The Divine Nine Dragon Cauldron 463

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 463 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากได้ยินที่พูด ราชามนุษย์ลังเล จากนั้นเขาก็นำนซือหยูไปยังหัวเรือ ด้านในนั้นมีแท่นที่สร้างจากแก้วมณี เหนือแท่นมีรอยฝ่ามือติดอยู่

 

“ใส่โลหิตไปหนึ่งหยดแล้ววางฝ่ามือลงไป เจ้าจะเริ่มความเร็วและปรับทิศทางได้ตามใจปรารถนา”

 

ซือหยูตกใจมากที่ได้ยินดังนั้น มันมหัศจรรย์เช่นนั้นเชียวรึ?

 

เขากัดปลายดัชนีและหยดโลหิตลงในรอยฝ่ามือ จากนั้นก็มีข้อความที่ไม่เคยเห็นดังก้องในจิตใจ

 

“เรีอบินเทวะ เรือบินที่เป็นสมบัติเทพระดับสูง เรือรบนี้ต้องใช้ผู้บ่มเพาะพลังที่ใช้แก้วพลังชีวิตได้ และที่ความเร็วสูงสุด มันจะมีความเร็วได้ถึงขอบเขตภูติ!”

 

ซือหยูนั้นดีใจมากอยู่แล้วที่มันเป็นสมบัติเทพรนะดับสูง นอกเหนือจากที่ได้ครอบครองกึ่งสมบัติวิญญาณ สมบัติเทพที่มีระดับสูงที่สุดของเขาก็คงจะเป็นเรือบินเทวะลำนี้!

 

เขาใช้เนตรวิญญาณมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง เขาพบแกนเรือ ที่นั่นมีแก้วพลังชีวิตที่มีพลังชีวิตที่ใช้จ่ายให้แก่เรือรบอย่างต่อเนื่อง

 

ซือหยูเริ่มลงมือ เรือรบลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานมันก็ลดขนาดจากพันศอกไปเหลือสิบนิ้ว มันดูเหมือนแบบจำลองซะมากกว่า

 

“เจ้าไปเถอะ”

 

ซือหยูผายมือและปล่อยราชามนุษย์คนนั้นไป จากนั้นเขาก็ขยายเรือจนมีขนาดสามสิบศอก เขาหยิบเอาสร้อยหยกออกมาเพื่อสัมผัสถึงตำแหน่งของคนที่เหลือและบินไปอย่างรวดเร็ว

 

ราชามนุษย์คนนั้นมองแผ่นหลังซือหยูที่จากไป แววตาเขาดุร้ายเกรี้ยวกราด

 

“ฮื่ม! มีแค่พวกเราผู้ใช้วิชาอสูรเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ปล้นคนอื่น กล้าดียังไงมาปล้นพวกเรา!”

 

จู่ๆก็มีก้อนหินเล็กบนพื้นกระเด็นออกมาจากพื้นทุ่งหญ้า ถ้าซือหยูยังอยู่ก็คงจะจำมันได้ มันคือก้อนหินที่เขาโยนลงไปทดสอบทุ่งหญ้า! มันแปลกมากที่หินนั้นพุ่งออกจากมาพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้!

 

ราชามนุษย์สับสนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็คิดถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาบินขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วและไม่ลังเล

 

เขาพุ่งขึ้นสู่นภาและมองจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว เขาอ้าปากค้างเมื่อพบว่าทุ่งหญ้าเขียวขจีนั้นได้เปลี่ยนเป็นใบหน้ามนุษย์ใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดพันศอก!

 

มันมีประสาทสัมผัสทั้งห้าและดูเหมือนจะเกิดจากทุ่งหญ้าเขียว ดวงตาของมันใหญ่โตมาก มันยิ้มอย่างดุร้ายป่าเถื่อน มันอ้าปากยักษ์ ลิ้นยาวๆที่ดูเหมือนลิ้นจำนวนมากรวมตัวกันพุ่งออกมา

 

ราชามนุษย์นั้นไม่ทันจะได้ตอบสนองด้วยซ้ำ เขาถูกลิ้นยาวตวัดตัวเข้าสู่ปาก เสียงกรีดร้องดังก้องจากภายในปากยักษ์ เสียงเคี้ยวดังตามมาหลังจากนั้น!

 

ไม่นานใบหน้ามนุษย์นั้นก็แสดงสีหน้าพอใจ มันมองทิศทางของซือหยูด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ใบหน้ามนุษย์ยักษ์หายไปและกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง มันค่อนข้างงดงามราวกับภาพสยองเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

 

ลึกภายในทุ่งหญ้า

 

เส้นผมฉินจิวหยางยุ่งเหยิง หลายส่วนในร่างกายเขาเปรอะเปื้อนโลหิต โลหิตไหลออกจากมุมปากเป็นสาย เขากำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่

 

สีหน้าของเขาอ่อนแอ เขามิอาจรู้ได้นานกว่านี้ และตรงข้ามเขายังมีกึ่งเทพสองคนที่ค่อนข้างบาดเจ็บหนัก

 

สีหน้าของทั้งคู่ซีดเผือด พวกเขาเผชิญหน้ากับฉินจิวหยางด้วยความกลัว ที่นิ้วนางของแต่ละคนนั้นมีรอยรัดทิ้งเอาไว้

 

“ศิษย์พี่อู๋ วิชาคำสาปของมันชั่วร้ายยิ่งนัก! ตอนที่เราไม่ทันระวัง การโจมตีของเราก็กลับมาหาร่างกายเราเอง!”

 

ศิษย์พี่อู๋นั้นสีหน้าหม่นหมองเช่นกัน แต่เขาก็ยังใจเย็น

 

“ไม่ต้องรีบร้อน วิชาคำสาปของมันรับมือได้ทีละสองคนเท่านั้น เราไม่ต้องไปสู้กับมัน ให้ศิษย์พี่คนอื่นจัดการคนที่เหลือให้เสร็จ เราจะได้มาจัดการมันง่ายๆ”

 

ฉินจิวหยางเป็นกังวลเมื่อได้ยินดังนั้น ในตอนนี้เขาก็อ่อนแออยู่แล้ว ถ้าหากเรื่องยังดำเนินต่อไปก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะตายที่นี่ก่อนที่คนสนับสนุนของศัตรูจะมาเสียอีก

 

“ข้าจะทำตามศิษย์พี่อู๋!”

 

กึ่งเทพคนอื่นนั้นเห็นว่าคำพูดศิษย์พี่อู๋มีเหตุผล พวกเขาต่างเชื่อฟัง

 

ฉินจิวหยางกัดฟัน เขาหันไปเตรียมจะหนี!

 

“ตามไป!”

 

ศิษย์พี่อู๋ตะโกน เขาทั้งสองบินเข้าไปขวางเพื่อไม่ให้ฉินจิวหยางหนีไปไหน

 

ในตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง สัมผัสของกึ่งเทพนั้นเหนือกว่าคนทั่วไป เขาพบว่ามีสิ่งน่าสงสัยกำลังพุ่งเข้ามาหา!

 

“ศิษย์น้อง ระวังด้วย!”

 

หลังจาดมองดูรอบๆ สายตาเขาก็เคร่งเครียด เขาจับไหล่ศิษย์น้องลากไปที่ด้านข้าง

 

แต่ก่อนที่ศิษย์น้องจะได้ขยับไปไหนก็มีมีดทองคำพุ่งออกมาเกือบจะทะลวงร่างของไป!

 

“ใครกัน? เจ้าคิดว่าลอบโจมตีแล้วมันยุติธรรมนักเรอะ? ถ้ากล้าก็ออกมา!”

 

จากนั้น ที่ความว่างเปล่าตรงหน้าพวกเขา เสียงหัวเราะอันเลือดเย็นดังออกมา

 

“น่าตลกสิ้นดี! สองต่อหนึ่งแบบเจ้าเรียกว่ายุติธรรม แต่การลอบโจมตีของข้ากลับเรียกว่าฉวยโอกาสงั้นเรอะ?”

 

เขาพูดจบและแสดงตัวออกมา

 

อีกฝ่ายสีหน้าเคร่งเครียด

 

“เจ้ามาอยู่นี่เอง!”

 

จากนั้นเขาก็ผลักฝ่ามือไปข้างหน้า

 

“เจ้าโง่!”

 

เห็นได้ชัดว่าคำพูดนั้นก็เพื่อยั่วยุซือหยู แต่เขาไม่คิดเลยว่าซือหยูจะแสดงตัวออกมาโดยง่าย แต่ในตอนนั้นเอง เมื่อเขาดันฝ่ามือไปข้างหน้า ศิษย์น้องที่อยู่ข้างหลังกลับกรีดร้องออกมา!

 

อกของศิษย์น้องถูกทะลวงโดยเพลิงพิโรธ นั้นทำให้หัวใจและกลางร่างไม่เหลือสิ่งใดนอกจากเถ้าถ่าน จากนั้นร่างเพลิงในผ้าคลุมล่องหนก็ปรากฏออกมา มันชิงสิ่งของจากร่างของศิษย์น้องเขาและถอยไปที่ข้างฉินจิวหยางอย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่าตอนที่ซือหยูแสดงตัว เขาจะส่งผ้าคลุมให้กับร่างเทียมพร้อมกัน เมื่อดึงความสนใจได้จากอีกฝั่ง เขาก็ใช้ร่างเทียมลงมือจากอีกฝั่ง เขาสังหารคนที่อ่อนแอที่สุดไปอย่างง่ายดาย

 

ดวงตาของศัตรูแทบหลุดออกจากเบ้า แต่เขาก็ตัดสินใจได้ชาญฉลาดที่สุด เขาหันเตรียมจะหนี!

 

เด็กหนุ่มคนนี้แปลกอย่างมากแม้จะเป็นผู้คุมสวรรค์ และเมื่อได้รวมกลุ่มกับฉินจิวหยาง คนที่ตกอยู่ในอันตรายก็คือตัวเขาเอง

 

แต่แม้ว่าเขาจะหนี เขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากที่ช่องท้อง! นั่นเป็นเพราะฉินจิวหยางให้ร่างเทียมของซือหยูโจมตีตัวเองที่เป็นจุดตาย

 

เพลิงพิโรธทำให้ท้องของเขาฉีกทะลุ บาดแผลส่งผ่านไปยังศัตรู เพลิงนั้นแผดเผาอย่างรุนแรง ศัตรูตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง

 

แต่ในตอนนั้นก็มีมีดทองคำที่เตรียมไว้นานแล้วพุ่งออกไปก่อนที่เสียงกรีดร้องจะสงบ มันเข้าล้อมรอบหอของเขา จากนั้นศีรษะของเขาก็ลอยขึ้นฟ้า

 

ซือหยูยกมือคว้าความว่างเปล่า สิ่งของจากศัตรูเข้ามาอยู่ในมือของเขา เขาสังหารกึ่งเทพสองคนในพริบตาเดียว

 

ฉินจิวหยางมองซือหยูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง! ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าพลังของซือหยูคงสังหารกึ่งเทพธรรมดาๆได้เพียงคนเดียว แต่เขาไม่คิดเลยว่าซือหยูนั้นจะสังหารทั้งสองคนได้หลายไหลลื่นและเฉียบคม! ถ้าซือหยูอยากจะฆ่าเขา เขาก็คงตายไปนานแล้ว!

 

“พี่ใหญ่จิวหยาง บาดแผลเป็นเช่นใดบ้าง?”

 

ซือหยูเดินไปด้วยความเป็นห่วง

 

ฉินจิวหยางหัวเราะ

 

“ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไรนัก ถ้าน้องหิมะทมิฬไม่มา ข้าก็คงตายในวันนี้ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าแข็งแกร่งเท่าน้องหิมะทมิฬเลย”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“นั่นเป็นเพราะพวกนั้นประมาทและไม่ได้สนใจข้า พี่จิวหยางลงแรงไปเยอะ ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น”

 

ฉินจิวหยางพูดอย่างไม่สบายใจนัก

 

“หยุดถ่อมตัวสักทีเถอะ! ถ้ารวมพวกผู้อาวุโสเข้าไป ด้วยพลังของเจ้า ต่อให้อยู่ที่ใดในทวีปเฉินหลง เจ้าก็จะเป็นหนึ่งในสิบลำดับแรกทั้งๆที่เจ้าเป็นแค่ผู้คุมสวรรค์ หากเจ้าสำเร็จระดับกึ่งเทพ นอกจากขอบเขตภูติไม่กี่คน เจ้าก็อาจจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเฉินหลงแล้ว”

 

กับซือหยู ฉินจิวหยางนั้นประเมินไว้สูงอย่างมาก

 

ซือหยูหัวเราะเปลี่ยนเรื่อง

 

“พี่ใหญ่จิวหยาง ข้าเจอของเหล่านี้จากศพพวกนั้น แบ่งคนละครึ่งส่วนเถอะ”

 

ฉินจิวหยางรู้สึกขอบคุณที่ซือหยูยังคงคิดจะแบ่งสมบัติกับเขา เขาส่ายหน้าและหัวเราะ

 

“เก็บไปซะ คนพวกนั้นล้วนถูกเจ้าสังหาร ข้าจะร้องขอมันได้ยังไง? ข้ายังมีตระกูลหนุนหลัง ข้ามิได้ขาดแคลนสิ่งใด ส่วนเจ้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่ง่ายที่เจ้าจะบ่มเพาะด้วยตัวคนเดียว เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ใช้เองจะเป็นการดี เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

 

ซือหยูแอบชมเชยเขาในใจเมื่อได้ยินคำพูดที่มีความเป็นห่วง ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา ฉินจิวหยางนั้นปฏิบัติต่อซือหยูอย่างดีมาโดยตลอด

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่พูดให้มากความล่ะ”

 

ซือหยูเก็บสมบัติทั้งหมดไว้กับตัว เขาหยิบเอาเรือบินเทวะออกมาโยนขึ้นฟ้า จากนั้นเรือจึงขยายขนาดถึงสามสิบศอก

 

ฉินจิวหยางตัวแข็งทื่อ

 

“นั่นมัน…อ๊ะ! หรือว่า หรือจะเป็นเรือรบนั่น?”

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“พี่ฉินคิดว่ามันเป็นอะไรเล่า?”

 

“หา~~”

 

ฉินจิวหยางอ้าปากค้าง

 

“เจ้า…เจ้ากล้าชิงเรือรบของพวกมันมา เจ้าทำได้ยังไงกัน?”

 

ฉินจิวหยางมิอาจเชื่อสายตา

 

ซือหยูยักไหล่

 

“พวกกึ่งเทพออกไปไล่ล่าพวกเรากันหมด จะยากรึที่ข้าจะไปที่เรือลำนี้?”

 

ฉินจิวหยางมิอาจซ่อนความตกตะลึงไว้ในใจเมื่อได้ยินคำพูดเรียบง่ายนี้ ซือหยูนั้นพูดให้ดูง่าย แต่เขาก็เข้าใจดีว่าต่อให้ไม่มีพวกกึ่งเทพ ในเรือก็ยังมียอดฝีมือไม่ต่ำกว่าร้อยคน

 

ไม่ต้องพูดถึงตัวเขา แม้แต่กังต้าเหล่ยเอง ถ้าเขาคิดจะชิงเรือรบ เขาก็อาจจะทำไม่ได้! ฉินจิวหยางเริ่มมองพลังของซือหยูอย่างสูงส่งขึ้นกว่าเดิม

 

“ศิษย์น้องมีสมบัติมากมายจริงๆ ไม่มีชื่อใดเหมาะที่จะเรียกเจ้านอกจากเจ้าหนุ่มสมบัติแล้วล่ะ!”

 

ฉินจิวหยางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้

 

สมบัติที่ซือหยูถือครอง นอกจากมีดเกล็ดทอง เขาก็ยังมีชุดเกราะลึกลับที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วเขาก็ยังมีผ้าคลุมวิเศษที่ทำให้เขาล่องหนได้ และเขาก็ยังมีเรือรบอีกลำ ซึ่งเป็นสมบัติเทพระดับสูง!

 

ด้วยสมบัติมากมายเช่นนี้ เขาทำได้ทั้งจู่โจมและตั้งรับได้ในเวลาเดียวกัน และเขายังมีแม้กระทั่งสมบัติเทพที่ทำให้เขาหนีได้ พลังการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกันกับของเหล่านี้?

 

เจ้าหนุ่มสมบัติรึ? เส้นโลหิตที่หน้าผากปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย เขายังคงมีแหวนปราบมาร กระบี่สายฟ้า เข็มทั้งเก้าเล่ม แล้วก็เหรียญพันธนาการภูติอยู่อีก

 

ถ้าเขาเอาสมบัติพวกนั้นออกมาด้วย เขาจะยังเป็นแค่เจ้าหนุ่มสมบัติอยู่อีกรึ?

 

แต่ซือหยูก็คงจะไม่เผยของเหล่านั้นให้คนอื่นได้เห็นอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ในการประลอง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้เกราะราชาศิลานิรันดร์ ถ้าเข็มเก้าหยินหยางกับแหวนปราบมารปรากฏมาอีก เขาก็จะสร้างปัญหาให้กับตัวเองได้มากเป็นแน่

 

“ศิษย์พี่พักเถอะ ข้าจะบังคับเรือไปหาพี่ต้าเหล่ยเดี๋ยวนี้ ข้าหวังว่าจะยังไปทัน”

 

ณ ที่อีกแห่ง

 

ร่างใหญ่ยี่สิบศอกของกังต้าเหล่ยเผยออกมา ร่างของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยโลหิต หลายส่วนของร่างกายฉีกจนเผยภายใน

 

ฝั่งตรงข้ามเขาคือชายหนุ่มผมขาวดวงตาสีแดง เขาคือกึ่งเทพที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หน้าของเขาซีดเซียวไปบ้าง สีหน้าเขาเคร่งเครียดอย่างมาก

 

ข้างเขาคือร่างไร้วิญญาณของสองคนที่ขาดท่อนอยู่กับพื้น! ทั้งสองเป็นกึ่งเทพที่มาด้วยกันกับเขา

 

ในสถานการณ์สามต่อหนึ่ง กังต้าเหล่ยนั้นยังสังหารไปได้สองคนและเผชิญหน้าอยู่กับชายหนุ่มผมขาว

 

“ตระกูลยี่! ไม่คิดเลยว่าตระกูลยี่จะมาที่กระโจมเทพสวรรค์จริงๆ!”

 

ชายหนุ่มผมขาวค่อนข้างตกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด