The Divine Nine Dragon Cauldron 533

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 533 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือหยูเขินอายไปนาน เขาตาบอดแต่เนตรวิญญาณก็ใช้ได้ เขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบางในโลกภายนอก

 

ดังนั้นเขาจึงเห็นทุกสิ่งที่เซี่ยจิงหยูทำ

 

ตั้งแต่ที่คำถามนั้นถูกถามออกมา ความรู้สึกระหว่างทั้งสองก็เติบโตขึ้น เซี่ยจิงหยูมีความรู้สึกกับเขาและซือหยูก็ค่อยๆรับรู้ถึงเรื่องนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่เขามีเซี่ยนเอ๋อที่มิอาจทำให้ผิดหวังได้อยู่แล้ว ต่อมาก็คือเซี่ยจิงหยู แต่เขาก็มิอาจที่จะรับความรู้สึกของนางได้ และถ้าเซี่ยนเอ๋อรู้ว่าคู่หมั้นของนางแอบมีความสัมพันธ์ลับกับเซี่ยจิงหยูที่เคยเป็นสหายสนิทกับนาง นางจะไม่เสียใจหรอกรึ?

 

“เอาล่ะ ให้ข้าช่วยพี่บ่มเพาะดีกว่า”

 

เซี่ยจิงหยูหน้าแดงและรีบเปลี่ยนเรื่อง

 

ซือหยูก็รู้สึกว่าบรรยากาศในขณะนี้มันน่าอาย เขาพยักหน้าและรีบผสานฎีกาสวรรค์กับเซี่ยจิงหยู

 

เขาตัวสั่นเบาๆเมื่อมือผสานกับนางจนแน่น เขาประหม่า นั่นทำให้เขาเครียดยิ่งกว่าเดิม เขาจะตอบรับความรู้สึกของเซี่ยจิงหยูยังไงกัน?

 

ซือหยูผู้ที่กำลังเครียดเข้าหยิบยืมระดับปัญญาของนางและเริ่มบ่มเพาะวิชา การบ่มเพาะเกิดขึ้นไปครึ่งวัน

 

ระหว่างการบ่มเพาะ เซี่ยจิงหยูต้องหยุดพักสองครั้งเพราะมันต้องใช้พลังมาก แต่ใบหน้านางก็มิได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย มันกลับแทนที่ด้วยความสุขที่นางมิอาจปิดบัง

 

******

 

ผ่านไปหนึ่งวัน ซือหยูเหยียดตัวและยืนขึ้น อากาศรอบตัวของเขาสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง พลังปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา

 

เซี่ยจิงหยูรู้สึกได้ว่าทีท่าไม่ดี นางรีบถอยหนีทันทีและมองสิ่งรอบข้างด้วยความแปลกใจ

 

“พลังวิญญาณรอบข้างกำลังผิดปกติ!”

 

ดวงตาของนางแฝงความเจ้าเล่ห์

 

“ตอนที่พี่หยูใช้ตัวตนหยินหยู มีข่าวลือว่าพี่หยูครอบครองวิชาระดับตำนาน ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!”

 

มิติรอบข้างซือหยูสั่นสะเทือนเร็วยิ่งกว่าเดิม รอยแตกสีดำปรากฏบนมิติรอบข้าง พลังมิติโอบล้อมตัวซือหยูจากฟากฟ้าราวกับจะเอาเขาออกไป

 

พลังที่ปล่อยออกมาในครั้งนี้ไปถึงระดับขอบเขตภูติ เช่นนั้นซือหยูจึงจะถูกส่งออกไปรึ? เซี่ยจิงหยูชักสีหน้า

 

โชคดีที่ซือหยูก็ตกใจจากปรากฏการณ์ประหลาดและลืมตาขึ้นทัน แผนที่ลับสวรรค์ปรากฏออกมาทันทีจนพลังมิติต้องถอยกลับไป เขาหยุดมิให้ตัวเองออกไปภายนอกทันเวลา

 

“พี่หยู ข้าดีใจจริงๆ! วิชาระดับตำนานของพี่สำเร็จขั้นกลางแล้ว!”

 

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุขเสียยิ่งกว่าตอนที่บ่มเพาะวิชาของตัวเอง

 

ซือหยูตื่นเต้นมาก หลังจากที่ติดขัดมานาน เขาก็บ่มเพาะอรหันต์แปดอักษรจนถึงขั้นกลาง เขาเรียนรู้วิธีการสร้างอักษรที่มีระดับเหนือกว่าคำว่า “ปิง” และมันก็ไม่ใช่ง่ายๆเลย

 

เขามองเซี่ยจิงหยูที่ดีใจจากภายในไร้แอบแฝง เขาครุ่นคิด

 

“แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรเล่า จิงหยู?”

 

เซี่ยจิงหยูช่วยเหลือเขามากมาย นางช่วยเขาจนถึงขั้นที่เขามิอาจตอบแทนได้หมด

 

มักจะมีคนที่ซือหยูต้องติดหนี้บุญคุณอยู่เสมอ แต่ยากที่จะนับว่าเขาติดหนี้สิ่งใดบ้างกับเซี่ยจิงหยู

 

“ข้าไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ขอแค่พี่หยูจดจำข้าได้ก็พอแล้ว”

 

เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างน่าหลงใหล นางหน้าแดง

 

จดจำเจ้ารึ? การรู้สึกถึงความรู้สึกของเซี่ยจิงหยูที่มากกว่าเดิมทำให้เขารู้สึกหนักอึ้ง

 

“จิงหยู ข้า…”

 

ซือหยูอยากจะพูดแต่ก็หยุดไป แม้ว่าเขาอยากจะปฏิเสธนางอย่างตรงไปตรงมา แต่เมื่อคำพูดจะหลุดออกจาปาก เขาก็พูดอะไรไม่ออกเมื่อมองดวงตาสดใสของนาง

 

รอยยิ้มของเซี่ยจิงหยูหุบลงเมื่อรับรู้ถึงอารมณ์อันซับซ้อนของซือหยู นางเงียบไป มีสิ่งกัดขวางที่มีอาจขจัดได้ระหว่างเขากับนาง เมื่อคิดถึงสิ่งนั้นดวงตาของนางก็หม่นหมองลง

 

ผ่านไปนาน นางฝืนยิ้ม

 

“พี่หยู รีบไปที่ลานประลองนกกระจอกเทวะกันเถอะ ทุกคนไปรวมตัวกันที่นั่น อาจจะมีคนที่พยายามจะผ่านป่ารูปปั้นศิลาก็ได้ ถ้ามีคนทำสำเร็จ เราจะทำตามพวกเขาได้”

 

“ไปสิ แต่เราต้องเตรียมการสักหน่อย”

 

ซือหยูรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เขาหยิบชุดเสื้อผ้าออกมา มันคือเสื้อผ้าของตำหนักศีลหวนคืน

 

“ดูเหมือนว่าคนในจิวโจวจะไม่รู้ว่าครั้งนี้มีคนจากทวีปเฉินหลงมาที่นี่ด้วย พวกนั้นจึงเรียกพวกเราว่ายอดฝีมือเร่ร่อนจากจิวโจว ในจิวโจว ยอดฝีมือเร่ร่อนเป็นคนต่ำต้อย เราต้องแสร้งเป็นศิษย์ตำหนักศีลหวนคืนเพื่อเลี่ยงปัญหา”

 

ซือหยูรีบสวมเสื้อผ้าที่มีสัญลักษณ์ของตำหนักศีลหวนคืน เขาดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

 

เซี่ยจิงหยูพยักหน้า

 

“ข้าจะทำทุกอย่างที่พี่หยูบอก”

 

นางแอบมองซือหยู ไม่ว่าซือหยูจะสวมอะไร เขาก็ดูเป็นตัวของตัวเองเสมอ

 

ซือหยู หยินหยู ราชาปีศาจหิมะทมิฬ ตัวตนใดกันที่มิได้สั่นคลอนโลกใบนี้? เมื่อคิดเช่นนี้นางก็รู้สึกภูมิใจในตัวเขา

 

ลานประลองนกกระจอกเทวะอยู่ไม่ไกลมากนัก พวกเขาตามทางที่เจิ่งซื่อชิงหนีไปและมาถึงในครึ่งชั่วยาม

 

เมื่อพวกเขาอยู่ห่างหลายร้อยลี้ พวกเขาพบร่องรอยมนุษย์อยู่บ้าง คนเหล่านั้นกำลังสำรวจรอบๆป่ารูปปั้นศิลา ดูเหมือนพวกเขาจะหาทางแก้ปริศนานี้

 

ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกเท่าใดก็ยิ่งเจอคนมากขึ้น มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาได้พบกลุ่มคนยี่สิบคนที่เป็นกลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุด

 

พวกเขามาถึงลานกว้างใหญ่ราวแสนศอก พวกเขาตกตะลึงกับผู้คนกลุ่ทใหญ่ในทันที

 

มีคนราวสามถึงสี่ร้อยคนในลานกว้างนี้ ทุกคนสวมเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกัน และพวกเขายังมีฐานพลังที่แตกต่างกัน พวกเขากระจายกันไปตามพื้นที่กว้าง

 

ไม่นานก็มีเสียงดังราวกับตลาดสดที่มีคนหนาแน่น

 

เมื่อซือหยูมาถึงที่นี่หลังจากที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่ไร้ผู้คน ความรู้สึกของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

 

แต่ที่ซือหยูตกใจยิ่งกว่าก็คือมีคนมากมายอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก หรือว่าพวกเขาจะปรากฏตัวในชั้นแปดตั้งแต่เริ่ม?

 

ที่ชั้นเจ็ดของกระโจมเทพ ซือหยูกับกลุ่มของเขาเข้ามายังชั้นแปดด้วยความยากลำบากและต้องเจอกับอันตรายมากมาย และพวกเขาก็เกือบจะตายด้วยมือหุ่นเชิดสีเงิน

 

แล้วเหตุใดถึงมีคนมากมายที่นี่เล่า?

 

“ที่นี่คนเยอะจริงๆ ดูเหมือนว่าตอนที่ราชาแห่งความมืดช่วยยอดฝีมือเร่ร่อนคนหนึ่งไว้ในปีก่อนนั้น เขาจะได้ข้อมูลเรื่องเส้นทางระหว่างชั้นเจ็ดและชั้นแปดของกระโจมเทพมาด้วย”

 

เซี่ยจิงหยูพูด

 

“ในบรรดายอดฝีมือเร่ร่อนของจิวโจว เส้นทางนั้นไม่นับว่าเป็นความลับ ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ใช้ทางลัดเข้ามาในชั้นแปด”

 

อย่างที่คิด มันยังมีเส้นทางอื่น!

 

เวทยักย้ายที่ลู่จือยี่กับคนอื่นใช้นั้นเป็นเส้นทางโบราณไปแล้ว ส่วนข้อมูลจากยอดฝีมือเร่ร่อนนั้น ถ้าไปเทียบกับสำนักใหญ่ก็นับว่าก้าวไกลกว่ากันมาก

 

มีไม่กี่สำนักที่รู้ข้อมูลนี้ เช่นสำนักยูเฟิง ซือหยูจำไม่ได้เลยว่าเจอพวกนั้นในชั้นเจ็ด แต่พวกเขาก็มาถึงชั้นแปดได้เช่นกัน

 

“ข้าได้ยินว่าทุกครั้งในวันสุดท้ายของกระโจมเทพสวรรค์ ตามปกติแล้วจะมีงานแลกเปลี่ยนขึ้น ทุกคนจะได้รับของที่ต้องการ น่าเสียดายที่ครั้งนั้นราชาแห่งความมืดไม่มีสิทธิ์มาที่ชั้นแปด ว่ากันว่าของล้ำค่าต่างๆจะปรากฏในงานแลกเปลี่ยน มันอาจจะต้องตาผู้เฒ่าจากจิวโจวและจ้องตาผู้อาวุโสจากภายนอก พวกนั้นจะหาทางเปิดมิติมาเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของที่นี่ ผู้แลกมักจะได้รับของที่มีค่ามากกว่าที่ควรจะเป็น”

 

อะไรนะ? ยังมีโอกาสที่เหล่าผู้อาวุโสจากจิวโจวจะมาเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของด้วยรึ? ยู่จางไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่มีใครในกระโจมเทพหาโลหิตมังกรเจอ ซือหยูก็ยังถามหาเอาจากผู้อาวุโสในจิวโจวได้ถ้าพวกเขาปรากฏตัว และมีโอกาสสูงที่คนเหล่านั้นจะมีโลหิตมังกร ซือหยูจะไม่พลาดงานแลกเปลี่ยนในครั้งนี้แน่

 

ซือหยูมองรอบๆและพบคนที่คุ้นหน้าอยู่บ้าง

 

ราชาปีศาจไป่ฉี! ในความจริง ไป่ฉีนั้นเห็นซือหยูตั้งแต่ที่เขามาถึงและคอยสังเกตมาโดยตลอด

 

ส่วนอีกคนก็คือจางซื่อเหลียน! ดูเหมือนว่านางจะหนีหุ่นเชิดสีเงินและเข้าสู่ชั้นแปดได้สำเร็จ

 

ส่วนคนที่อยู่กับเขาในตอนนั้นอย่างยู่จางนั้นหายตัวไป ลู่จือยี่ออกจากกระโจมเทพสวรรค์ไปแล้ว จางตี๋เก้อกลายเป็นหิน โจวฉีหมิงตายไปแล้ว เหลือแค่สามคนที่เขารู้จัก

 

ทั้งสองพยักหน้าให้เขาจากระยะไกลเพื่อทักทายซือหยู

 

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ เขาหันไปมองทันที

 

หลังกลุ่มคนมีเด็กสาวอายุสิบสี่สวมหมวกไผ่ หมวกไผ่ปิดใบหน้าของนางเอาไว้ทำให้เห็นแต่เพียงส่วนโค้งเว้าที่ทำให้ซือหยูบอกได้ว่านางเป็นผู้หญิง

 

ฐานพลังของนางอยู่ในระดับราชามนุษย์เท่านั้น ไม่ต่างกับซือหยูและคนที่มากับเขาเท่าใดนัก

 

แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทันทีที่เขาเห็นเด็กสาวคนนี้เขาก็ใจสั่นอย่างแรง เขารู้สึกกลัวอย่างแปลกๆ แต่เมื่อเขาใช้เนตรวิญญาณมองดูก็เห็นว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษจากนาง ความสงสัยหายจากไป

 

“ฮื่ม เจ้าสองคนยังกล้ามาอีกเรอะ ศิษย์น้องของข้าไปไหน?”

 

แววตาไม่พอใจตามเสียงนั้นมา

 

เจิ่งซื่อชิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย ข้างๆเขามีชายหัวล้านที่ซุกมือทั้งสองไว้ในชุด เขาพกมีดสีดำเล่มใหญ่และมีกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ดูดุดัน แววตาของเขาดุร้ายและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ร่างของเขามีกลิ่นโลหิต

 

ซือหยูเห็นคลื่นอากาศรอบตัวเขาว่ามีละอองโลหิตอยู่ด้วย นั่นเป็นพลังโลหิตที่หลงเหลือหลังจากที่เขาสังหารคนมามากเกินไป!

 

ซือหยูสังหารคนมามากมายเช่นกัน แต่เขาก็ไม่มีพลังโลหิตรอบกายเช่นนี้ ดังนั้นชายหัวล้านคนนี้จึงนับว่าฆ่าคนมามากมายโดยแท้จริง!

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด