The Divine Nine Dragon Cauldron 484

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 484 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือหยูตกตะลึงอย่างมากที่ลู่จือหยีนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ นางนั้นทะลวงพลังจ้าวเทวะและเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด!

 

หวูอู๋ยี่กับอีกคนที่ชื่อเว่ยเต๋าเป็นศิษย์นอกของตำหนักเมฆาม่วงที่ติดตามลู่จือหยีมาที่กระโจมเทพสวรรค์เพื่อทำภารกิจ ซือหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่เขากำลังจะทำให้จ้าวเทวะสองคนโกรธแค้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

 

เขาพยายามจะไม่คิดมากในเรื่องนี้ ไม่ว่าจ้าวเทวะในจิวโจวจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกนั้นก็มิอาจมีอำนาจได้ในทวีปเฉินหลง ไม่มีเรื่องให้เขาต้องกังวลมากนัก

 

จากที่หวูอู๋ยี่บอก ซือหยูรู้ว่าตำหนักลับสวรรค์นั้นเป็นเป้าหมายของพวกยอดฝีมือจากจิวโจว! ตำหนักลับสวรรค์คือซากโบราณที่สำคัญที่สุดในกระโจมเทพสวรรค์ มันใหญ่มากและยังไม่ถูกค้นหาจนหมด ตำหนักนี้มีสมบัติมากกว่าเจ็ดในสิบส่วนของกระโจมเทพสวรรค์ คนส่วนมากที่ใฝ่หาการเป็นขอบเขตภูติล้วนต้องหาโอกาสมายังตำหนักลับสวรรค์

 

นี่เป็นข้อมูลสำคัญของซือหยู เขาเริ่มค้นหาโลหิตมังกรและมุกเงินเลี่ยงอัสนีได้จากตำหนักลับสวรรค์นี้

 

“ไปกันเถอะ”

 

ซือหยูพูดและส่งหวูอู๋ยี่เข้าไปยังมุกวิญญาณเก้าหยก

 

“ไปที่ป่าศิลา!”

 

หวูอู๋ยี่ตกตะลึง นางคิดว่าซือหยูจะปิดปากนางหลังจากที่ถามจนหมด! แต่เขากลับส่งนางมาที่หุบเขาอันงดงาม

 

ต้นไม้เล็กสีขาวบินเข้าไป มันคือต้นทับทิมวิญญาณขนนก และดินขนาดเท่ากำปั้นก็โผล่ขึ้นมาจากพื้น รากของมันฝังเข้าสู่ผิวดิน

 

เสียงของซือหยูดังก้องหุบเขากว้างใหญ่

 

“ข้าจะปล่อยเจ้าไปเมื่อข้าต้องการเจ้า”

 

“ช่วยข้าดูแลแปลงเกษตรนับจากวันนี้เป็นต้นไป”

 

ผู้เฒ่าจ้าวเทวะของนางอยู่ในกระโจมเทพสวรรค์ ซือหยูจะปล่อยหวูอู๋ยี่ไปได้อย่างไร?

 

หวูอู๋ยี่ตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ นางครุ่นคิดเมื่อมองดูดินสีทอง สีหน้าของนางเคร่งเครียด จากนั้นความเครียดก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง

 

“ดินเพาะบ่มชั้นสูง! มันคือสิ่งที่เอาไปแลกกับวิชาระดับภูติได้ไม่ใช่รึ? ที่นี่…ที่นี่มีมากเช่นนี้ เป็นไปได้ยังไง?”

 

ดินเพาะบ่มชั้นสูงทำให้หวูอู๋ยี่สับสนอย่างหนัก! มีดินเพาะบ่มชั้นสูงมากถึงหลายร้อยกำมือที่นี่ แค่กำมือเดียวก็นับว่าหายากมากๆแล้วในจิวโจว! ถ้าเรื่องนี้แดงออกไป แม้แต่พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากตำหนักเมฆาม่วงและตำหนักโลหิตก็ต้องออกจากการบ่มเพาะพลัง

 

หวูอู๋ยี่สับสนอยู่ในความตกตะลึง ในความควบคุมของซือหยู นางนั้นถูกจัดให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีทางที่นางจะได้พบกับฉินเซี่ยนเอ๋อและหลงหวูชิง

 

ซือหยูกลับมาสู่กายหยาบ เขามองดูที่ส่วนลึกของพื้นดิน เหล่าเส้นด้ายโลหิตที่ปกคลุมเบื้องล่างนั้นทำให้เขาไม่สบายใจอย่างมาก

 

“ข้าจะต้องออกจากชั้นเจ็ดโดยเร็ว!”

 

ซือหยูรู้สึกถึงภัยเสี่ยงที่นี่ เขารีบบินไปยังป่าศิลา

 

อสรพิษสีเงินยาวแสนศอกในทุ่งหญ้าซากศพค่อยๆแสดงเกล็ดสีโลหิตออกมา ดูเหมือนมันกำลังจะพัฒนา!

 

******

 

ที่ชั้นเจ็ดของกระโจมเทพ ที่ปลายสุดของสายฟ้า

 

บันไดสวรรค์ยืดยาวสุดลูกหูลูกตา!

 

จ้าวยี่หยูมองบันไดสวรรค์และพูดออกมาช้าๆ

 

“ตามที่ท่านราชาบอก บันไดสวรรค์จะนำพวกเราตรงไปยังชั้นแปดที่เราต้องไป! แต่ชั้นแปดนั้นต่างจากชั้นเจ็ดโดยสิ้นเชิง ถ้าเราเจอกับคนแข็งแกร่งที่นั่น การต่อสู้ก็จะยืดเยื้ออย่างมาก พลังของพวกเราอาจจะอ่อนแอเกินไป เราไม่ควรจะแตกคอกันก่อนจะถึงจุดหมาย”

 

จ้าวไป่ลั่วเลิกคิ้ว

 

“ยี่หยู เป็นเรื่องดีที่จะระวัง แต่เจ้าจะทำให้พวกเราเสียกำลังใจไม่ได้!”

 

เขาไม่พอใจที่จ้าวยี่หยูบอกว่าพลังของพวกเขาจะอยู่ในฝั่งที่อ่อนแอ จ้าวแห่งความมืดที่เหลือนั้นมีใบหน้ามั่นใจเช่นกัน

 

จ้าวยี่หยูตอบอย่างหนักแน่น

 

“เราไม่ได้พบอันตรายใดระหว่างทาง เรายังไม่ได้เจอกับยอดฝีมือจากจิวโจวเลย ข้ากังวลว่าเจ้าจะประมาทเกินไป พลังของคนจากจิวโจวมันเหนือกว่าที่เจ้าคิด!”

 

ไป่ลั่วถอนหายใจแรง เขาไม่พูดอะไรต่อและเริ่มก้าวขึ้นบันได คนที่เหลือนั้นขั้นบันไดตามลำดับของตัวเอง

 

******

 

ซือหยูมาถึงป่าศิลาในไม่กี่วันและพบกับการต่อสู้ที่ดุเดือดที่นี่

 

ซือหยูเก็บเรือบินเทวะไปเมื่อห่างจากป่าศิลาแสนศอก เขาบินต่ำและค่อยๆเคลื่อนไหวไปข้างหน้า

 

แกร๊ง–

 

เมื่อเขาค่อยๆเข้าไปก็ได้ยินเสียงโลหะปะทะกันกับเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ที่นั่นยังมีเสียงผู้หญิงที่เขาเคยได้ยินอีกด้วย

 

ซือหยูเข้าไปใกล้ขึ้น เขาพบคนหนุ่มสาวที่สวมชุดสีส้มและสีเขียวร่วมมือกันต่อสู้กับกึ่งเทพสองคน เขาพบว่าคนที่สวมชุดเขียวคือยู่จางจากตำหนักศีลหวนคืน! นางกำลังโจมตีคนสองคนที่สวมชุดประหลาดกับกึ่งเทพอีกห้าคน ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะเป็นยอดฝีมือเร่ร่อน

 

ในบรรดากึ่งเทพทั้งห้าคน สองคนนั้นมีพลังเหลือล้ำ ยู่จางกับอีกสองคนนั้นได้เปรียบในด้านพลัง กึ่งเทพฝั่งที่มีสองคนจนมุมเมื่อผ่านไปร้อยกระบวนท่า พลังวิญญาณของพวกเขากำลังจะหมดไป

 

“ฮ่าๆๆๆ หลังจากที่ฆ่ายอดฝีมือเร่ร่อนสองคนนี้ไปแล้ว เท่ากับพวกเราจะฆ่าไปห้าคน อีกแค่คนเดียวเราก็จะได้ใช้เวทยักย้าย!”

 

ที่อีกด้าน ยู่จางรักษาระยะห่าง สีหน้านางไม่สู้ดีนัก

 

แต่ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มที่มีคิ้วหงงอกขาวได้กลิ่นอะไรบางอย่าง เขามองไปในทิศทางของซือหยูด้วยแววตาดุร้ายหมายจะเอาชีวิต

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

เขาตะโกน

 

“ออกมาซะ!”

 

เขาพูดจบและซัดมีดหนึ่งเล่มเข้าใส่หินก้อนใหญ่ หินแตกเป็นเสี่ยงๆและมีคนบินออกมา เขาคือซือหยู

 

ซือหยูตกใจอยู่บ้าง เขาใช้ผ้าคลุมปีกจักจั่นแต่เขาก็ถูกเจอตัวได้อย่างง่ายๆ ยอดฝีมือจากจิวโจวนั้นแข็งแกร่งโดยแท้จริง

 

“ยอดฝีมือเร่ร่อนคนเดียว”

 

ชายหนุ่มคิ้วหงอกตัวแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็หัวเราะ

 

“สวรรค์เข้าข้างพวกเรา!”

 

ชายหนุ่มชุดสีส้มอีกสี่คนปิดพุ่งเข้าปิดทางหนีของซือหยูทันที

 

“เดี๋ยวก่อน! ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”

 

ยู่จางบินเข้าไปด้วยความแปลกใจ นางเหลือบมองซือหยูราวกับจะบอกให้เขาหนีไป!

 

ชายคิ้วหงอกเลิกคิ้ว

 

“เจ้ารู้จักยอดฝีมือเร่ร่อนผู้นี้รึ?”

 

ยู่จางจ้องมองซือหยู นางเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง

 

“คนคนนี้แข็งแกร่งมาก ไม่ดีแน่ถ้าจะลงมือกับเขา ข้าแนะนำว่าหาคนอื่นเถอะ!”

 

คำตอบของนางทำให้ชายคิ้วหงอกไม่พอใจมาก

 

“ตลกสิ้นดี! ไป่หยูผู้นี้ต้องเกรงกลัวกับคนเร่ร่อนแค่คนเดียวเรอะ? บุก!”

 

ยู่จางเบิกตากว้าง

 

“ไม่นะ!”

 

แต่มันสายไปแล้ว ทั้งห้าคนเข้าโจมตีซือหยูพร้อมกันโดยหมายจะสังหาร

 

ซือหยูถูกจู่โจมทั้งที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์เพียงเพราะเป็นคนเร่ร่อน เขาในตอนนี้นเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง

 

“อวดดีนัก!”

 

เขาตะโกน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด