The Divine Nine Dragon Cauldron 480

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 480 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลงหวูชิงตกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

“หรือว่าท่านหิมะทมิฬจะมีสมบัติที่ซ่อนพลังได้? ถ้ากำลังคิดถึงผ้าคลุมปีกจักจั่นล่ะก็ลืมไปได้เลย คุณสมบัติซ่อนพลังของมันไม่ได้อยู่ในระดับที่ดีนัก มันใช้ได้กับกึ่งเทพทั่วไปเท่านั้น ข้าไม่ค่ิดว่ามันจะมากพอที่จะหลอกพวกศิษย์สำนักอสูร”

 

ผ้าคลุมปีกจักจั่นเป็นเพียงสมบัติเทพระดับกลางธรรมดาๆ ความสามารถของมันนั้นมีขีดกำจัด

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“ถ้าเจ้าเชื่อใจข้าก็อย่าระวังตัวกับข้าเลย ให้ข้าพาเจ้าไปในที่ที่พลังของเจ้าจะตัดขาดออกจากโลกใบนี้”

 

หลงหวูชิงหยุดคิด แม้นางจะหนีมากับซือหยูตลอดสามวันเต็ม นางก็ไม่ได้ลดการป้องกันต่อเขาลงเลย ถ้าซือหยูจู่โจมนางขึ้นมา นางก็อาจจะตอบสนองไม่ทัน

 

ในตอนนั้นเอง ฉินเซี่ยนเอ๋อดึงแขนเสื้อของซือหยู นางเงยหน้าเล็กๆและพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

“พี่หิมะทมิฬ ข้าเชื่อใจท่าน”

 

จากนั้นนางก็หลับตาอย่างว่าง่าย หลงหวูชิงถอนหายใจออกมา อย่างเดียวที่นางทำได้ในตอนนี้ก็คือการเชื่อใจราชาปีศาจหิมะทมิฬ มองดูจากท่าทีของเขาต่อฉินเซี่ยนเอ๋อ นางคิดว่าเขาน่าจะไม่ทำอันตรายพวกนาง

 

นางค่อยๆหลับตาและยืนมือออกไป

 

“ก็ได้ ข้าพร้อมแล้ว”

 

ซือหยูไม่ลังเล เขาย้ายทั้งสองไปสู่มุกวิญญาณเก้าหยกเพียงแค่ใช้ความคิด เมื่อทั้งสองลืมตาอีกครั้งก็รู้สึกตกใจอย่างมาก

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อเบิกตากว้าง

 

“โอ้! ที่นี่มันอะไรกัน?”

 

หลงหวูชิงสับสนในทีแรกแต่ความสับสนก็แทนที่ด้วยความตกใจเมื่อมองไปรอบๆ

 

“สมบัติมิติ! เจ้ามีสมบัติมิติขนาดใหญ่เช่นนี้พกไปไหนมาไหนได้ยังไงกัน!”

 

หลงหวูชิงมองซือหยูโดยยังไม่หายตกใจ!

 

“ข้าหวังว่าพวกเจ้าสองคนจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”

 

ถ้าข่าวเรื่องของสิ่งนี้แพร่งพรายออกไปก็จะเกิดปัญหาต่อเขาในทวีปเฉินหลงอย่างแน่นอน มีแค่สามคนที่อยู่ในขอบเขตภูติที่ทวีปเฉินหลงเท่านั้นที่จะคุกคามซือหยูได้ แต่เขาก็ต้องเลี่ยงปัญหาโดยไม่จำเป็น

 

หลงหวูชิงทำใจให้เย็น

 

“เจ้าไม่ต้องกังวล หลงหวูชิงผู้นี้มิอาจคิดร้าย”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อพูดตามมาเช่นกัน นางพยักหน้า

 

“แน่นอน! ข้าจะไม่บอกใครเลย แม้แต่พี่ซือหยูก็ตาม”

 

ซือหยูยิ้ม

 

“พลังวิญญาณที่นี่เข้มข้น พวกเจ้าบ่มเพาะพลังที่นี่ได้ ข้าจะปล่อยเจ้าสองคนออกมาเมื่อพวกเราออกจากกระโจมเทพสวรรค์”

 

หลงหวูชิงดีใจ

 

“ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว! ถ้านี่เป็นสมบัติมิติของจริง โลกภายนอกก็คงจะสัมผัสถึงพวกข้าไม่ได้ นี่เป็นสถานที่อันสมบูรณ์แบบที่พวกข้าจะได้พักฟื้นพลัง”

 

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจัดการกับสมบัติที่พวกนางได้ในซากราชาภูติ ซือหยูนำวิญญาณตัวเองออกจากมุกวิญญาณเก้าหยกและกลับสู่ร่างหลัก ซือหยูสร้างผนึกพลังด้วยมือเดียวและใช้อีกมือจับผ้าคลุมล่องหนเอาไว้ เอาปิดเร้นกายตัวเองและออกจากถ้ำ

 

เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ชายคนหนึ่งลงมาถึงที่นี่ เขาคือศิษย์นอกจากตำหนักชิงวิญญาณที่ไล่ตามพวกซือหยูมา! ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ในมือของเขามีหนูตัวสีดำที่เดินไปมาอยู่ในฝ่ามือ

 

เขาเลิกคิ้วและไม่พอใจอย่างมาก

 

“เป็นไปไม่ได้! พวกมันทำได้ยังไง? ตราบเท่าที่มีนังผู้หญิงคนนั้นที่มีคุณสมบัติวิหคเพลิงแห่งความตาย หนูวิญญาณอสูรจะสัมผัสนางได้แม้นางจะกลายเป็นซากศพไปแล้ว พวกนั้นใช้วิชาลับออกจากกระโจมเทพสวรรค์ไปแล้วรึ? ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนคนนั้น คุณสมบัติวิหคเพลิงแห่งความตายก็คงเป็นของข้าไปแล้ว! บัดซบ!”

 

เขามองรอบๆและยืนยันกับตัวเองว่าเขาคลาดกับหญิงสาวที่ไล่ล่าไปแล้ว เขาต้องยอมแพ้ไป

 

“แต่ก็เอาเถอะ…”

 

“ข้าเสียเวลากับนางมามากเกินไปแล้ว ข้าจะไปตำหนักลับสวรรค์ไม่ทันถ้าช้าไปกว่านี้ ที่นั่นมีสมบัติของตำหนักเทพสวรรค์ที่แท้จริงอยู่”

 

เขาพูดจบและเดินทางไปยังป่าศิลา

 

ซือหยูซ่อนตัวอยู่ในป่าทะเลทรายบนยอดเขาหลังจากที่หนีรอดหวุดหวิด เขาพบสถานที่ลับไร้ผู้คน เมื่อเห็นว่าไม่มีคนจากสำนักอสูรตามมา เขาก็หยิบเอาแหวนสีดำออกมา แหวนนั้นดูเหมือนจะทำมาจากอัญมณีทมิฬ มันเปล่งแสงสีหมอกออกมา ของสิ่งนี้ใช้งานได้เหมือนกับคันฉ่องจักรวาล มันใช้เก็บของได้!

 

ซือหยูใช้ความคิดส่งวิญญาณเข้าไปในแหวน พื้นที่มันกว้างและสูงสิบศอก มันใหญ่ยิ่งกว่าคันฉ่องจักรวาลสิบเท่า! และมันยังเป็นของที่ไม่ต้องชำระล้าง ซือหยูใช้มันได้อย่างง่ายดาย

 

เขาเหลือบมองสิ่งของในแหวนและลำดับห้าธาตุ กับมุกสีม่วงที่ได้มา เขารวบรวมลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือดมาได้ทั้งชุด! ลูกแก้วในลำดับห้าธาตุนั้นสร้างมาจากวิญญาณของคนอื่น วิธีชำระล้างธรรมดามิอาจลบล้างร่องรอยของเจ้าของสิ่งนี้ได้ เรื่องนี้ทำให้ซือหยูผิดหวังเล็กน้อย ลำดับห้าธาตุอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับใช้มันไม่ได้เลยด้วยตัวคนเดียว

 

เขานั่งคิดและทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ เขานึกถึงข้อมูลของตำราทั้งเก้าเล่มที่จักรพรรดิสายฟ้าทิ้งเอาไว้ เขาอ่านมันทั้งหมดมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขารีบร้อนจนไม่มีเวลา นี่เป็นเวลาที่เขาจะได้ทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อ่านมาทั้งหมด

 

หนึ่งวันต่อมา ซือหยูลืมตาตื่นจากสมาธิ ดวงตาของเขาดูเหนื่อยล้า เขาใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการทำความเข้าใจตำราทั้งเก้าเล่มในสมอง ในตำราทั้งเก้าเล่ม สามเล่มแรกเป็นความเข้าใจของจักรพรรดิสายฟ้าต่อวิชาสายฟ้า มันคือสิ่งของจากทวยเทพที่ส่งผ่านมาถึงซือหยูโดยแท้ เขาสนุกสนานในการเรียนรู้มัน

 

เล่มที่สี่ถึงเจ็ดคือวิชาอัสนีที่จักรพรรดิสายฟ้าบ่มเพาะ ซือหยูไม่ได้ลงลึกกับมันมากนัก ตำราเล่มที่แปดนั้นเกี่ยวกับวัตถุดิบอัสนี มันครอบคลุมถึงเรื่องราวของทั้งโลกจิวโจว

 

ส่วนตำราเล่มที่เก้า มันคือคำแนะนำการใช้งานของผนึกสายฟ้าห้าธาตุ ซือหยูเพิ่งจะเข้าใจความล้ำค่าของสมบัติชิ้นนี้! วัตถุดิบแต่ละอย่างที่ใช้สร้างสมบัติชิ้นนี้ล้วนใช้สร้างสมบัติวิญญาณระดับสูงได้ด้วยตัวเอง ความล้ำค่าของวัตถุดิบแต่ละชนิดนั้นเทียบได้กับเกราะราชาศิลานิรันดร์

 

จักรพรรดิสายฟ้าได้วัตถุดิบเหล่านั้นมาจากการต่อสู้กับเหล่าจ้าวเทวะ เขาต้องบาดเจ็บอย่างหนักเพื่อให้ได้วัตถุดิบมา ท้ายสุดเขาก็เหลือเวลาเพียงแค่ผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกันและสร้างต้นแบบก่อนที่จะหมดลมหายใจ

 

ซือหยูตกใจเกินกว่าจะหาคำพูดออกมาเมื่อรับรู้ถึงเรื่องนี้ เขาคาดหวังที่จะปรับปรุงต้นแบบสมบัติภูติชิ้นนี้ ตามที่ตำราเล่มที่เก้าเขียนเอาไว้ มันยังเหลืออีกสามขั้นที่ต้องทำของสิ่งนี้ให้เสร็จ

 

ขั้นที่สองคือการตีวัตถุดิบด้วยความร้อนเพื่อปรับสภาพวัตถุดิบอัสนีในผนึกสายฟ้าห้าธาตุ จากนั้นมันจะกลายเป็นสมบัติกึ่งภูติ แต่ก็ต้องใช้เพลิงพิเศษที่เรียกว่าเพลิงเทวะเท่านั้นเพื่อจะทำให้วัตถุดิบเหล่านั้นร้อนขึ้นมาได้ เพลิงนี้หายากมากในทวีปจิวโจว มีแค่ผู้ที่แข็งแกร่งเหนือระดับจ้าวเทวะเท่านั้นที่จะได้เพลิงนี้มาครอง มันยากอย่างไม่น่าเชื่อที่จะได้เพลิงนี้!

 

เพียงแค่ขั้นต้นแบบก็มีพลังเช่นนี้แล้ว เมื่อเขาตีมันตอนร้อนจะเปลี่ยนเป็นสมบัติกึ่งภูติมันจะทรงพลังเพียงใดกันเล่า? ไม่ว่าจะอย่างไร ซือหยูก็ต้องหาเพลิงเทวะให้ได้เมื่อมีโอกาส

 

ซือหยูอ่านตำราเล่มที่กล่าวถึงวิชาบ่มเพาะของจักรพรรดิสายฟ้าต่อเมื่อรู้เรื่องเพลิงเทวะแล้ว จักรพรรดิสายฟ้าทุ่มเทชีวิตกับวิชาสายฟ้า พลังของเขาจะต้องแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็น่าเสียดายที่ซือหยูไม่พบวิชาที่เหมาะกับเขาแม้ว่าเขาจะอ่านตำราจนจบแล้วก็ตาม

มันมีเงื่อนไขส่วนมากกับวิชาของจักรพรรดิสายฟ้า เขาต้องการคนที่ถึงระดับจ้าวเทวะเป็นอย่างน้อย แม้แต่วิชาที่อ่อนแอที่สุดก็ต้องการให้ผู้บ่มเพาะอยู่ในขอบเขตภูติ มิเช่นนั้นก็จะมิอาจทนรับพลังมหาศาลของสายฟ้าได้!

 

ซือหยูผิดหวังมาก! จักรพรรดิสายฟ้าอาจจะไม่คิดว่าสมบัติของเขาจะถูกส่งถึงมือแมลงวันตัวจ้อยที่ยังไม่มีพลังในขอบเขตภูติ แต่เมื่อซือหยูกำลังผิดหวังอยู่นั่นเอง เขาก็เจอวิชาหนึ่งในตำราสุดท้าย

 

“ดวงใจอัสนี…”

 

มันคือวิชาวิญญาณ!

 

ตามตำราเขียนไว้ หลังจากที่บ่มเพาะวิชานี้ เขาจะสร้างผนึกสายฟ้าในดวงวิญญาณของศัตรูได้ตราบเท่าที่วิญญาณของศัตรูไม่ได้แข็งแกร่งกว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่เชื่อฟัง เขาจะจุดปะทุผนึกสายฟ้าได้ดั่งใจคิด ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใดก็ตาม มันจะทำลายวิญญาณของศัตรูในทันที

 

ซือหยูยิ้ม นี่เป็นวิชาของเขาโดยแท้จริง นี่คือวิชาที่จักรพรรดิสายฟ้าใช้ทำให้คนมากมายในระดับเดียวกับเขากลายเป็นข้ารับใช้

 

เงื่อนไขในการบ่มเพาะวิชานี้ไม่สูงนัก อย่างแรกก็ต้องเป็นผู้บ่มเพาะวิชาอัสนี อย่างน้อยก็ต้องมีพลังของต้นกำเนิด เงื่อนไขต่อไปคือวิญญาณที่แข็งแกร่งเพราะวิชานี้จะใช้วิญญาณในการใช้งาน ถ้าวิญญาณผู้บ่มเพาะแข็งแกร่งไม่พอ เขาจะบาดเจ็บจากสายฟ้าแทน

 

ซือหยูโล่งใจเมื่ออ่านถึงขั้นนี้ ราวกับวิชานี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ! ในด้านความแข็งแกร่งของวิญญาณ ซือหยูนั้นไม่เป็นรองกับเหล่าขอบเขตภูติเลย และเขาก็สร้างต้นกำเนิดสายฟ้าได้มานานแล้ว!

 

ซือหยูกลั้นความตื่นเต้นอ่านต่อไปอย่างอดทน เขายิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นวิชาสุดท้าย

 

“สายฟ้าเลี่ยง”

 

มันคือวิชาลับที่ใช้ในการเคลื่อนที่ มันจะทำให้เขาเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและย้ายไปยังจุดที่ไกลออกไปแสนลี้ ถ้าเขาขยายปริมาณสายฟ้าให้มากพอในพริบตา เขาจะเดินทางไปได้ไกลล้านลี้ มันคือพลังที่ใช้ในการหลบหนี

 

เงื่อนไขในวิชาเรียบง่าย ใครที่บ่มเพาะวิชาอัสนีล้วนบ่มเพาะมันได้ แต่เมื่ออ่านต่อไปซือหยูก็ตระหนักได้ว่าด้วยสายฟ้าที่อยู่ในร่าง เขาใช้วิชาลับนี้ย้ายตัวเองไปได้แสนลี้…แต่แค่ครั้งเดียว! การเดินทางล้านลี้ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา

 

“วิชาของจักรพรรดิสายฟ้าจะยากไปถึงไหนกัน!”

 

ซือหยูเลียริมฝีปาก เขาเริ่มบ่มเพาะวิชาทั้งสองอย่างตื่นเต้น เขาเน้นไปที่วิชาดวงใจอัสนี

 

ซือหยูเพ่งสมาธิอยู่กับการบ่มเพาะพลังหลายวัน และในเวลาเดียวกันก็มีคนเคลื่อนไหวในชั้นเจ็ดของกระโจมเทพ คนกลุ่มใหญ่ออกจากซากเมืองต่างๆไปบรรจบกันที่ป่าศิลา

 

ในตอนนั้น ป่าศิลาเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ คนจากต่างสำนักเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด หนึ่งในนั้นมีราชาปีศาจไป่ฉีและภูติสวรรค์จางตี๋เก้อ ทั้งสองปลอมตัวเป็นมนุษย์ธรรมดาและไล่สังหารหมู่เหล่าผู้คน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด