The Divine Nine Dragon Cauldron 610

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 610 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือหยูรู้สึกว่าจิตใจของเขาแจ่มชัดขึ้นกว่าที่เคย ความคิดอ่านของเขาตื่นตัวและเบาสบายขึ้นมาก

 

บางวิชาที่ยากจะเข้าใจในอดีตกลับเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ และโอรสสวรรค์จ้องนภาที่เขาไม่เคยก้าวข้ามได้ยังเพิ่มขั้นขึ้นมาอีก

 

“หยินดีด้วย เจ้าจะได้บ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาจริงๆจังๆเสียที”

 

หยุนย่าสีโล่งใจ

 

“ข้าเดาว่าน่าจะใช้สองปีที่เจ้าจะมาที่ระดับสองได้ แต่เจ้ากลับทำได้ในครึ่งปี!”

 

โอรสสวรรค์จ้องนภาระดับหนึ่งนั้นคือขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงวิญญาณ มันคือระดับพื้นฐานในวิชา ถ้าหากบ่มเพาะอย่างเต็มที่ ผู้บ่มเพาะจะพร้อมสำหรับการบ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาของจริง ซึ่งในความเป็นจริง โอรสสวรรค์จ้องนภาในขั้นแรกกับขั้นสองนั้นเป็นเนื้อหาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ซือหยูเรียกเอาแผ่นทองแดงออกมา เนื้อหาในระดับสองปรากฏขึ้นมาแล้วจริงๆ!

 

“ขอบเขตวิญญาณจักรพรรดิ!”

 

“ระดับตำนาน จัดให้มีขั้นแรกเริ่ม ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสุดยอด”

 

“ขั้นแรกเริ่มจะทำให้ควบคุมวิญญาณที่เหนือกว่าได้หนึ่งระดับ”

 

“ขั้นต้นจะทำให้ควบคุมวิญญาณสองดวงที่เหนือกว่าได้หนึ่งระดับ”

 

“ขั้นกลางจะทำให้ควบคุมวิญญาณสี่ดวงที่เหนือกว่าได้หนึ่งระดับ”

 

“ขั้นสุดยอดจะทำให้ควบคุมวิญญาณแปดดวงที่เหนือกว่าได้หนึ่งระดับ และจะสร้างได้แม้กระทั่งลำดับอสูรแฝงแปดวิญญาณ พลังของลำดับจะขึ้นอยู่กับพลังของวิญญาณที่ควบคุม”

 

แค่ได้อ่านระดับแรกก็ทำให้ซือหยูพูดไม่ออกแล้ว

 

ควบคุมวิญญาณที่เหนือกว่าหนึ่งระดับรึ? มันหมายความว่าอะไรกัน?

 

นั่นหมายความว่าถ้าหากวันหนึ่งซือหยูได้กลายเป็นภูติ เขาจะควบคุมวิญญาณของจ้าวเทวะได้โดยตรง! และทุกขั้นของวิชาจะเพิ่มวิญญาณที่เขาควบคุมได้เป็นสองเท่า! และถ้าหากบ่มเพาะไปถึงขั้นสี่ เขาจะควบคุมวิญญาณแปดดวงได้ในคราเดียว!

 

ลองคิดถึงตอนที่เขาควบคุมจ้าวเทวะได้แปดคน! เขาจะท่องได้ทั้งจิวโจว! ซือหยูอ่านเงื่อนไขของแต่ละขั้น…

 

“การฝึกในระดับสองต้องการสองเงื่อนไข อย่างแรกคือผู้ถูกควบคุมวิญญาณจะต้องไม่ถูกรบกวนจิตสำนึก อย่างที่สองคือผู้ควบคุมจะต้องมีวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยจะต้องแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปสามเท่า”

 

เงื่อนไขแรกมิได้เกินกว่าที่ซือหยูคาดหมาย แต่ขั้นที่สองนั้นทำให้ซือหยูมึนงง

 

ไม่แปลกที่ระดับสองจะสร้างมาจากพื้นฐานของระดับแรก ตอนที่เขาเชี่ยวชาญในระดับแรก วิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วสามเท่า

 

“นับจากวันนี้ไป ข้าจะหยุดบ่มเพาะพลังของข้าและเริ่มสอนเจ้าบ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภาให้เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าเจ้าไปถึงขั้นสุดยอด เจ้าจะไร้เทียมทานกับคนที่มีพลังเท่าเจ้า”

 

หยุนย่าสีดูคาดหวัง

 

ซือหยูดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น หยุนย่าสีแทบจะไม่เคยชี้แนะสิ่งใดกับเขาเลย ถ้าหากเขาสอนซือหยูเองนับแต่วันนี้ เขาจะต้องบรรลุขั้นสุดยอดของวิชานี้ได้ง่ายๆแน่!

 

“แต่ท่านอาจารย์ ตามพลังของข้ากับสมบัติที่มี ข้าก็ต่อสู้กับภูติได้อยู่แล้ว วิชานี้จะมีประโยชน์จริงๆรึ?”

 

ซือหยูยินดีไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดอีกครั้งเขาก็มีความคิดที่ต่างออกไป

 

หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ

 

“เจ้าสู้กับภูติอย่างตรงไปตรงมากี่คนกัน แล้วเจ้าเอาชนะจริงๆได้กี่คน?”

 

ซือหยูเริ่มคิด ทั้งหมดที่เขาได้เจอ เขาเจอกับภูติอย่างจางตี๋เก้อ ไป่หยีเจี้ยน และชางก่วนชิงเอ๋อ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นคนที่ไม่น่าจดจำเท่าใด

 

ลู่จือยี่ ราชาปีศาจ วิญญาณของชายแก่ในภาพเขียน ไป่ฉี ฉีเทียนโจว กู้ไทซูที่เป็นร่างเงาที่มีพลังระดับภูติ ซึ่งในความจริงแล้ว ทุกคนล้วนถูกกระโจมเทพสวรรค์กดพลังเอาไว้ ดังนั้นภูติจริงๆที่เขาได้สู้ก็คือจางตี๋เก้อกับไป่หยีเจี้ยน

 

จางตี๋เก้อกลัวที่จะโดนย้ายกลับไปเฉินหลงจึงไม่ใช้พลังระดับภูติจัดการซือหยู ส่วนไป่หยีเจี้ยนกับชางก่วนชิงเอ๋อก็ไม่ได้สู้กับเขาอย่างตรงไปตรงมาและถูกสังหารโดยบังเอิญ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซือหยูก็ได้รู้แล้วว่าเขาไม่ได้เอาชนะภูติได้อย่างแท้จริงสักคนเดียว!

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ซือหยูรู้ตัวแล้วว่าเขาเอาแต่พึ่งพาสมบัติเพื่อทำร้ายศัตรู เขาชินชากับความประมาทของตัวเองและเริ่มที่จะดูถูกยอดฝีมือขอบเขตภูติ!

 

“ดูเหมือนเจ้าจะรู้ตัวแล้วสินะ ข้าคงไม่พูดอะไรอีก”

 

หยุนย่าสีพูดเสริม

 

“ดินแดนแห่งนี้กดพลังของคนพวกนั้นเอาไว้มาก ภูติที่เจ้าได้เจอล้วนไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ ถ้าเจ้าไปที่โลกภายนอก เจ้าก็คงจะเป็นคนที่ตายในตอนนั้น”

 

หยุนย่าสีพูดต่ออีก

 

“ตอนนี้ ต้นแบบสมบัติภูติของเจ้าต้องใช้กักตัวจิตวิญญาณสายฟ้า พลังหลอมรวมต้นกำเนิดของเจ้าสังหารศัตรูได้ก็จริง แต่เจ้าก็บาดเจ็บไปด้วย ที่ผ่านมา เจ้าใช้ภาพเขียนวิบัติอัคคีนั่นไปหลายครั้ง เพลิงถูกใช้ไปเสียมาก ถ้าเจ้าได้เจอกับภูติระดับสี่ในตอนนี้ เจ้าจะเอาชนะได้ยังไง?”

 

ซือหยูเช็ดเหงื่อเย็นๆที่ไหลออกมาเมื่อได้ฟังหยุนย่าสี ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงจะเจอปัญหาที่ยากจะแก้ ไพ่ตายทั้งสามล้วนมีข้อบกพร่อง ทั้งหมดที่อาจารย์พูดเป็นเรื่องจริง

 

ครั้งแรกเขาใช้ภาพเขียนกับอสูร เขาปล่อยวิบัติอัคคีมาครึ่งหนึ่ง ครั้งที่สองกับฮงหลวน เขาปล่อยเพลิงมาอีกส่วน

 

ตอนที่สู้กับกู้ไทซู เขาก็ยังใช้เพลิงอีก วิบัติอัคคีที่เหลือในตอนนี้นั้นน้อยมาก ปริมาณเท่านี้คงพอที่จะใช้กับภูติขั้นต้น แต่มันคงจะไร้ความหมายถ้าใช้กับคนที่ระดับสูงกว่า

 

“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่สอนสั่ง”

 

ซือหยูเปลี่ยนความคิดในทันที..

 

หยุนย่าสีพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“นี่คือสิ่งที่ข้าวางใจเจ้าที่สุด เจ้าระวังตัวอยู่เสมอ! ข้าต้องไปพักสักหน่อย ถ้าเจ้ามีอะไรจะถาม ตอนนี้แหละเวลาของเจ้า”

 

เขาเดินทางหลายล้านลี้และสังหารอสูรเนรมิตรไป เขาได้ใช้พลังไปมาก ดังนั้นเขาต้องพัก

 

“ท่านอาจารย์ ตอนที่พูดถึงภูติขั้นสี่ นั่นมันระดับอะไรกัน? ข้าเคยได้ยินแต่ภูติขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูงมิใช่รึ?”

 

ซือหยูถามด้วยความสงสัย

 

“ง่ายดายนัก ในภูติขั้นต้นจะมีอยู่หลายระดับ ระดับแรกเป็นระดับต่ำสุด ระดับสองมีพลังเหนือขึ้นมานิดหน่อย ระดับสามคือจุดสูงสุดของภูติขั้นต้น ส่วนภูติขั้นกลางจะแบ่งเป็นระดับสี่ ห้า หก ส่วนภูติขั้นสูงจะเป็นขั้นเจ็ด แปด เก้า”

 

ซือหยูเข้าใจในทันที แม้ว่าจะเป็นภูติขั้นต้น ไป่หยีเจี้ยนแข็งแกร่งกว่าจางตี๋เก้อมากมายนัก

 

ดูเหมือนว่าระดับสามจะเป็นระดับสูงสุดของภูติขั้นต้น ขณะที่จางตี๋เก้ออยู่ในระดับแรก หมายความว่านางคือภูติที่อ่อนแอที่สุด

 

“แต่ละระดับจะมีพลังที่ต่างกันมาก ถ้าหากขั้นของสมบัติกับวิชาอยู่ในระดับเดียวกัน คนที่ขั้นพลังสูงกว่าก็ย่อมชนะคนที่อ่อนแอกว่า”

 

หยุนย่าสีอธิบาย การที่ซือหยูเอาชนะคนที่ระดับสูงกว่าได้ไม่กี่ขั้นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

 

“ท่านอาจารย์ ข้าเคยสู้กับร่างวิญญาณมาแล้ว ตอนข้าถูกเพลิงวิญญาณเยือกแข็งของตัวเอง มันจะแช่แข็งวิญญาณได้โดยตรง นี่มันเป็นวิชาใช่หรือไม่? ทำไมวิญญาณถึงมีธาตุน้ำแข็งได้ล่ะ?”

 

ในตอนที่เขาสู้กับวิญญาณชายแก่ในภาพเขียน ชายแก่ได้ใช้เพลิงเยือกแข็งที่รับมือยากมาก ซือหยูเกือบจะพลาดท่าให้กับมัน

 

“หึหึหึ ยังเร็วไปที่เจ้าจะคิดเรื่องนั้น อย่างน้อยเจ้าต้องมีพลังจ้าวเทวะ ถึงจะฝึกฝนต้นกำเนิดวิญญาณได้!”

 

หยุนย่าสีกล่าว

 

“พวกมนุษย์มีลักษณะของแต่ละคนที่ต่างออกไป วิญญาณก็เช่นกัน วิญญาณมีธาตุอยู่ด้วย วิญญาณของศัตรูเจ้าเป็นธาตุน้ำแข็ง”

 

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อให้มั่นใจว่าซือหยูกำลังฟังอยู่และพยักหน้า

 

“ต่างคนก็ต่างธาตุวิญญาณ เจ้าไม่ต้องริษยา ถ้าวิญญาณเจ้าไปถึงระดับจ้าวเทวะ ธาตุวิญญาณเจ้าจะปรากฏออกมาเอง”

 

ซือหยูเข้าใจคำอธิบาย การเป็นจ้าวเทวะมันให้ผลดีอย่างนั้นเลยรึ?

 

“เจ้ามีอะไรอีกหรือไม่?”

 

หยุนย่าสีถาม

 

ซือหยูส่ายหน้า

 

“ท่านอาจารย์โปรดพักผ่อน ข้ามีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน”

 

หยุนย่าสีพยักหน้า

 

“เอาล่ะ ถ้าเจ้าอยู่ในม่านพลังที่ข้าทิ้งไว้ เจ้าจะไม่ถูกย้ายออกไปข้างนอกชั่วคราว จะทำอะไรก็ตามใจเจ้า”

 

ซือหยูยิ้ม ตราบเท่าที่เขามีแผนที่ลับสวรรค์ เขาจะไม่ถูกย้ายออกไปแม้ว่าจะไร้ซึ่งม่านพลัง วิญญาณของซือหยูเข้าสู่มุกวิญญาณเก้าหยก

 

“อู๋ยี่ ก่อนหน้านี้เจ้าจะพูดอะไรกับข้ารึ?”

 

ซือหยูไปที่หน้ากระท่อมไผ่และถาม

 

หวูอู๋ยี่ยังคงจมอยู่กับความคิดแบบเดิม นางหยิบเอาเกราะสายฟ้ามาอย่างเงียบๆ

 

“ข้าทำมันเสร็จแล้ว”

 

นางยื่นมันให้ด้วยมือทั้งสอง หวูอู๋ยี่หัวเราะในใจ เจ้าคงจะพอใจแล้วสินะ!

 

“เจ้าดูเหนื่อยจังเลย”

 

ซือหยูรับไม่ได้ เขาสังเกตเห็นนิ้วมือของหวูอู๋ยี่ที่บวมแดงและใบหน้าซีด

 

“ก่อนหน้านี้ ข้ากำลังจะตาย ข้าต้องรีบโดยไม่ได้สนใจดูเจ้า เป็นความผิดข้าเอง”

 

ซือหยูขอโทษและถอนหายใจ

 

“เจ้าเก็บเกราะสายฟ้าเอาไว้ก่อนได้ ยังต้องใช้เวลากว่าที่ข้าจะได้เป็นภูติ เจ้าเอามันไปใช้ก่อนได้เลย”

 

หวูอู๋ยี่ตัวแข็งทื่อเมื่อได้ฟังคำอธิบาย นางเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นและรู้สึกละอายกับตัวเอง

 

เขาตกอยู่ในอันตรายมาก่อนหน้านี้ ไม่แปลกเลยที่เขาจากไปอย่างรีบร้อน นางเข้าใจผิดว่าซือหยูเย็นชาต่อนาง

 

ในตอนแรก ไม่ว่าซือหยูจะเย็นชาต่อนางเท่าใด นางก็ไม่เคยเก็บเอามาคิด แต่เมื่อครู่ที่ซือหยูเย็นชาต่อนาง มันกลับทำให้นางน้อยใจ ข้าเป็นอะไรกัน? ทำไมข้าต้องสนใจท่าทีของเขากับข้ากันเล่า?

 

“เจ้าไปพักให้สบายจะดีกว่า บอกข้าถ้าต้องการสิ่งใด”

 

ซือหยูพูดและไปอยู่ที่หน้ามุกบาดาล

 

ซือหยูไม่พูดอะไร เขาใช้ทรายดาราทางช้างเผือกชำระล้างแก่นโลหิตของจ้าวโลกอสูร เมื่อเขาใช้พลังจนหมดจึงหยุดมือลง อย่างเคย ซือหยูชำระล้างโลหิตออกมาได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วน

 

“ถ้าข้าจัดการมันได้หมด อะไรจะรอข้าอยู่กัน”

 

ซือหยูคาดหวังกับมุกบาดาลอย่างมาก เขาเตรียมจะออกไป

 

หวูอู๋ยี่ถามขึ้นมา

 

“นายท่านจะไม่ไปดูจางตี๋เก้อหน่อยรึ? นางถูกลงโทษอยู่น่ะ”

 

จางตี๋เก้อรึ? ซือหยูหันไปมองมุมหุบเขาที่ที่จางตี๋เก้อถูกเพลิงวิญญาณแผดเผา ดูจากความชิงชังบนใบหน้า นางยังสำนึกผิดไม่พอ

 

“ให้นางอยู่อย่างนั้นแหละ”

 

ซือหยูพูดอย่างไร้อารมณ์

 

เมื่อวิญญาณหายไป ซือหยูกลับมาที่ร่างเนื้อ การชำระล้างมุกบาดาลกินเวลาเขาไปครึ่งวัน!

 

“ได้เวลากลับเฉินหลงเสียที”

 

ซือหยูยืนขึ้นและพัดม่านแสงออกไป

 

เขาเก็บแผนที่ลับสวรรค์ พลังมิติจากกระโจมเทพสวรรค์เข้าโอบล้อมเขาในทันที ก่อนที่เขาจะถูกย้ายออกไป เขามีความคิดมากมาย…

 

ข้าจากไปสองเดือน เจ้าตำหนักหลิงจะเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าไม่ได้กลับไปนานเช่นนี้ เขตหยินหยูยังอยู่ดีไหม? ท่านหยูโหรวจะตื่นจากการหลับใหลแล้วได้ใบหน้าคืนมาหรือยังนะ?

 

มีคนไปเคารพสุสานลี่กวงหรือไม่? ร่างกายของท่านดยุคยังแข็งแรงดีอยู่ไหม? เจียงซื่อฉิงยังคงมองนภาในที่เดิมอยู่ไหม?

 

ท่านจ้าวคณะวิหคเพลิงจะสร้างคณะวิหคเพลิงขึ้นใหม่หรือยัง? ฉีตงไล่กับฉีหยุนเซี่ยงยังอยู่ดีในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไหม?

 

แม้จะผ่านไปสองเดือน ซือหยูก็รู้สึกว่าราวกับผ่านไปสองปีเต็ม! เขาเข้าไปยังสายพลังมิติ

 

อย่างเคย แสงสีเงินส่งคนจากท้องนภาไร้จุดจบไปยังลานประลองลับสวรรค์เบื้องล่าง เมื่อลงไปถึงก็ยากที่จะลืมตาได้ แต่เนตรวิญญาณของซือหยูไม่ได้รับผลเช่นนี้

 

เขามองไปรอบๆและพบว่าเพดานนั้นลอยอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ท้องนภากว้างใหญ่ของกระโจมเทพสวรรค์เริ่มไกลออกไป

 

เพดานได้ห่างไกลขึ้น ซือหยูรู้สึกว่าเขาจมลงไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม! ซือหยูมองลงไปยังทวีปเฉินหลง จากความสูงระดับนี้ เขาเห็นรูปลักษณ์ของทวีปเฉินหลงได้อย่างชัดเจน

 

ในทีแรก เขามองดูมันอย่างชื่นชม แต่เมื่อได้เห็นภาพทั้งหมด เขาก็หายใจเข้าลึก

 

เขาตกใจมาก

 

“เป็นไปไม่ได้! นี่จะเป็นทวีปเฉินหลงได้ยังไง?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด