาณ แต่ทุกครั้งมันก็พุ่งทะลวงตรงไปยังคลื่นกลืนกิน!

 

ไม่ว่าคลื่นจะมาจากมุมใด ความเร็วจะมากเพียงใด วิญญาณจะหนาแน่นเพียงใด ทุกสิ่งก็ไม่ได้ทำให้ซือหยูต้องลงแรงมากมายเลยในการรับมือ

 

เหล่าผู้คนต่างทึ่งในวิชาธนูอันน่ากลัวของซือหยู

 

เมื่อผู้คนคืนสติจากความตกใจ ซือหยูก็ยิงธนูไปแล้วสี่สิบครั้ง เขาทำลายคลื่นไปสี่สิบคลื่น

 

โจวเนี่ยนเฉินสีหน้าเปลี่ยนจากคนที่มั่นใจในชัยชนะ…

 

“นี่…นี่มันวิชาธนูของมนุษย์งั้นเรอะ?”

 

“ไม่! ข้าจะปล่อยให้มันยิงต่อไปไม่ได้!”

 

โจวเนี่ยนเฉินคิดอ่านอย่างรวดเร็ว

 

“คลื่นทับซ้อน!”

 

ในตอนนั้นเอง คลื่นที่ร่ายรำอยู่บนอากาศก็เริ่มทับซ้อนกันและกัน

 

เมื่อพวกมันรวมตัวกันพลังก็เพิ่มเป็นสองเท่า ศรวิญญาณมิอาจทะลวงได้

 

“เร่งเวลา!”

 

“ผนึกเวลา!”

 

แสงประหลาดแพร่กระจายออกจากดวงตาของซือหยู

 

เมื่อเขาอยู่ใต้ผลของพลังเร่งเวลา เวลารอบกายของเขาเร็วยิ่งกว่าเดิมสามเท่า

 

ด้วยผลของผนึกเวลา มังกรม่วงเข้าบีบรัดคลื่น ทำให้มันติดอยู่ในพันธนาการห้วงเวลา คลื่นนั้นหยุดรวมตัวกัน

 

ทั้งหมดเกิดขึ้นในวินาทีเดียว!

 

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–

 

เสียงปล่อยธนูอย่างต่อเนื่องดังขึ้นในวินาทีเดียว

 

เสียงธนูดังรวมกันจนเกิดแผ่นดินไหว

 

หอวิหคเพลิงสั่นคลอน รอยแตกมากมายปรากฏขึ้น

 

เสียงธนูทะลวงเมฆาบนนภาจนแยกขาด

 

หอวิหคเพลิงสั่นไม่หยุดด้วยเสียงอันน่ากลัว

 

หูของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระยะสามลี้ล้วนเจ็บปวด พวกที่อยู่ใกล้รู้สึกเจ็บปวดทางผิวหนัง

 

ราวกับว่าเสียงที่เกิดจากธนูเล็กๆนี้ทะลวงร่างของพวกมันผ่านรูขุมขน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด