The Divine Nine Dragon Cauldron 811-812

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 811-812 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.811 – ยอมติดกับดัก
ซือหยูใจเต้นแรง…ภูติผีที่ตายเมื่อร้อยปีก่อนกำลังจะเกิดใหม่งั้นเรอะ?
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นจ้าวเทวะชั้นกลางจริงซือหยูก็กลั้นหายใจและเริ่มถอย ซือหยูกัดฟันเบาๆขณะที่มองเสวี่ยฉีที่ติดอยู่
ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจต่อสู้กับจ้าวเทวะชั้นกลางได้และถ้าเขาผลีผลามเข้าไป เขาก็จะช่วยชีวิตใครไม่ได้เลย ทุกคนจะตายอย่างสูญเปล่า เขาตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปขอความช่วยเหลือ
หลังจากกลับไปแล้วเขากลานออกมาจากอุโมงค์ สายลมที่พัดลงมาทำให้ซือหยูรู้สึกเยือกเย็นที่หน้าผาก มันคือเวลาเดียวกับที่เขารู้ว่าหน้าผากตัวเองมีเหงื่ออยู่เต็มไปหมด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสัตว์ประหลาดดุร้ายที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของคนหลายคนในครึ่งปีมานี้จะอยู่ใต้เท้าของเขามาโดยตลอด!ซือหยูจะต้องรีบไปเตือนเจ้าตำหนักและขอให้เขามาจัดการ!
หลังจากที่ซือหยูกลับค่ายเขาพบว่าปิงหวูชิงกับคนที่เหลือกลับมาแล้ว
“ทำไมเจ้ากลับมาล่ะ?เกิดอะไรขึ้น?”
ไป่ชานเหลียงถามซือหยู
“เดี๋ยวก่อน!มีพิษอยู่บนร่างของเจ้า เจ้าเจอสัตว์ประหลาดที่ลักพาตัวเสวี่ยฉีงั้นรึ?”
ทุกคนยืนขึ้นมองซือหยูอย่างเป็นกังวลในทันทีซือหยูพยักหน้า
“ค่อยพูดทีหลังเถอะเราต้องไปรายงานเจ้าตำหนักเดี๋ยวนี้ว่าข้าเจอตัวเสวี่ยฉี!”
สีหน้าทุกคนหม่นหมองดูจากท่าทางของซือหยู พวกเขาเดาได้เลยว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
“ศิษย์น้องเจ้าไม่ต้องไปที่นั่น เจ้าตำหนักออกจากตำหนักไปต้อนรับกำลังเสริมแล้ว ตอนนี้มีแต่ผู้เฒ่าอยู่ในตำหนักเท่านั้น”
ไป่ชานเหลียงส่ายหน้า
ทำไมเขาถึงออกจากตำหนักในเวลาแบบนี้กัน?ซือหยูใจหายเล็กน้อย เขามองรอบๆและขมวดคิ้ว
“จื่อเสวียนไปไหน?นางยังไม่กลับมางั้นรึ?”
“นางกลับมาแต่ก็ออกไปในไม่นาน ข้าไม่รู้ว่านางเลี่ยงใคร…คืออะไรอยู่”
ไป่ชานเหลียงพูดขณะมองซือหยูสัญชาตญาณบอกเขาว่าจื่อเสวียนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดา
ซือหยูตกใจไม่ต่างกัน…ทำไมจู่ๆนางถึงออกไปอย่างไม่มีเหตุผลล่ะ?นางรู้สึกถึงอันตรายงั้นรึ?
ตอนนี้ไม่มีใครเหลือที่จะช่วยข้าเลยแล้วข้าจะช่วยเสวี่ยฉีได้ยังไง?
“ศิษย์น้องทำไมเจ้าไม่บอกสถานการณ์ของเสวี่ยฉีในตอนนี้เล่า? พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือพร้อมกับศิษย์ในอีกเจ็ดคนนั่น…”
ไป่ชานเหลียงแนะนำ
มีแค่นั้นหรอกรึ?ซือหยูส่ายหน้าหลังจากพิจารณา เพราะสี่อสูรอย่างพวกเขาคงโดนจ้าวเทวะสังหารได้ง่ายๆ มีเพียงผู้เฒ่าในตำหนักเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์
แต่จู่ๆซือหยูก็ตาลุกวาว
“ข้าคิดออกแล้ว!พวกเจ้าปล่อยให้ข้าจัดการเอง ส่วนพวกเจ้าไปบอกผู้เฒ่าในตำหนักโดยเร็ว”
อสูรทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความสับสนพวกเขาล้วนสงสัยว่าซือหยูคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขาก็ทำตาม พวกเขาตัดสินใจรอสักครู่ก่อนจะไปแจ้งผู้เฒ่าในตำหนัก
ไม่นานซือหยูก็กลับมาในภูเขาทมิฬเงียบๆเขามองท้องฟ้ามืดครึ้มและสั่งสมาธิบนภูเขา จากนั้นก็ตรวจสอบสิ่งที่ได้ในวันนี้
ผ่านไปนานกลุ่มคนบินมายังภูเขาที่ซือหยูอยู่ พวกเขาคือศิษย์ในทั้งเจ็ด! พวกเขาสงสัยเรื่องที่ซือหยูหาสมบัติเจอในเมื่อวาน พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ว่าซือหยูได้อะไรในวันนี้บ้าง
“ศิษย์น้องเจ้าเพิ่งจะเริ่มพักหรือ?”
เสียงอ่อนโยนไพเราะดังขึ้น
เมื่อซือหยูเงยหน้าเขาก็พบศิษย์พี่สตรีที่สวมชุดหลากสียืนตรงหน้าดวงตาอันงดงามของนางจ้องมองสมบัติจำนวนมหาศาลข้างหน้าซือหยู
ซือหยูรีบเก็บสมบัติและรีบยืนขึ้นเขาประสานหมัด
“ศิษย์พี่ทุกท่าน…”
สายตาศิษย์ในทั้งหกที่อยู่ด้านหลังสตรีเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อมองภูเขาลูกที่หดเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม!พวกเขาเป็นจ้าวเทวะทั้งหมด แต่ความเร็วในการขุดค้นกลับต่ำกว่าภูติคนนี้! เรื่องนี้ทำให้่พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก!
สายตาของทั้งหกเต็มไปด้วยความโลภอีกด้วยเพราะสมบัติที่ซือหยูมีได้ดึงดูดพวกเขา
“ศิษย์น้องเจ้ามีวิธีการดีจริงๆ ขุดภูเขาได้สองในสามในเวลาแค่สองวัน! ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะเจอสมบัติหลายชิ้น”
ศิษย์พี่สตรีขบริมฝีปากนางทึ่งกับควมสำเร็จของซือหยู มีความริษยาอยู่ด้วยเช่นกัน
ซือหยูตอบอย่างถ่อมตัว
“ข้าเพียงโชคดีเท่านั้นดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้จะไม่ได้แข็งอย่างที่ข้าคิด ข้าเลยขุดค้นได้ง่ายๆ”
“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้วถ้าเจ้ามีโอกาสมาตำหนักในในอนาคต เจ้าไปหาข้าให้ชี้แนะเรื่องการบ่มเพาะพลังได้เลย”
นางอย่างจะพูดอย่างอื่นหลังจากนั้นแต่นางก็หยุดตัวเอง
พวกเขามีเวลาแค่สามวันเช่นกันนั่นหมายความว่าพวกเขาเหลือเวลาอีกวันเดียว พวกเขาต้องกลับตำหนักในในวันพรุ่งนี้ แม้สิ่งที่ได้กลับไปจะไม่น้อย แต่มันก็เทียบกับซือหยูไม่ได้เลย
นางอยากจะถามซือหยูว่าเขามีวิชาลับอันใดแต่นางมิได้สนิทกับเขา นางรู้ว่านางจะไม่ได้ข้อมูลลับอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าหากนางรีบถามออกไป นางจึงได้แต่รอ เท่าที่นางมอง ผู้ที่ขึ้นมัจฉาข้ามประตูมังกรได้ถึงขั้นห้าสิบนั้นจะต้องมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมและมีโอกาสเข้าตำหนักในได้มากแน่
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“ศิษย์พี่พูดตลกงั้นหรือ!ข้าเพิ่งจะเข้าตำหนักนอกได้ การเข้าตำหนักในยังห่างไกลสำหรับข้านัก”
“ศิษย์น้องข้าเชื่อในตัวเจ้า”
นางยิ้มอย่างอ่อนหวานนางดูงดงามอย่างมากในตอนนี้
“เกือบจะค่ำแล้วใยเจ้าไม่กลับไปกับเราเล่า ที่นี่ไม่ปลอดภัยมิใช่รึ?”
ซือหยูตอบ
“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงแต่ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ศิษย์พี่ทุกท่านกลับไปได้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยรีบกลับให้เร็วที่สุดล่ะ”
นางบอกกับเขาก่อนจะบินออกไป
ซือหยูยิ้มจางๆเมื่อมองดูทั้งเจ็ดที่บินขึ้นฟ้า
“จะช่วยเสวี่ยฉีได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
ซือหยูกระทืบพื้นเปิดเผยอุโมงค์ลับเขารีบลงอุโมงค์ที่เขาขุดไปยังใต้ดิน ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดบนภูเขานอกจากสายลมเย็นฉ่ำ
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
ตอนนั้นมีสองคนปรากฏตัวขึ้นมาทันทีอย่างกับผี หนึ่งในนั้นมีผิวคล้ำแกมม่วงแกมทอง ดวงตาของเขาสดใสดูเหมือนกับคบเพลิงในความมืด
ส่วนอีกคนมีกระบี่สองเล่มที่แผ่นหลังกระบี่นั้นมีสีขาวและดำในแต่ละเล่ม ดวงตานั้นคมกริบราวกระบี่ เขาให้บรรยากาศอันสันโดษ
“หึหึมันรีบหายไปในพริบตาเดียว มันรู้รึว่าพวกเราจะทำอะไรกับมัน?”
ชายหนุ่มผิวเข้มมองรอบๆและหัวเราะเบาๆ
อีกคนที่พกกระบี่สองเล่มไม่พูดอะไรเขามองรอบๆและรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ใต้เท้า เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอียดก็พบทางเข้าอุโมงค์ที่ถูกปิดเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจและถูกซ่อนอยู่ในความมืด
“พี่เหวินดูนี่สิ! ข้าเจออุโมงค์”
ชายผิวเข้มเห็นปากอุโมงค์เช่นกันเขาเกลี่ยเท้าขจัดศิลาที่ปิดทางเข้าออกไป
เขาย่อตัวลงมองด้วยความเย็นชา
“ภูเขาสิบแปดลูกเป็นพื้นที่ที่แปลกที่สุดในเขาวิญญาณจรัสแปลกมากที่มีอุโมงค์ที่นี่ อย่าประมาท รอให้มันออกมาคือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด”
“พี่เหวินมันไม่ดูเหมือนอุโมงค์นี้เพิ่งสร้างขึ้นหรอกรึ นั่นแสดงว่าไอ้เด็กนั่นจะต้องเคยลงไปแล้ว ถ้าหากมีอันตรายมากนัก มันจะกล้าลงไปอีกได้ยังไง?”
ชายหนุ่มผิวเข้มออกความเห็น
เขาพูดต่อ
“แล้วไอ้เด็กนั่นก็ดูไม่โง่ถ้ามันรู้ว่าเราอยู่ข้างทางเข้าอุโมงค์ มันก็คงจะซ่อนอยู่ข้างในแล้วไม่ออกมาหรอก พรุ่งนี้เราต้องไปจากที่นี่แล้ว เราไม่มีเวลาให้เสีย”
ชายผิวเข้มเลียริมฝีปาก
“พี่เหวินไม่อยากลงไปเสี่ยงโชคหรือ?อุโมงค์เปิดแล้ว เราต้องกลับตำหนักพรุ่งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ!”
คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้ชายที่พกกระบี่คู่ต้องคิดหนักเพราะวิถีแห่งการบ่มเพาะพลังนั้นยากลำบาก นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เจอครั้งเดียวในชีวิต! มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะเสี่ยงไปรับโอกาสไว้หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ตามรังสีพลังของไอ้เด็กนั่นไป”
ชายหนุ่มกระบี่คู่หลับตา
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็มีแสงเปล่งออกมามันสามารถแกะร่องรอยที่ซือหยูทิ้งเอาไว้ได้
ทั้งสองรีบเร่งความเร็วลงไปในอุโมงค์อันซับซ้อนราวกับเวหาไร้ลักษณ์หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็หยุดอยู่ตรงประตูศิลาบานยักษ์
“พี่หวินทำไมถึงมีประตูที่คนสร้างอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ชายผิวเข้มขมวดคิ้วเขารู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อมองประตูบานนี้
ชายกระบี่คู่ใจหายเช่นกัน
“พวกเราอาจจะติดกับดักมันข้ารู้สึกถึงพลังที่น่ากลัวในประตู”
พวกเขารู้ตัวแล้วว่าถูกซือหยูล่อให้เข้ามา!
“แล้วซือหยูเซี่ยนอยู่ที่ไหน?คนที่ยิ่งใหญ่เช่นยนั้นไม่ควรจะหายไปเฉยๆมิใช่รึ?”
ชายผิวเข้มมองรอบๆด้วยความงุนงง
ในตอนนั้นเองชายแก่เดินออกมาจากหมอกสีชมพูที่อยู่ในเขตของประตูศิลา เขาคือซือหยู!
แต่ดวงตาของเขานั้นสดใสและบริสุทธิ์ราวกับเด็กมันไม่สมกับอายุของเจ้าของดวงตาเลย!
“ซือหยูเซี่ยน!”
ชายผิวเข้มตะโกนพวกเขาไม่ทันสังเกตถึงความแปลกของซือหยูตอนนี้เพราะพวกเขาเป็นกังวลกับอันตรายที่อยู่เบื้องหลังประตู
“หึหึ”
ซือหยูหัวเราะและหันไปหนึ่งครั้งก่อนจะกลายเป็นหมอกสีชมพูหายไป
ทันทีทันใดก็มีสายฟ้าปรากฏที่ปากทางเข้าอุโมงค์ซือหยูเดินออกมา ซือหยูในตอนนี้มีรูปลักษณ์ของวัยรุ่น เขามีผมยาวสีขาวและใบหน้าชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวกับองค์เทพ
เขามีรอยที่ดูชั่วร้ายระหว่างคิ้วดวงตาลึกล้ำนั้นไม่ต่างกับเนตรที่เขียนเอาไว้ในบันทึกโบราณ เขาดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ซือหยูยิ้ม
“เวลาผ่านไปแล้วตอนนี้คงจะถึงประตูแล้วสินะ หึหึ ช่วยข้ากันไอ้ผีนั่นหน่อยแล้วกัน”
ขณะที่พูดตาซ้ายของซือหยูได้กลายเป็นเนตรทะลวงมองผ่านทุกสิ่ง ตาขวาได้กลายเป็นเนตรพลังมิติ เขามองดูประตูศิลาที่อยู่ใต้พื้น
เวลาเดียวกันนั้นพลังมิติที่ตาขวาก็ได้แล่นผ่านประตูไปโอบล้อมเสวี่ยฉีและวงแสงโลหิตที่อยู่ข้างกายนาง ส่วนชายทั้งสองที่อยู่นอกประตูที่กำลังสับสนจากการหายตัวไปของซือหยูนั้นรู้สึกสับสนกับพลังมิติที่สัมผัสได้ใหม่ มันทำให้พวกเขาชักสีหน้า
DND.812 – ลวงฆ่าจ้าวเทวะ
เสวี่ยฉีที่อยู่ภายในนั้นถูกพันธนาการด้วยวัตถุทรงกลมสีโลหิตนางกำลังขัดขืนไม่ให้มันกลืนกินพลังของนางอย่างยากลำบาก จู่ๆนางก็สัมผัสถึงพลังมิติแข็งแกร่งที่มาโอบล้อมนาง นั่นทำให้นางตกใจมาก
พลังมิตินี้ไม่สนว่านางจะต้านทานหรือไม่มันยักย้ายนางออกไปทันที พลังภูติที่อยู่บนแท่นบูชาและร่างไร้วิญญาณสีดำที่นอนอยู่รับรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
โฮก!
เสียงคำรามที่มิใช่ของมนุษย์ดังก้องศพทมิฬยืนขึ้นตรง เนตรสีอำพันของมันเปล่งแสง มิติรอบข้างสั่นไหวเช่นเดียวกับประตูศิลา พลังอันแข็งแกร่งกระจายออกมาจากแท่นบูชา
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่อีกฟากของประตูรู้สึกราวกับเจอภูเขาไฟปะทุพวกเขารู้สึกอ่อนแอและไร้กำลังเมื่อเผชิญหน้ากับมัน แม้พวกเขาจะเป็นจ้าวเทวะชั้นต้น แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่มดปลวกต่อหน้าพลังนี้
“จ้าวเทวะชั้นกลาง!”
ชายผิวเข้มเบิกตากว้างเขาอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่พูดสิ่งใดอีกและหันหลังรีบหนีไป
ส่วนชายหนุ่มกระบี่คู่ก็เริ่มหนีไปแล้วสีหน้าเขาหม่นหมองอย่างมาก
“ไอ้เด็กบัดซบนั่น!เราต้องกับดักของมัน!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
พวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะชั้นกลางไม่กล้าออมมือและใช้ทุกหนทางลับในการหนีออกมาทันทีพวกเขามาถึงที่นี่ในเวลาห้านาที แต่ในทางกลับ พวกเขาใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเท่านั้น!
ทั้งสองพุ่งเข้าสู่อุโมงค์อย่างดุดันเพราะคิดจะหนีไปจากถ้ำใต้ดินแต่หลังจากที่เข้าไปในอุโมงค์ทางออกก็พบว่ามันถูกขวางไว้โดยมุกสีครามอำพัน มันปิดทางออกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครเข้าออกได้!
“สารเลว!กล้าดียังไงวางอุบายนี้กับพวกข้า?”
ชายผิวเข้มวิตกกังวลเขาปล่อยหมัดเข้าใส่สิ่งที่ขวางทางออก
ปั้ง!
แต่เมื่อซัดเข้าไปเขาก็มิอาจผลักมันได้เลยเขากลับทำให้แขนตัวเองบาดเจ็บเท่านั้น เขาทนรับแรงกระแทกที่สะท้อนกลับมาด้วยความปวดร้าว
“หาทางออกจากพวกหินรอบๆนี่จะดีกว่าเราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่จ้าวเทวะชั้นกลางจะตามทัน มิงั้นไม่รอดแน่!”
ชายกระบี่คู่ขมวดคิ้วขณะที่พูด
ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารพวกเขาวางแผนจะฆ่าซือหยู แต่สุดท้ายกลับถูกปิดตายอยู่เบื้องล่างเพราะคนที่จะสังหาร!
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือพวกเขากำลังเจอกับจ้าวเทวะที่ไล่ตามมา!ภูติผีตนนั้นร้องคำรามด้วยความแค้น!
ชายกระบี่คู่ชักกระบี่ทั้งสองออกมาฟันก้อนหินรอบทางออกเขาทิ้งรอยลึกขนาดใหญ่เอาไว้ เขาเพียงแค่ต้องฟันอีกสิบครั้งเท่านั้นเพื่อที่จะเปิดทางออกไปได้
ชายผิวเข้มจึงไม่กล้าจะรอช้าหมัดของเขากลายเป็นสีม่วงช้ำ ฝ่ามือนั้นเป็นสีม่วงเข้ม มันไม่เหมือนกับหมัดของมนุษย์แม้แต่น้อย
“ย๊ากกก!เปิดเดี๋ยวนี้!”
ชายผิวเข้มตะโกนและซัดศิลาด้วยพลังมหาศาลมันถล่มลงมาเป็นส่วนมาก
เมื่อเป็นอย่างนี้หากเขาสองคนร่วมมือกัน พวกเขาก็จะสร้างช่องว่างใหญ่พอที่จะหนีไปได้ เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
“พี่เหวินไปต่อกันเถอะ!”
ชายผิวเข้มปล่อยหมัดไปอีกครั้ง
แต่พี่เหวินที่อยู่ด้านหลังกลับไม่จู่โจมเปิดทางอีกชายผิวเข้มหันไปมองด้านหลังและเห็นว่าพี่เหวินหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“พี่เหวิน!”
ชายผิวเข้มทำหน้าสยองเขารีบบินลงข้างล่าง
เมื่อเขาออกจาอุโมงค์กลับมาที่ถ้ำเขาก็เป็นชายคนหนึ่งที่หางตา
ชายผิวเข้มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาหันไปถาม
“พี่เหวินเกิดอะไรขึ้น? อ๊ะ! จะ…เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเขาหันกลับไปสิ่งที่เห็นก็มิใช่พี่เหวินแต่เป็นผีที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียด มันสวมผ้าคลุมสีดำ!
พลังภูติผีหนาแน่นปะทุออกมาจากผ้าคลุมสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมคือใบหน้าน่ากลัว! มันมีผิวสีเขียว ดวงตาเป็นหลุ่มลึกสีอำพันและมีเพลิงลุกไหม้อยู่ด้วย จมูกของมันเน่าเปื่อย ปากนั้นมีเขี้ยวแหลม!
มันจ้องมองชายผิวเข้ม
“ก็ดีมันช่วยจ้าวเทวะไปคนเดียว แต่มีอีกสองคนมาหาข้า ถือว่าคุ้ม”
ฟึ่บ!
จากนั้นมันก็หายไปความตกใจถาโถมชายผิวเข้ม ร่างกายของเขากลายเป็นสีม่วงเข้มที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีเงาภูติผีขนาดยักษ์ปรากฏที่ด้านหลังทันใดนั้น ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมได้อ้าออกและกัดคอของเขา!
“อ๊ากกกกกก!”
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วถ้ำ
ชายผิวเข้มร่างเหี่ยวแห้งไม่ต่างกับต้นไม้เพียงสามวินาที สิ่งที่เหลืออยู่ของเขาก็มีเพียงผิวหนัง ส่วนเลือดเนื้อหรือกระทั่งกระดูกนั้นถูกกลืนกินไปจนหมด!
ภูติผีเลียริมฝีปากพลางหัวเราะ
“รสชาติไม่เลวแต่ข้ายังไม่อิ่ม”
มันหัวเราะอย่างน่าสยดสยองมันมองรอยแยกบนกำแพงและโบกมือ
ปั้ง!
ศิลาก้อนใหญ่แตกสลายไป
ฟึ่บ!
ชายคนหนึ่งรีบบินขึ้นไปเขาคือชายกระบี่คู่ที่จู่ๆก็หายไปเมื่อครู่ก่อน เขาสัมผัสถึงการมาของภูติผีได้จึงไปแอบอยู่เงียบๆ
เขาคิดว่าภูติผีไม่พบตัวเขาแต่สัมผัสของมันเฉียบคมกว่าที่เขาคิด เขาเพิ่งจะเห็นศิษย์น้องถูกดูดกลืนไปสดๆร้อนๆจนเหลือแค่กองหนัง! เขาขนลุกไปทั้งตัวงและรีบหนีไป
เขากัดฟันออกจากอุโมงค์เขามุ่งมั่นที่จะเสี่ยงทุกสิ่งที่มี ถ้ำใต้ดินถูกผนึกไว้แล้ว ถ้าเขาอยู่ข้างใน เขาก็จะไม่ต่างจากแกะที่ถูกพยัคฆ์จับขัง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะหนี!
เขารีบพุ่งไปยังปลายอุโมงค์ขณะถือกระบี่ทั้งสองเล่มเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้เด็กบัดซบ!เปิดทางออกอุโมงค์เดี๋ยวนี้!”
ซือหยูกำลังยืนอยู่เหนือมุกบาดาลหมอกสีชมพูปรากฏขึ้นมาพร้อมกับซือหยูอีกคน
ซือหยูคนใหม่แสยะยิ้มให้ซือหยูก่อนที่ร่างจะสลายไปเหลือเพียงกิเลนน้อยสีชมพูที่ขนาดเท่ากับลูกสุนัข!
มันใช้พลังวิเศษแปลงกายเป็นซือหยูเพื่อล่อให้จ้าวเทวะสองคนไปที่ประตูศิลา!
จากนั้นมันก็กลายเป็นสภาพลวงและผ่านภูเขาทมิฬออกมาอย่างง่ายดายมันกลับมาที่ข้างกายซือหยู ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนสาปแช่งเบื้องล่างซือหยูแสยะยิ้ม
“ศิษย์พี่ที่นั่นไม่ดีหรอกรึ? มันงดงามมาก สภาพแวดล้อมก็สง่า ที่นั่นเจอสมบัติได้ง่ายๆ แม้แต่ข้ายังไม่โชคดีอย่างนั้นเลย!”
ชายกระบี่คู่ระเบิดเสียงด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยน!ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าไม่ปล่อย ข้าสาบานว่าจะตามล่าเจ้าไปถึงสุดขอบโลก!”
ซือหยูหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆๆๆ!เจ้าจะออกมาล่าข้าได้ก็ต่อเมื่อออกมาจากข้างล่างนั่นได้! ถ้าเจ้าอยู่ข้างล่างตลอดไปก็ไม่มีใครมาตามล่าข้าแล้ว!”
“ก็ได้ซือหยูเซี่ยน ถ้าเจ้าให้ข้าออกไป ข้าจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว”
ชายกระบี่คู่ขอร้องแววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาจะไม่ก่อเรื่องให้ซือหยูเพราะว่าเขาก็แค่สังหารซือหยูและชิงสมบัติกลับมา!
ซือหยูยักไหล่ตอบ
“ศิษย์พี่อยู่ข้างล่างอย่างสงบนั่นแหละดีแล้ว”
เมื่อชายกระบี่คู่กำลังจะระรัวสาปแช่งซือหยูความเยือกเย็นพร้อมกับกลิ่นเลือดก็โชยมาจากลำคอ เขาหน้าซีดเผือด แต่ไม่เหมือนกับชายผิวเข้ม เขาหันไปฟันกระบี่ขาวดำบั่นคอตัวเองทิ้ง!
เขาเลือกจะจบชีวิตตัวเอง!แต่ถึงร่างกายจะสลาย ร่างเงาโปร่งใสที่มิอาจมองได้ด้วยตาเปล่าก็ลอยออกมาจากร่างไร้หัว มันทะลวงผ่านทุกสิ่งกีดขวางผ่านทุกอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดาย
การปล่อยวิญญาณออกจากร่างนั้นเป็นหนึ่งในความสามารถของจ้าวเทวะตอนนี้เขาเป็นเพียงวิญญาณที่หนีออกมา
แต่เมื่อร่างกายไม่มีอยู่แล้วเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขาย่อมสูญเปล่า ดังนั้นเขาจะต้องหาร่างใหม่และเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
ความแค้นกับซือหยูครั้งนี้นับว่าหนักหนาลึกซึ้งมันมิอาจอภัยให้ได้ เขาจ้องมองซือหยูด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยนเจ้ารอก่อนเถอะ!”
แต่ซือหยูกลับตอบเขาอย่างไม่คาดคิดชายกระบี่คู่ตกใจมาก
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูหันไปแสร้งยิ้มเมื่อมองร่างวิญญาณตรงหน้า
ชายกระบี่คู่ใบหน้าเศร้าหมอง
“เจ้ามองเห็นข้าเรอะ?”
ซือหยูยิ้ม
“มิเพียงแค่เห็นข้ายังส่งเจ้าไปที่อื่นได้ด้วย!”
เมื่อพูดวายุมิติก็ปรากฏที่ดวงตาของซือหยู มันปล่อยพลังที่มิอาจต่อต้านได้ออกมา
วิญญาณของชายกระบี่คู่ถูกดูดกลืนเข้าไปเขาถูกส่งไปยังมิติวิญญาณนรกชั้นสิบแปดของซือหยู
ชายกระบี่คู่มองความมืดมิดไร้ขอบเขตที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเขาตื่นตระหนก
“ที่นี่ที่ไหน?”
ร่างวิญญาณร้อนรน
ในตอนนั้นเองเสียงแก่เฒ่าดังมาจากความมืด
“ฮ่าๆๆๆเจ้าเด็กนั่นรักษาสัญญา หาวิญญาณของจ้าวเทวะให้ข้าได้เร็วยิ่งนัก!”
ในตอนนั้นหยดโลหิตปรากฏขึ้นมาจากความว่าวเปล่า
ร่างวิญญาณของชายกระบี่คู่ตกใจสุดขีด
“เจ้าเป็นใคร?”
หยดโลหิตตอบอย่างดีใจ
“เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใครรู้เพียงว่าข้าต้องการใช้เจ้าก็พอแล้ว”
หลังหยดโลหิตพูดจบมันไม่เหลือเวลาให้วิญญาณชายกระบี่คู่ได้หนี มันพุ่งเข้าใส่หน้าผากและดูดกลืนวิญญาณของเขาจนหมด!
หยดโลหิตกลายเป็นก้อนกลมขึ้นมันดูมีกำลังมากกว่าเดิม ในตอนนั้นเอง เสียงของซือหยูดังมาจากความมืดมิด
“ข้าทำตามคำพูดแล้วนะ”
ตอนที่เขาต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตในโลกเฉินหลงเขาได้บังคับให้หยดโลหิตมอบพลังของเทพปีศาจให้กับเขา เขาใช้มันดูดซับพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาใช้เอง เงื่อนไขก็คือเขาจะต้องมอบวิญญาณจ้าวเทวะให้กับหยดโลหิต และตอนนี้เขาก็ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าหนูเจ้าสนใจจะทำข้อตกลงกับข้าอีกไหม?”
หยดโลหิตหัวเราะ
ซือหยูขมวดคิ้วและถาม
“ตกลงอะไรของเจ้า?ข้ายังไม่ต้องการใช้พลังนั่น ยังเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
หยดโลหิตหัวเราะ
“อย่าจริงจังนักสิมาพูดเรื่องชีวิตในอนาคตจะดีกว่า มาคุยเรื่องนั้นกันไม่ดีกว่าเรอะ?”
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยว
“มีเรื่องเกิดขึ้นข้างนอกข้าไม่มีเวลาจะมาเสียกับเจ้า ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”
“เจ้านี่มันเป็นเด็กน่าเบื่อเสียจริง…”
หยดโลหิตกล่าว
“ข้อตกลงที่ข้าอยากจะต่อรองก็คือวิชาลับของข้าวิชากายามังกรเทพปีศาจ เจ้าไม่สนใจมันหรือ?”
ซือหยูตอบโดยไม่คิด
“ข้าเรียนภาษามังกรมามากแล้วต่อให้เจ้าไม่ช่วย ข้าก็แปลมันได้”
“หึหึปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรที่ข้าเสี่ยงชีวิตได้มา สิ่งที่มิอาจมีแม้เจ้าจะแปลได้ล่ะ? เจ้าอาจจะคุ้นเคยกับกายามังกรแล้วใช่หรือไม่? เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หยดโลหิตถามอย่างเจ้าเล่ห์
ซือหยูตอบหลังจากครุ่นคิด
“กายามังกรแข็งแกร่งก็จริงแต่ไม่แข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดว่ามันควรจะเป็น”
ในทีแรกกายามังกรนั้นเพิ่มพลังกายของเขาจากกึ่งภูติมาเป็นภูติ การปรับพลังขึ้นมาเช่นนี้นับว่าแปลกประหลาด
แต่ในตอนนี้ผลของมันค่อนข้างธรรมดา มันเพิ่มพลังได้เพียงระดับเดียว มันค่อนข้างไม่มีประโยชน์และไม่สมชื่อกายามังกรเลย  หยดโลหิตหัวเราะเมื่ออ่านหน้าซือหยู
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วกายามังกรแบ่งเป็นหลายระดับ กายามังกรปราณแรกของเจ้าก็ต้องประโยชน์น้อยเช่นนั้น”
ซือหยูตกใจและถาม
“กายามังกรปราณแรกหรือ?มันไม่ได้เขียนอยู่ในวิชากายามังกรเทพปีศาจ…”
“ไอ้หนูเจ้าคิดว่ามังกรเป็นพวกโง่เรอะ? คิดว่าพวกมันจะเขียนทุกอย่างลงตำราให้เจ้าอ่านเรอะ? รายละเอียดสำคัญมากมายนักต้องสืบทอดจากมังกรรุ่นสู่รุ่น พวกมันไม่เขียนหรือบันทึกไว้กับที่ใด เจ้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
หยดโลหิตพูดอย่างภูมิใจ
ซือหยูตาเป็นประกายเล็กน้อย
“แสดงว่าเจ้ารู้สินะ?”
หยดโลหิตตอบด้วยคำถาม
“ยังต้องถามข้าอีกเรอะ?เมื่อก่อน ข้าทำลายโลกตั้งหลายใบ สวรรค์ดับไปหลายแห่ง จะเทพหรือเซียนก็ฆ่าตายหมด แล้วเผ่ามังกรกระจอกจะเป็นอะไรสำหรับข้ากัน? เจ้าคิดรึว่าพวกมันจะกล้าเก็บความลับจากข้า?”
ซือหยูยังคงสงสัย
“ข้าจะเชื่อเจ้าตอนนี้แต่…สิ่งที่ข้าจะได้กับสิ่งที่เจ้าต้องการ…คืออะไร?”
หยดโลหิตยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าขอแค่วิญญาณจ้าวเทวะเดือนละดวงข้าจะหาทางช่วยเจ้าปรับร่างกายขึ้นใหม่ แต่เจ้าต้องมีสายใยแก่นแท้มังกรที่มากพอ ข้าจะปรับร่างเจ้าให้เป็นกายามังกรขั้นห้า ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงระดับจ้าวเทวะ”
ร่างกายขอบเขตจ้าวเทวะรึ?ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก จ้าวเทวะนั้นแข็งแกร่ง พลังมิอาจหยั่งถึง แม้ซือหยูตอนนี้จะมีสมบัติมากมาย เขาก็ไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะ!
ถ้าเขาคิดไม่ผิดเขาสามารถโดนจ้าวเทวะสังหารได้ก่อนที่จะปล่อยวิชาเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาฝึกฝนร่างกายให้อยู่ในขอบเขตจ้าวเทวะได้ เขาก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
“ก็ได้ข้าตกลง!”
ซือหยูยอมรับ
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาสายใยมังกรให้มากพอ ส่วนวิธีที่จะหานั้น…เขามีแผนแล้ว!
วิญญาณของเขากลับสู่ร่างดวงตาเบิกโพลง เขาแตะพื้นด้วยปลายเท้าและบินขึ้นฟ้า จากนั้นจึงเรียกมุกบาดาลกลับ
เขาบินไปยังตำหนักแต่ก่อนที่เขาจะได้เริ่มบิน เงาทมิฬก็ปรากฏด้านหลังเขาอย่างกับผี
เงาทมิฬซัดหลังของเขาและหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าสินะที่ขโมยอาหารของข้าไป!”
พอมันพูดจบมันก็อ้าปากและกำลังจะกัดคอซือหยู…

DND.811 – ยอมติดกับดัก
ซือหยูใจเต้นแรง…ภูติผีที่ตายเมื่อร้อยปีก่อนกำลังจะเกิดใหม่งั้นเรอะ?
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นจ้าวเทวะชั้นกลางจริงซือหยูก็กลั้นหายใจและเริ่มถอย ซือหยูกัดฟันเบาๆขณะที่มองเสวี่ยฉีที่ติดอยู่
ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจต่อสู้กับจ้าวเทวะชั้นกลางได้และถ้าเขาผลีผลามเข้าไป เขาก็จะช่วยชีวิตใครไม่ได้เลย ทุกคนจะตายอย่างสูญเปล่า เขาตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปขอความช่วยเหลือ
หลังจากกลับไปแล้วเขากลานออกมาจากอุโมงค์ สายลมที่พัดลงมาทำให้ซือหยูรู้สึกเยือกเย็นที่หน้าผาก มันคือเวลาเดียวกับที่เขารู้ว่าหน้าผากตัวเองมีเหงื่ออยู่เต็มไปหมด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสัตว์ประหลาดดุร้ายที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของคนหลายคนในครึ่งปีมานี้จะอยู่ใต้เท้าของเขามาโดยตลอด!ซือหยูจะต้องรีบไปเตือนเจ้าตำหนักและขอให้เขามาจัดการ!
หลังจากที่ซือหยูกลับค่ายเขาพบว่าปิงหวูชิงกับคนที่เหลือกลับมาแล้ว
“ทำไมเจ้ากลับมาล่ะ?เกิดอะไรขึ้น?”
ไป่ชานเหลียงถามซือหยู
“เดี๋ยวก่อน!มีพิษอยู่บนร่างของเจ้า เจ้าเจอสัตว์ประหลาดที่ลักพาตัวเสวี่ยฉีงั้นรึ?”
ทุกคนยืนขึ้นมองซือหยูอย่างเป็นกังวลในทันทีซือหยูพยักหน้า
“ค่อยพูดทีหลังเถอะเราต้องไปรายงานเจ้าตำหนักเดี๋ยวนี้ว่าข้าเจอตัวเสวี่ยฉี!”
สีหน้าทุกคนหม่นหมองดูจากท่าทางของซือหยู พวกเขาเดาได้เลยว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
“ศิษย์น้องเจ้าไม่ต้องไปที่นั่น เจ้าตำหนักออกจากตำหนักไปต้อนรับกำลังเสริมแล้ว ตอนนี้มีแต่ผู้เฒ่าอยู่ในตำหนักเท่านั้น”
ไป่ชานเหลียงส่ายหน้า
ทำไมเขาถึงออกจากตำหนักในเวลาแบบนี้กัน?ซือหยูใจหายเล็กน้อย เขามองรอบๆและขมวดคิ้ว
“จื่อเสวียนไปไหน?นางยังไม่กลับมางั้นรึ?”
“นางกลับมาแต่ก็ออกไปในไม่นาน ข้าไม่รู้ว่านางเลี่ยงใคร…คืออะไรอยู่”
ไป่ชานเหลียงพูดขณะมองซือหยูสัญชาตญาณบอกเขาว่าจื่อเสวียนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดา
ซือหยูตกใจไม่ต่างกัน…ทำไมจู่ๆนางถึงออกไปอย่างไม่มีเหตุผลล่ะ?นางรู้สึกถึงอันตรายงั้นรึ?
ตอนนี้ไม่มีใครเหลือที่จะช่วยข้าเลยแล้วข้าจะช่วยเสวี่ยฉีได้ยังไง?
“ศิษย์น้องทำไมเจ้าไม่บอกสถานการณ์ของเสวี่ยฉีในตอนนี้เล่า? พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือพร้อมกับศิษย์ในอีกเจ็ดคนนั่น…”
ไป่ชานเหลียงแนะนำ
มีแค่นั้นหรอกรึ?ซือหยูส่ายหน้าหลังจากพิจารณา เพราะสี่อสูรอย่างพวกเขาคงโดนจ้าวเทวะสังหารได้ง่ายๆ มีเพียงผู้เฒ่าในตำหนักเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์
แต่จู่ๆซือหยูก็ตาลุกวาว
“ข้าคิดออกแล้ว!พวกเจ้าปล่อยให้ข้าจัดการเอง ส่วนพวกเจ้าไปบอกผู้เฒ่าในตำหนักโดยเร็ว”
อสูรทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความสับสนพวกเขาล้วนสงสัยว่าซือหยูคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขาก็ทำตาม พวกเขาตัดสินใจรอสักครู่ก่อนจะไปแจ้งผู้เฒ่าในตำหนัก
ไม่นานซือหยูก็กลับมาในภูเขาทมิฬเงียบๆเขามองท้องฟ้ามืดครึ้มและสั่งสมาธิบนภูเขา จากนั้นก็ตรวจสอบสิ่งที่ได้ในวันนี้
ผ่านไปนานกลุ่มคนบินมายังภูเขาที่ซือหยูอยู่ พวกเขาคือศิษย์ในทั้งเจ็ด! พวกเขาสงสัยเรื่องที่ซือหยูหาสมบัติเจอในเมื่อวาน พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ว่าซือหยูได้อะไรในวันนี้บ้าง
“ศิษย์น้องเจ้าเพิ่งจะเริ่มพักหรือ?”
เสียงอ่อนโยนไพเราะดังขึ้น
เมื่อซือหยูเงยหน้าเขาก็พบศิษย์พี่สตรีที่สวมชุดหลากสียืนตรงหน้าดวงตาอันงดงามของนางจ้องมองสมบัติจำนวนมหาศาลข้างหน้าซือหยู
ซือหยูรีบเก็บสมบัติและรีบยืนขึ้นเขาประสานหมัด
“ศิษย์พี่ทุกท่าน…”
สายตาศิษย์ในทั้งหกที่อยู่ด้านหลังสตรีเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อมองภูเขาลูกที่หดเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม!พวกเขาเป็นจ้าวเทวะทั้งหมด แต่ความเร็วในการขุดค้นกลับต่ำกว่าภูติคนนี้! เรื่องนี้ทำให้่พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก!
สายตาของทั้งหกเต็มไปด้วยความโลภอีกด้วยเพราะสมบัติที่ซือหยูมีได้ดึงดูดพวกเขา
“ศิษย์น้องเจ้ามีวิธีการดีจริงๆ ขุดภูเขาได้สองในสามในเวลาแค่สองวัน! ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะเจอสมบัติหลายชิ้น”
ศิษย์พี่สตรีขบริมฝีปากนางทึ่งกับควมสำเร็จของซือหยู มีความริษยาอยู่ด้วยเช่นกัน
ซือหยูตอบอย่างถ่อมตัว
“ข้าเพียงโชคดีเท่านั้นดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้จะไม่ได้แข็งอย่างที่ข้าคิด ข้าเลยขุดค้นได้ง่ายๆ”
“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้วถ้าเจ้ามีโอกาสมาตำหนักในในอนาคต เจ้าไปหาข้าให้ชี้แนะเรื่องการบ่มเพาะพลังได้เลย”
นางอย่างจะพูดอย่างอื่นหลังจากนั้นแต่นางก็หยุดตัวเอง
พวกเขามีเวลาแค่สามวันเช่นกันนั่นหมายความว่าพวกเขาเหลือเวลาอีกวันเดียว พวกเขาต้องกลับตำหนักในในวันพรุ่งนี้ แม้สิ่งที่ได้กลับไปจะไม่น้อย แต่มันก็เทียบกับซือหยูไม่ได้เลย
นางอยากจะถามซือหยูว่าเขามีวิชาลับอันใดแต่นางมิได้สนิทกับเขา นางรู้ว่านางจะไม่ได้ข้อมูลลับอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าหากนางรีบถามออกไป นางจึงได้แต่รอ เท่าที่นางมอง ผู้ที่ขึ้นมัจฉาข้ามประตูมังกรได้ถึงขั้นห้าสิบนั้นจะต้องมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมและมีโอกาสเข้าตำหนักในได้มากแน่
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“ศิษย์พี่พูดตลกงั้นหรือ!ข้าเพิ่งจะเข้าตำหนักนอกได้ การเข้าตำหนักในยังห่างไกลสำหรับข้านัก”
“ศิษย์น้องข้าเชื่อในตัวเจ้า”
นางยิ้มอย่างอ่อนหวานนางดูงดงามอย่างมากในตอนนี้
“เกือบจะค่ำแล้วใยเจ้าไม่กลับไปกับเราเล่า ที่นี่ไม่ปลอดภัยมิใช่รึ?”
ซือหยูตอบ
“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงแต่ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ศิษย์พี่ทุกท่านกลับไปได้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยรีบกลับให้เร็วที่สุดล่ะ”
นางบอกกับเขาก่อนจะบินออกไป
ซือหยูยิ้มจางๆเมื่อมองดูทั้งเจ็ดที่บินขึ้นฟ้า
“จะช่วยเสวี่ยฉีได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
ซือหยูกระทืบพื้นเปิดเผยอุโมงค์ลับเขารีบลงอุโมงค์ที่เขาขุดไปยังใต้ดิน ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดบนภูเขานอกจากสายลมเย็นฉ่ำ
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
ตอนนั้นมีสองคนปรากฏตัวขึ้นมาทันทีอย่างกับผี หนึ่งในนั้นมีผิวคล้ำแกมม่วงแกมทอง ดวงตาของเขาสดใสดูเหมือนกับคบเพลิงในความมืด
ส่วนอีกคนมีกระบี่สองเล่มที่แผ่นหลังกระบี่นั้นมีสีขาวและดำในแต่ละเล่ม ดวงตานั้นคมกริบราวกระบี่ เขาให้บรรยากาศอันสันโดษ
“หึหึมันรีบหายไปในพริบตาเดียว มันรู้รึว่าพวกเราจะทำอะไรกับมัน?”
ชายหนุ่มผิวเข้มมองรอบๆและหัวเราะเบาๆ
อีกคนที่พกกระบี่สองเล่มไม่พูดอะไรเขามองรอบๆและรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ใต้เท้า เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอียดก็พบทางเข้าอุโมงค์ที่ถูกปิดเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจและถูกซ่อนอยู่ในความมืด
“พี่เหวินดูนี่สิ! ข้าเจออุโมงค์”
ชายผิวเข้มเห็นปากอุโมงค์เช่นกันเขาเกลี่ยเท้าขจัดศิลาที่ปิดทางเข้าออกไป
เขาย่อตัวลงมองด้วยความเย็นชา
“ภูเขาสิบแปดลูกเป็นพื้นที่ที่แปลกที่สุดในเขาวิญญาณจรัสแปลกมากที่มีอุโมงค์ที่นี่ อย่าประมาท รอให้มันออกมาคือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด”
“พี่เหวินมันไม่ดูเหมือนอุโมงค์นี้เพิ่งสร้างขึ้นหรอกรึ นั่นแสดงว่าไอ้เด็กนั่นจะต้องเคยลงไปแล้ว ถ้าหากมีอันตรายมากนัก มันจะกล้าลงไปอีกได้ยังไง?”
ชายหนุ่มผิวเข้มออกความเห็น
เขาพูดต่อ
“แล้วไอ้เด็กนั่นก็ดูไม่โง่ถ้ามันรู้ว่าเราอยู่ข้างทางเข้าอุโมงค์ มันก็คงจะซ่อนอยู่ข้างในแล้วไม่ออกมาหรอก พรุ่งนี้เราต้องไปจากที่นี่แล้ว เราไม่มีเวลาให้เสีย”
ชายผิวเข้มเลียริมฝีปาก
“พี่เหวินไม่อยากลงไปเสี่ยงโชคหรือ?อุโมงค์เปิดแล้ว เราต้องกลับตำหนักพรุ่งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ!”
คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้ชายที่พกกระบี่คู่ต้องคิดหนักเพราะวิถีแห่งการบ่มเพาะพลังนั้นยากลำบาก นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เจอครั้งเดียวในชีวิต! มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะเสี่ยงไปรับโอกาสไว้หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ตามรังสีพลังของไอ้เด็กนั่นไป”
ชายหนุ่มกระบี่คู่หลับตา
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็มีแสงเปล่งออกมามันสามารถแกะร่องรอยที่ซือหยูทิ้งเอาไว้ได้
ทั้งสองรีบเร่งความเร็วลงไปในอุโมงค์อันซับซ้อนราวกับเวหาไร้ลักษณ์หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็หยุดอยู่ตรงประตูศิลาบานยักษ์
“พี่หวินทำไมถึงมีประตูที่คนสร้างอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ชายผิวเข้มขมวดคิ้วเขารู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อมองประตูบานนี้
ชายกระบี่คู่ใจหายเช่นกัน
“พวกเราอาจจะติดกับดักมันข้ารู้สึกถึงพลังที่น่ากลัวในประตู”
พวกเขารู้ตัวแล้วว่าถูกซือหยูล่อให้เข้ามา!
“แล้วซือหยูเซี่ยนอยู่ที่ไหน?คนที่ยิ่งใหญ่เช่นยนั้นไม่ควรจะหายไปเฉยๆมิใช่รึ?”
ชายผิวเข้มมองรอบๆด้วยความงุนงง
ในตอนนั้นเองชายแก่เดินออกมาจากหมอกสีชมพูที่อยู่ในเขตของประตูศิลา เขาคือซือหยู!
แต่ดวงตาของเขานั้นสดใสและบริสุทธิ์ราวกับเด็กมันไม่สมกับอายุของเจ้าของดวงตาเลย!
“ซือหยูเซี่ยน!”
ชายผิวเข้มตะโกนพวกเขาไม่ทันสังเกตถึงความแปลกของซือหยูตอนนี้เพราะพวกเขาเป็นกังวลกับอันตรายที่อยู่เบื้องหลังประตู
“หึหึ”
ซือหยูหัวเราะและหันไปหนึ่งครั้งก่อนจะกลายเป็นหมอกสีชมพูหายไป
ทันทีทันใดก็มีสายฟ้าปรากฏที่ปากทางเข้าอุโมงค์ซือหยูเดินออกมา ซือหยูในตอนนี้มีรูปลักษณ์ของวัยรุ่น เขามีผมยาวสีขาวและใบหน้าชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวกับองค์เทพ
เขามีรอยที่ดูชั่วร้ายระหว่างคิ้วดวงตาลึกล้ำนั้นไม่ต่างกับเนตรที่เขียนเอาไว้ในบันทึกโบราณ เขาดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ซือหยูยิ้ม
“เวลาผ่านไปแล้วตอนนี้คงจะถึงประตูแล้วสินะ หึหึ ช่วยข้ากันไอ้ผีนั่นหน่อยแล้วกัน”
ขณะที่พูดตาซ้ายของซือหยูได้กลายเป็นเนตรทะลวงมองผ่านทุกสิ่ง ตาขวาได้กลายเป็นเนตรพลังมิติ เขามองดูประตูศิลาที่อยู่ใต้พื้น
เวลาเดียวกันนั้นพลังมิติที่ตาขวาก็ได้แล่นผ่านประตูไปโอบล้อมเสวี่ยฉีและวงแสงโลหิตที่อยู่ข้างกายนาง ส่วนชายทั้งสองที่อยู่นอกประตูที่กำลังสับสนจากการหายตัวไปของซือหยูนั้นรู้สึกสับสนกับพลังมิติที่สัมผัสได้ใหม่ มันทำให้พวกเขาชักสีหน้า
DND.812 – ลวงฆ่าจ้าวเทวะ
เสวี่ยฉีที่อยู่ภายในนั้นถูกพันธนาการด้วยวัตถุทรงกลมสีโลหิตนางกำลังขัดขืนไม่ให้มันกลืนกินพลังของนางอย่างยากลำบาก จู่ๆนางก็สัมผัสถึงพลังมิติแข็งแกร่งที่มาโอบล้อมนาง นั่นทำให้นางตกใจมาก
พลังมิตินี้ไม่สนว่านางจะต้านทานหรือไม่มันยักย้ายนางออกไปทันที พลังภูติที่อยู่บนแท่นบูชาและร่างไร้วิญญาณสีดำที่นอนอยู่รับรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
โฮก!
เสียงคำรามที่มิใช่ของมนุษย์ดังก้องศพทมิฬยืนขึ้นตรง เนตรสีอำพันของมันเปล่งแสง มิติรอบข้างสั่นไหวเช่นเดียวกับประตูศิลา พลังอันแข็งแกร่งกระจายออกมาจากแท่นบูชา
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่อีกฟากของประตูรู้สึกราวกับเจอภูเขาไฟปะทุพวกเขารู้สึกอ่อนแอและไร้กำลังเมื่อเผชิญหน้ากับมัน แม้พวกเขาจะเป็นจ้าวเทวะชั้นต้น แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่มดปลวกต่อหน้าพลังนี้
“จ้าวเทวะชั้นกลาง!”
ชายผิวเข้มเบิกตากว้างเขาอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่พูดสิ่งใดอีกและหันหลังรีบหนีไป
ส่วนชายหนุ่มกระบี่คู่ก็เริ่มหนีไปแล้วสีหน้าเขาหม่นหมองอย่างมาก
“ไอ้เด็กบัดซบนั่น!เราต้องกับดักของมัน!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
พวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะชั้นกลางไม่กล้าออมมือและใช้ทุกหนทางลับในการหนีออกมาทันทีพวกเขามาถึงที่นี่ในเวลาห้านาที แต่ในทางกลับ พวกเขาใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเท่านั้น!
ทั้งสองพุ่งเข้าสู่อุโมงค์อย่างดุดันเพราะคิดจะหนีไปจากถ้ำใต้ดินแต่หลังจากที่เข้าไปในอุโมงค์ทางออกก็พบว่ามันถูกขวางไว้โดยมุกสีครามอำพัน มันปิดทางออกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครเข้าออกได้!
“สารเลว!กล้าดียังไงวางอุบายนี้กับพวกข้า?”
ชายผิวเข้มวิตกกังวลเขาปล่อยหมัดเข้าใส่สิ่งที่ขวางทางออก
ปั้ง!
แต่เมื่อซัดเข้าไปเขาก็มิอาจผลักมันได้เลยเขากลับทำให้แขนตัวเองบาดเจ็บเท่านั้น เขาทนรับแรงกระแทกที่สะท้อนกลับมาด้วยความปวดร้าว
“หาทางออกจากพวกหินรอบๆนี่จะดีกว่าเราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่จ้าวเทวะชั้นกลางจะตามทัน มิงั้นไม่รอดแน่!”
ชายกระบี่คู่ขมวดคิ้วขณะที่พูด
ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารพวกเขาวางแผนจะฆ่าซือหยู แต่สุดท้ายกลับถูกปิดตายอยู่เบื้องล่างเพราะคนที่จะสังหาร!
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือพวกเขากำลังเจอกับจ้าวเทวะที่ไล่ตามมา!ภูติผีตนนั้นร้องคำรามด้วยความแค้น!
ชายกระบี่คู่ชักกระบี่ทั้งสองออกมาฟันก้อนหินรอบทางออกเขาทิ้งรอยลึกขนาดใหญ่เอาไว้ เขาเพียงแค่ต้องฟันอีกสิบครั้งเท่านั้นเพื่อที่จะเปิดทางออกไปได้
ชายผิวเข้มจึงไม่กล้าจะรอช้าหมัดของเขากลายเป็นสีม่วงช้ำ ฝ่ามือนั้นเป็นสีม่วงเข้ม มันไม่เหมือนกับหมัดของมนุษย์แม้แต่น้อย
“ย๊ากกก!เปิดเดี๋ยวนี้!”
ชายผิวเข้มตะโกนและซัดศิลาด้วยพลังมหาศาลมันถล่มลงมาเป็นส่วนมาก
เมื่อเป็นอย่างนี้หากเขาสองคนร่วมมือกัน พวกเขาก็จะสร้างช่องว่างใหญ่พอที่จะหนีไปได้ เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
“พี่เหวินไปต่อกันเถอะ!”
ชายผิวเข้มปล่อยหมัดไปอีกครั้ง
แต่พี่เหวินที่อยู่ด้านหลังกลับไม่จู่โจมเปิดทางอีกชายผิวเข้มหันไปมองด้านหลังและเห็นว่าพี่เหวินหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“พี่เหวิน!”
ชายผิวเข้มทำหน้าสยองเขารีบบินลงข้างล่าง
เมื่อเขาออกจาอุโมงค์กลับมาที่ถ้ำเขาก็เป็นชายคนหนึ่งที่หางตา
ชายผิวเข้มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาหันไปถาม
“พี่เหวินเกิดอะไรขึ้น? อ๊ะ! จะ…เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเขาหันกลับไปสิ่งที่เห็นก็มิใช่พี่เหวินแต่เป็นผีที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียด มันสวมผ้าคลุมสีดำ!
พลังภูติผีหนาแน่นปะทุออกมาจากผ้าคลุมสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมคือใบหน้าน่ากลัว! มันมีผิวสีเขียว ดวงตาเป็นหลุ่มลึกสีอำพันและมีเพลิงลุกไหม้อยู่ด้วย จมูกของมันเน่าเปื่อย ปากนั้นมีเขี้ยวแหลม!
มันจ้องมองชายผิวเข้ม
“ก็ดีมันช่วยจ้าวเทวะไปคนเดียว แต่มีอีกสองคนมาหาข้า ถือว่าคุ้ม”
ฟึ่บ!
จากนั้นมันก็หายไปความตกใจถาโถมชายผิวเข้ม ร่างกายของเขากลายเป็นสีม่วงเข้มที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีเงาภูติผีขนาดยักษ์ปรากฏที่ด้านหลังทันใดนั้น ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมได้อ้าออกและกัดคอของเขา!
“อ๊ากกกกกก!”
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วถ้ำ
ชายผิวเข้มร่างเหี่ยวแห้งไม่ต่างกับต้นไม้เพียงสามวินาที สิ่งที่เหลืออยู่ของเขาก็มีเพียงผิวหนัง ส่วนเลือดเนื้อหรือกระทั่งกระดูกนั้นถูกกลืนกินไปจนหมด!
ภูติผีเลียริมฝีปากพลางหัวเราะ
“รสชาติไม่เลวแต่ข้ายังไม่อิ่ม”
มันหัวเราะอย่างน่าสยดสยองมันมองรอยแยกบนกำแพงและโบกมือ
ปั้ง!
ศิลาก้อนใหญ่แตกสลายไป
ฟึ่บ!
ชายคนหนึ่งรีบบินขึ้นไปเขาคือชายกระบี่คู่ที่จู่ๆก็หายไปเมื่อครู่ก่อน เขาสัมผัสถึงการมาของภูติผีได้จึงไปแอบอยู่เงียบๆ
เขาคิดว่าภูติผีไม่พบตัวเขาแต่สัมผัสของมันเฉียบคมกว่าที่เขาคิด เขาเพิ่งจะเห็นศิษย์น้องถูกดูดกลืนไปสดๆร้อนๆจนเหลือแค่กองหนัง! เขาขนลุกไปทั้งตัวงและรีบหนีไป
เขากัดฟันออกจากอุโมงค์เขามุ่งมั่นที่จะเสี่ยงทุกสิ่งที่มี ถ้ำใต้ดินถูกผนึกไว้แล้ว ถ้าเขาอยู่ข้างใน เขาก็จะไม่ต่างจากแกะที่ถูกพยัคฆ์จับขัง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะหนี!
เขารีบพุ่งไปยังปลายอุโมงค์ขณะถือกระบี่ทั้งสองเล่มเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้เด็กบัดซบ!เปิดทางออกอุโมงค์เดี๋ยวนี้!”
ซือหยูกำลังยืนอยู่เหนือมุกบาดาลหมอกสีชมพูปรากฏขึ้นมาพร้อมกับซือหยูอีกคน
ซือหยูคนใหม่แสยะยิ้มให้ซือหยูก่อนที่ร่างจะสลายไปเหลือเพียงกิเลนน้อยสีชมพูที่ขนาดเท่ากับลูกสุนัข!
มันใช้พลังวิเศษแปลงกายเป็นซือหยูเพื่อล่อให้จ้าวเทวะสองคนไปที่ประตูศิลา!
จากนั้นมันก็กลายเป็นสภาพลวงและผ่านภูเขาทมิฬออกมาอย่างง่ายดายมันกลับมาที่ข้างกายซือหยู ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนสาปแช่งเบื้องล่างซือหยูแสยะยิ้ม
“ศิษย์พี่ที่นั่นไม่ดีหรอกรึ? มันงดงามมาก สภาพแวดล้อมก็สง่า ที่นั่นเจอสมบัติได้ง่ายๆ แม้แต่ข้ายังไม่โชคดีอย่างนั้นเลย!”
ชายกระบี่คู่ระเบิดเสียงด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยน!ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าไม่ปล่อย ข้าสาบานว่าจะตามล่าเจ้าไปถึงสุดขอบโลก!”
ซือหยูหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆๆๆ!เจ้าจะออกมาล่าข้าได้ก็ต่อเมื่อออกมาจากข้างล่างนั่นได้! ถ้าเจ้าอยู่ข้างล่างตลอดไปก็ไม่มีใครมาตามล่าข้าแล้ว!”
“ก็ได้ซือหยูเซี่ยน ถ้าเจ้าให้ข้าออกไป ข้าจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว”
ชายกระบี่คู่ขอร้องแววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาจะไม่ก่อเรื่องให้ซือหยูเพราะว่าเขาก็แค่สังหารซือหยูและชิงสมบัติกลับมา!
ซือหยูยักไหล่ตอบ
“ศิษย์พี่อยู่ข้างล่างอย่างสงบนั่นแหละดีแล้ว”
เมื่อชายกระบี่คู่กำลังจะระรัวสาปแช่งซือหยูความเยือกเย็นพร้อมกับกลิ่นเลือดก็โชยมาจากลำคอ เขาหน้าซีดเผือด แต่ไม่เหมือนกับชายผิวเข้ม เขาหันไปฟันกระบี่ขาวดำบั่นคอตัวเองทิ้ง!
เขาเลือกจะจบชีวิตตัวเอง!แต่ถึงร่างกายจะสลาย ร่างเงาโปร่งใสที่มิอาจมองได้ด้วยตาเปล่าก็ลอยออกมาจากร่างไร้หัว มันทะลวงผ่านทุกสิ่งกีดขวางผ่านทุกอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดาย
การปล่อยวิญญาณออกจากร่างนั้นเป็นหนึ่งในความสามารถของจ้าวเทวะตอนนี้เขาเป็นเพียงวิญญาณที่หนีออกมา
แต่เมื่อร่างกายไม่มีอยู่แล้วเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขาย่อมสูญเปล่า ดังนั้นเขาจะต้องหาร่างใหม่และเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
ความแค้นกับซือหยูครั้งนี้นับว่าหนักหนาลึกซึ้งมันมิอาจอภัยให้ได้ เขาจ้องมองซือหยูด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยนเจ้ารอก่อนเถอะ!”
แต่ซือหยูกลับตอบเขาอย่างไม่คาดคิดชายกระบี่คู่ตกใจมาก
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูหันไปแสร้งยิ้มเมื่อมองร่างวิญญาณตรงหน้า
ชายกระบี่คู่ใบหน้าเศร้าหมอง
“เจ้ามองเห็นข้าเรอะ?”
ซือหยูยิ้ม
“มิเพียงแค่เห็นข้ายังส่งเจ้าไปที่อื่นได้ด้วย!”
เมื่อพูดวายุมิติก็ปรากฏที่ดวงตาของซือหยู มันปล่อยพลังที่มิอาจต่อต้านได้ออกมา
วิญญาณของชายกระบี่คู่ถูกดูดกลืนเข้าไปเขาถูกส่งไปยังมิติวิญญาณนรกชั้นสิบแปดของซือหยู
ชายกระบี่คู่มองความมืดมิดไร้ขอบเขตที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเขาตื่นตระหนก
“ที่นี่ที่ไหน?”
ร่างวิญญาณร้อนรน
ในตอนนั้นเองเสียงแก่เฒ่าดังมาจากความมืด
“ฮ่าๆๆๆเจ้าเด็กนั่นรักษาสัญญา หาวิญญาณของจ้าวเทวะให้ข้าได้เร็วยิ่งนัก!”
ในตอนนั้นหยดโลหิตปรากฏขึ้นมาจากความว่าวเปล่า
ร่างวิญญาณของชายกระบี่คู่ตกใจสุดขีด
“เจ้าเป็นใคร?”
หยดโลหิตตอบอย่างดีใจ
“เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใครรู้เพียงว่าข้าต้องการใช้เจ้าก็พอแล้ว”
หลังหยดโลหิตพูดจบมันไม่เหลือเวลาให้วิญญาณชายกระบี่คู่ได้หนี มันพุ่งเข้าใส่หน้าผากและดูดกลืนวิญญาณของเขาจนหมด!
หยดโลหิตกลายเป็นก้อนกลมขึ้นมันดูมีกำลังมากกว่าเดิม ในตอนนั้นเอง เสียงของซือหยูดังมาจากความมืดมิด
“ข้าทำตามคำพูดแล้วนะ”
ตอนที่เขาต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตในโลกเฉินหลงเขาได้บังคับให้หยดโลหิตมอบพลังของเทพปีศาจให้กับเขา เขาใช้มันดูดซับพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาใช้เอง เงื่อนไขก็คือเขาจะต้องมอบวิญญาณจ้าวเทวะให้กับหยดโลหิต และตอนนี้เขาก็ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าหนูเจ้าสนใจจะทำข้อตกลงกับข้าอีกไหม?”
หยดโลหิตหัวเราะ
ซือหยูขมวดคิ้วและถาม
“ตกลงอะไรของเจ้า?ข้ายังไม่ต้องการใช้พลังนั่น ยังเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
หยดโลหิตหัวเราะ
“อย่าจริงจังนักสิมาพูดเรื่องชีวิตในอนาคตจะดีกว่า มาคุยเรื่องนั้นกันไม่ดีกว่าเรอะ?”
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยว
“มีเรื่องเกิดขึ้นข้างนอกข้าไม่มีเวลาจะมาเสียกับเจ้า ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”
“เจ้านี่มันเป็นเด็กน่าเบื่อเสียจริง…”
หยดโลหิตกล่าว
“ข้อตกลงที่ข้าอยากจะต่อรองก็คือวิชาลับของข้าวิชากายามังกรเทพปีศาจ เจ้าไม่สนใจมันหรือ?”
ซือหยูตอบโดยไม่คิด
“ข้าเรียนภาษามังกรมามากแล้วต่อให้เจ้าไม่ช่วย ข้าก็แปลมันได้”
“หึหึปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรที่ข้าเสี่ยงชีวิตได้มา สิ่งที่มิอาจมีแม้เจ้าจะแปลได้ล่ะ? เจ้าอาจจะคุ้นเคยกับกายามังกรแล้วใช่หรือไม่? เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หยดโลหิตถามอย่างเจ้าเล่ห์
ซือหยูตอบหลังจากครุ่นคิด
“กายามังกรแข็งแกร่งก็จริงแต่ไม่แข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดว่ามันควรจะเป็น”
ในทีแรกกายามังกรนั้นเพิ่มพลังกายของเขาจากกึ่งภูติมาเป็นภูติ การปรับพลังขึ้นมาเช่นนี้นับว่าแปลกประหลาด
แต่ในตอนนี้ผลของมันค่อนข้างธรรมดา มันเพิ่มพลังได้เพียงระดับเดียว มันค่อนข้างไม่มีประโยชน์และไม่สมชื่อกายามังกรเลย  หยดโลหิตหัวเราะเมื่ออ่านหน้าซือหยู
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วกายามังกรแบ่งเป็นหลายระดับ กายามังกรปราณแรกของเจ้าก็ต้องประโยชน์น้อยเช่นนั้น”
ซือหยูตกใจและถาม
“กายามังกรปราณแรกหรือ?มันไม่ได้เขียนอยู่ในวิชากายามังกรเทพปีศาจ…”
“ไอ้หนูเจ้าคิดว่ามังกรเป็นพวกโง่เรอะ? คิดว่าพวกมันจะเขียนทุกอย่างลงตำราให้เจ้าอ่านเรอะ? รายละเอียดสำคัญมากมายนักต้องสืบทอดจากมังกรรุ่นสู่รุ่น พวกมันไม่เขียนหรือบันทึกไว้กับที่ใด เจ้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
หยดโลหิตพูดอย่างภูมิใจ
ซือหยูตาเป็นประกายเล็กน้อย
“แสดงว่าเจ้ารู้สินะ?”
หยดโลหิตตอบด้วยคำถาม
“ยังต้องถามข้าอีกเรอะ?เมื่อก่อน ข้าทำลายโลกตั้งหลายใบ สวรรค์ดับไปหลายแห่ง จะเทพหรือเซียนก็ฆ่าตายหมด แล้วเผ่ามังกรกระจอกจะเป็นอะไรสำหรับข้ากัน? เจ้าคิดรึว่าพวกมันจะกล้าเก็บความลับจากข้า?”
ซือหยูยังคงสงสัย
“ข้าจะเชื่อเจ้าตอนนี้แต่…สิ่งที่ข้าจะได้กับสิ่งที่เจ้าต้องการ…คืออะไร?”
หยดโลหิตยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าขอแค่วิญญาณจ้าวเทวะเดือนละดวงข้าจะหาทางช่วยเจ้าปรับร่างกายขึ้นใหม่ แต่เจ้าต้องมีสายใยแก่นแท้มังกรที่มากพอ ข้าจะปรับร่างเจ้าให้เป็นกายามังกรขั้นห้า ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงระดับจ้าวเทวะ”
ร่างกายขอบเขตจ้าวเทวะรึ?ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก จ้าวเทวะนั้นแข็งแกร่ง พลังมิอาจหยั่งถึง แม้ซือหยูตอนนี้จะมีสมบัติมากมาย เขาก็ไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะ!
ถ้าเขาคิดไม่ผิดเขาสามารถโดนจ้าวเทวะสังหารได้ก่อนที่จะปล่อยวิชาเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาฝึกฝนร่างกายให้อยู่ในขอบเขตจ้าวเทวะได้ เขาก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
“ก็ได้ข้าตกลง!”
ซือหยูยอมรับ
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาสายใยมังกรให้มากพอ ส่วนวิธีที่จะหานั้น…เขามีแผนแล้ว!
วิญญาณของเขากลับสู่ร่างดวงตาเบิกโพลง เขาแตะพื้นด้วยปลายเท้าและบินขึ้นฟ้า จากนั้นจึงเรียกมุกบาดาลกลับ
เขาบินไปยังตำหนักแต่ก่อนที่เขาจะได้เริ่มบิน เงาทมิฬก็ปรากฏด้านหลังเขาอย่างกับผี
เงาทมิฬซัดหลังของเขาและหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าสินะที่ขโมยอาหารของข้าไป!”
พอมันพูดจบมันก็อ้าปากและกำลังจะกัดคอซือหยู…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 811-812

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 811-812 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.811 – ยอมติดกับดัก
ซือหยูใจเต้นแรง…ภูติผีที่ตายเมื่อร้อยปีก่อนกำลังจะเกิดใหม่งั้นเรอะ?
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นจ้าวเทวะชั้นกลางจริงซือหยูก็กลั้นหายใจและเริ่มถอย ซือหยูกัดฟันเบาๆขณะที่มองเสวี่ยฉีที่ติดอยู่
ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจต่อสู้กับจ้าวเทวะชั้นกลางได้และถ้าเขาผลีผลามเข้าไป เขาก็จะช่วยชีวิตใครไม่ได้เลย ทุกคนจะตายอย่างสูญเปล่า เขาตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปขอความช่วยเหลือ
หลังจากกลับไปแล้วเขากลานออกมาจากอุโมงค์ สายลมที่พัดลงมาทำให้ซือหยูรู้สึกเยือกเย็นที่หน้าผาก มันคือเวลาเดียวกับที่เขารู้ว่าหน้าผากตัวเองมีเหงื่ออยู่เต็มไปหมด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสัตว์ประหลาดดุร้ายที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของคนหลายคนในครึ่งปีมานี้จะอยู่ใต้เท้าของเขามาโดยตลอด!ซือหยูจะต้องรีบไปเตือนเจ้าตำหนักและขอให้เขามาจัดการ!
หลังจากที่ซือหยูกลับค่ายเขาพบว่าปิงหวูชิงกับคนที่เหลือกลับมาแล้ว
“ทำไมเจ้ากลับมาล่ะ?เกิดอะไรขึ้น?”
ไป่ชานเหลียงถามซือหยู
“เดี๋ยวก่อน!มีพิษอยู่บนร่างของเจ้า เจ้าเจอสัตว์ประหลาดที่ลักพาตัวเสวี่ยฉีงั้นรึ?”
ทุกคนยืนขึ้นมองซือหยูอย่างเป็นกังวลในทันทีซือหยูพยักหน้า
“ค่อยพูดทีหลังเถอะเราต้องไปรายงานเจ้าตำหนักเดี๋ยวนี้ว่าข้าเจอตัวเสวี่ยฉี!”
สีหน้าทุกคนหม่นหมองดูจากท่าทางของซือหยู พวกเขาเดาได้เลยว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
“ศิษย์น้องเจ้าไม่ต้องไปที่นั่น เจ้าตำหนักออกจากตำหนักไปต้อนรับกำลังเสริมแล้ว ตอนนี้มีแต่ผู้เฒ่าอยู่ในตำหนักเท่านั้น”
ไป่ชานเหลียงส่ายหน้า
ทำไมเขาถึงออกจากตำหนักในเวลาแบบนี้กัน?ซือหยูใจหายเล็กน้อย เขามองรอบๆและขมวดคิ้ว
“จื่อเสวียนไปไหน?นางยังไม่กลับมางั้นรึ?”
“นางกลับมาแต่ก็ออกไปในไม่นาน ข้าไม่รู้ว่านางเลี่ยงใคร…คืออะไรอยู่”
ไป่ชานเหลียงพูดขณะมองซือหยูสัญชาตญาณบอกเขาว่าจื่อเสวียนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดา
ซือหยูตกใจไม่ต่างกัน…ทำไมจู่ๆนางถึงออกไปอย่างไม่มีเหตุผลล่ะ?นางรู้สึกถึงอันตรายงั้นรึ?
ตอนนี้ไม่มีใครเหลือที่จะช่วยข้าเลยแล้วข้าจะช่วยเสวี่ยฉีได้ยังไง?
“ศิษย์น้องทำไมเจ้าไม่บอกสถานการณ์ของเสวี่ยฉีในตอนนี้เล่า? พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือพร้อมกับศิษย์ในอีกเจ็ดคนนั่น…”
ไป่ชานเหลียงแนะนำ
มีแค่นั้นหรอกรึ?ซือหยูส่ายหน้าหลังจากพิจารณา เพราะสี่อสูรอย่างพวกเขาคงโดนจ้าวเทวะสังหารได้ง่ายๆ มีเพียงผู้เฒ่าในตำหนักเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์
แต่จู่ๆซือหยูก็ตาลุกวาว
“ข้าคิดออกแล้ว!พวกเจ้าปล่อยให้ข้าจัดการเอง ส่วนพวกเจ้าไปบอกผู้เฒ่าในตำหนักโดยเร็ว”
อสูรทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความสับสนพวกเขาล้วนสงสัยว่าซือหยูคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขาก็ทำตาม พวกเขาตัดสินใจรอสักครู่ก่อนจะไปแจ้งผู้เฒ่าในตำหนัก
ไม่นานซือหยูก็กลับมาในภูเขาทมิฬเงียบๆเขามองท้องฟ้ามืดครึ้มและสั่งสมาธิบนภูเขา จากนั้นก็ตรวจสอบสิ่งที่ได้ในวันนี้
ผ่านไปนานกลุ่มคนบินมายังภูเขาที่ซือหยูอยู่ พวกเขาคือศิษย์ในทั้งเจ็ด! พวกเขาสงสัยเรื่องที่ซือหยูหาสมบัติเจอในเมื่อวาน พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ว่าซือหยูได้อะไรในวันนี้บ้าง
“ศิษย์น้องเจ้าเพิ่งจะเริ่มพักหรือ?”
เสียงอ่อนโยนไพเราะดังขึ้น
เมื่อซือหยูเงยหน้าเขาก็พบศิษย์พี่สตรีที่สวมชุดหลากสียืนตรงหน้าดวงตาอันงดงามของนางจ้องมองสมบัติจำนวนมหาศาลข้างหน้าซือหยู
ซือหยูรีบเก็บสมบัติและรีบยืนขึ้นเขาประสานหมัด
“ศิษย์พี่ทุกท่าน…”
สายตาศิษย์ในทั้งหกที่อยู่ด้านหลังสตรีเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อมองภูเขาลูกที่หดเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม!พวกเขาเป็นจ้าวเทวะทั้งหมด แต่ความเร็วในการขุดค้นกลับต่ำกว่าภูติคนนี้! เรื่องนี้ทำให้่พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก!
สายตาของทั้งหกเต็มไปด้วยความโลภอีกด้วยเพราะสมบัติที่ซือหยูมีได้ดึงดูดพวกเขา
“ศิษย์น้องเจ้ามีวิธีการดีจริงๆ ขุดภูเขาได้สองในสามในเวลาแค่สองวัน! ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะเจอสมบัติหลายชิ้น”
ศิษย์พี่สตรีขบริมฝีปากนางทึ่งกับควมสำเร็จของซือหยู มีความริษยาอยู่ด้วยเช่นกัน
ซือหยูตอบอย่างถ่อมตัว
“ข้าเพียงโชคดีเท่านั้นดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้จะไม่ได้แข็งอย่างที่ข้าคิด ข้าเลยขุดค้นได้ง่ายๆ”
“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้วถ้าเจ้ามีโอกาสมาตำหนักในในอนาคต เจ้าไปหาข้าให้ชี้แนะเรื่องการบ่มเพาะพลังได้เลย”
นางอย่างจะพูดอย่างอื่นหลังจากนั้นแต่นางก็หยุดตัวเอง
พวกเขามีเวลาแค่สามวันเช่นกันนั่นหมายความว่าพวกเขาเหลือเวลาอีกวันเดียว พวกเขาต้องกลับตำหนักในในวันพรุ่งนี้ แม้สิ่งที่ได้กลับไปจะไม่น้อย แต่มันก็เทียบกับซือหยูไม่ได้เลย
นางอยากจะถามซือหยูว่าเขามีวิชาลับอันใดแต่นางมิได้สนิทกับเขา นางรู้ว่านางจะไม่ได้ข้อมูลลับอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าหากนางรีบถามออกไป นางจึงได้แต่รอ เท่าที่นางมอง ผู้ที่ขึ้นมัจฉาข้ามประตูมังกรได้ถึงขั้นห้าสิบนั้นจะต้องมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมและมีโอกาสเข้าตำหนักในได้มากแน่
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“ศิษย์พี่พูดตลกงั้นหรือ!ข้าเพิ่งจะเข้าตำหนักนอกได้ การเข้าตำหนักในยังห่างไกลสำหรับข้านัก”
“ศิษย์น้องข้าเชื่อในตัวเจ้า”
นางยิ้มอย่างอ่อนหวานนางดูงดงามอย่างมากในตอนนี้
“เกือบจะค่ำแล้วใยเจ้าไม่กลับไปกับเราเล่า ที่นี่ไม่ปลอดภัยมิใช่รึ?”
ซือหยูตอบ
“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงแต่ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ศิษย์พี่ทุกท่านกลับไปได้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยรีบกลับให้เร็วที่สุดล่ะ”
นางบอกกับเขาก่อนจะบินออกไป
ซือหยูยิ้มจางๆเมื่อมองดูทั้งเจ็ดที่บินขึ้นฟ้า
“จะช่วยเสวี่ยฉีได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
ซือหยูกระทืบพื้นเปิดเผยอุโมงค์ลับเขารีบลงอุโมงค์ที่เขาขุดไปยังใต้ดิน ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดบนภูเขานอกจากสายลมเย็นฉ่ำ
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
ตอนนั้นมีสองคนปรากฏตัวขึ้นมาทันทีอย่างกับผี หนึ่งในนั้นมีผิวคล้ำแกมม่วงแกมทอง ดวงตาของเขาสดใสดูเหมือนกับคบเพลิงในความมืด
ส่วนอีกคนมีกระบี่สองเล่มที่แผ่นหลังกระบี่นั้นมีสีขาวและดำในแต่ละเล่ม ดวงตานั้นคมกริบราวกระบี่ เขาให้บรรยากาศอันสันโดษ
“หึหึมันรีบหายไปในพริบตาเดียว มันรู้รึว่าพวกเราจะทำอะไรกับมัน?”
ชายหนุ่มผิวเข้มมองรอบๆและหัวเราะเบาๆ
อีกคนที่พกกระบี่สองเล่มไม่พูดอะไรเขามองรอบๆและรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ใต้เท้า เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอียดก็พบทางเข้าอุโมงค์ที่ถูกปิดเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจและถูกซ่อนอยู่ในความมืด
“พี่เหวินดูนี่สิ! ข้าเจออุโมงค์”
ชายผิวเข้มเห็นปากอุโมงค์เช่นกันเขาเกลี่ยเท้าขจัดศิลาที่ปิดทางเข้าออกไป
เขาย่อตัวลงมองด้วยความเย็นชา
“ภูเขาสิบแปดลูกเป็นพื้นที่ที่แปลกที่สุดในเขาวิญญาณจรัสแปลกมากที่มีอุโมงค์ที่นี่ อย่าประมาท รอให้มันออกมาคือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด”
“พี่เหวินมันไม่ดูเหมือนอุโมงค์นี้เพิ่งสร้างขึ้นหรอกรึ นั่นแสดงว่าไอ้เด็กนั่นจะต้องเคยลงไปแล้ว ถ้าหากมีอันตรายมากนัก มันจะกล้าลงไปอีกได้ยังไง?”
ชายหนุ่มผิวเข้มออกความเห็น
เขาพูดต่อ
“แล้วไอ้เด็กนั่นก็ดูไม่โง่ถ้ามันรู้ว่าเราอยู่ข้างทางเข้าอุโมงค์ มันก็คงจะซ่อนอยู่ข้างในแล้วไม่ออกมาหรอก พรุ่งนี้เราต้องไปจากที่นี่แล้ว เราไม่มีเวลาให้เสีย”
ชายผิวเข้มเลียริมฝีปาก
“พี่เหวินไม่อยากลงไปเสี่ยงโชคหรือ?อุโมงค์เปิดแล้ว เราต้องกลับตำหนักพรุ่งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ!”
คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้ชายที่พกกระบี่คู่ต้องคิดหนักเพราะวิถีแห่งการบ่มเพาะพลังนั้นยากลำบาก นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เจอครั้งเดียวในชีวิต! มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะเสี่ยงไปรับโอกาสไว้หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ตามรังสีพลังของไอ้เด็กนั่นไป”
ชายหนุ่มกระบี่คู่หลับตา
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็มีแสงเปล่งออกมามันสามารถแกะร่องรอยที่ซือหยูทิ้งเอาไว้ได้
ทั้งสองรีบเร่งความเร็วลงไปในอุโมงค์อันซับซ้อนราวกับเวหาไร้ลักษณ์หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็หยุดอยู่ตรงประตูศิลาบานยักษ์
“พี่หวินทำไมถึงมีประตูที่คนสร้างอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ชายผิวเข้มขมวดคิ้วเขารู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อมองประตูบานนี้
ชายกระบี่คู่ใจหายเช่นกัน
“พวกเราอาจจะติดกับดักมันข้ารู้สึกถึงพลังที่น่ากลัวในประตู”
พวกเขารู้ตัวแล้วว่าถูกซือหยูล่อให้เข้ามา!
“แล้วซือหยูเซี่ยนอยู่ที่ไหน?คนที่ยิ่งใหญ่เช่นยนั้นไม่ควรจะหายไปเฉยๆมิใช่รึ?”
ชายผิวเข้มมองรอบๆด้วยความงุนงง
ในตอนนั้นเองชายแก่เดินออกมาจากหมอกสีชมพูที่อยู่ในเขตของประตูศิลา เขาคือซือหยู!
แต่ดวงตาของเขานั้นสดใสและบริสุทธิ์ราวกับเด็กมันไม่สมกับอายุของเจ้าของดวงตาเลย!
“ซือหยูเซี่ยน!”
ชายผิวเข้มตะโกนพวกเขาไม่ทันสังเกตถึงความแปลกของซือหยูตอนนี้เพราะพวกเขาเป็นกังวลกับอันตรายที่อยู่เบื้องหลังประตู
“หึหึ”
ซือหยูหัวเราะและหันไปหนึ่งครั้งก่อนจะกลายเป็นหมอกสีชมพูหายไป
ทันทีทันใดก็มีสายฟ้าปรากฏที่ปากทางเข้าอุโมงค์ซือหยูเดินออกมา ซือหยูในตอนนี้มีรูปลักษณ์ของวัยรุ่น เขามีผมยาวสีขาวและใบหน้าชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวกับองค์เทพ
เขามีรอยที่ดูชั่วร้ายระหว่างคิ้วดวงตาลึกล้ำนั้นไม่ต่างกับเนตรที่เขียนเอาไว้ในบันทึกโบราณ เขาดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ซือหยูยิ้ม
“เวลาผ่านไปแล้วตอนนี้คงจะถึงประตูแล้วสินะ หึหึ ช่วยข้ากันไอ้ผีนั่นหน่อยแล้วกัน”
ขณะที่พูดตาซ้ายของซือหยูได้กลายเป็นเนตรทะลวงมองผ่านทุกสิ่ง ตาขวาได้กลายเป็นเนตรพลังมิติ เขามองดูประตูศิลาที่อยู่ใต้พื้น
เวลาเดียวกันนั้นพลังมิติที่ตาขวาก็ได้แล่นผ่านประตูไปโอบล้อมเสวี่ยฉีและวงแสงโลหิตที่อยู่ข้างกายนาง ส่วนชายทั้งสองที่อยู่นอกประตูที่กำลังสับสนจากการหายตัวไปของซือหยูนั้นรู้สึกสับสนกับพลังมิติที่สัมผัสได้ใหม่ มันทำให้พวกเขาชักสีหน้า
DND.812 – ลวงฆ่าจ้าวเทวะ
เสวี่ยฉีที่อยู่ภายในนั้นถูกพันธนาการด้วยวัตถุทรงกลมสีโลหิตนางกำลังขัดขืนไม่ให้มันกลืนกินพลังของนางอย่างยากลำบาก จู่ๆนางก็สัมผัสถึงพลังมิติแข็งแกร่งที่มาโอบล้อมนาง นั่นทำให้นางตกใจมาก
พลังมิตินี้ไม่สนว่านางจะต้านทานหรือไม่มันยักย้ายนางออกไปทันที พลังภูติที่อยู่บนแท่นบูชาและร่างไร้วิญญาณสีดำที่นอนอยู่รับรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
โฮก!
เสียงคำรามที่มิใช่ของมนุษย์ดังก้องศพทมิฬยืนขึ้นตรง เนตรสีอำพันของมันเปล่งแสง มิติรอบข้างสั่นไหวเช่นเดียวกับประตูศิลา พลังอันแข็งแกร่งกระจายออกมาจากแท่นบูชา
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่อีกฟากของประตูรู้สึกราวกับเจอภูเขาไฟปะทุพวกเขารู้สึกอ่อนแอและไร้กำลังเมื่อเผชิญหน้ากับมัน แม้พวกเขาจะเป็นจ้าวเทวะชั้นต้น แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่มดปลวกต่อหน้าพลังนี้
“จ้าวเทวะชั้นกลาง!”
ชายผิวเข้มเบิกตากว้างเขาอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่พูดสิ่งใดอีกและหันหลังรีบหนีไป
ส่วนชายหนุ่มกระบี่คู่ก็เริ่มหนีไปแล้วสีหน้าเขาหม่นหมองอย่างมาก
“ไอ้เด็กบัดซบนั่น!เราต้องกับดักของมัน!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
พวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะชั้นกลางไม่กล้าออมมือและใช้ทุกหนทางลับในการหนีออกมาทันทีพวกเขามาถึงที่นี่ในเวลาห้านาที แต่ในทางกลับ พวกเขาใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเท่านั้น!
ทั้งสองพุ่งเข้าสู่อุโมงค์อย่างดุดันเพราะคิดจะหนีไปจากถ้ำใต้ดินแต่หลังจากที่เข้าไปในอุโมงค์ทางออกก็พบว่ามันถูกขวางไว้โดยมุกสีครามอำพัน มันปิดทางออกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครเข้าออกได้!
“สารเลว!กล้าดียังไงวางอุบายนี้กับพวกข้า?”
ชายผิวเข้มวิตกกังวลเขาปล่อยหมัดเข้าใส่สิ่งที่ขวางทางออก
ปั้ง!
แต่เมื่อซัดเข้าไปเขาก็มิอาจผลักมันได้เลยเขากลับทำให้แขนตัวเองบาดเจ็บเท่านั้น เขาทนรับแรงกระแทกที่สะท้อนกลับมาด้วยความปวดร้าว
“หาทางออกจากพวกหินรอบๆนี่จะดีกว่าเราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่จ้าวเทวะชั้นกลางจะตามทัน มิงั้นไม่รอดแน่!”
ชายกระบี่คู่ขมวดคิ้วขณะที่พูด
ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารพวกเขาวางแผนจะฆ่าซือหยู แต่สุดท้ายกลับถูกปิดตายอยู่เบื้องล่างเพราะคนที่จะสังหาร!
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือพวกเขากำลังเจอกับจ้าวเทวะที่ไล่ตามมา!ภูติผีตนนั้นร้องคำรามด้วยความแค้น!
ชายกระบี่คู่ชักกระบี่ทั้งสองออกมาฟันก้อนหินรอบทางออกเขาทิ้งรอยลึกขนาดใหญ่เอาไว้ เขาเพียงแค่ต้องฟันอีกสิบครั้งเท่านั้นเพื่อที่จะเปิดทางออกไปได้
ชายผิวเข้มจึงไม่กล้าจะรอช้าหมัดของเขากลายเป็นสีม่วงช้ำ ฝ่ามือนั้นเป็นสีม่วงเข้ม มันไม่เหมือนกับหมัดของมนุษย์แม้แต่น้อย
“ย๊ากกก!เปิดเดี๋ยวนี้!”
ชายผิวเข้มตะโกนและซัดศิลาด้วยพลังมหาศาลมันถล่มลงมาเป็นส่วนมาก
เมื่อเป็นอย่างนี้หากเขาสองคนร่วมมือกัน พวกเขาก็จะสร้างช่องว่างใหญ่พอที่จะหนีไปได้ เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
“พี่เหวินไปต่อกันเถอะ!”
ชายผิวเข้มปล่อยหมัดไปอีกครั้ง
แต่พี่เหวินที่อยู่ด้านหลังกลับไม่จู่โจมเปิดทางอีกชายผิวเข้มหันไปมองด้านหลังและเห็นว่าพี่เหวินหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“พี่เหวิน!”
ชายผิวเข้มทำหน้าสยองเขารีบบินลงข้างล่าง
เมื่อเขาออกจาอุโมงค์กลับมาที่ถ้ำเขาก็เป็นชายคนหนึ่งที่หางตา
ชายผิวเข้มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาหันไปถาม
“พี่เหวินเกิดอะไรขึ้น? อ๊ะ! จะ…เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเขาหันกลับไปสิ่งที่เห็นก็มิใช่พี่เหวินแต่เป็นผีที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียด มันสวมผ้าคลุมสีดำ!
พลังภูติผีหนาแน่นปะทุออกมาจากผ้าคลุมสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมคือใบหน้าน่ากลัว! มันมีผิวสีเขียว ดวงตาเป็นหลุ่มลึกสีอำพันและมีเพลิงลุกไหม้อยู่ด้วย จมูกของมันเน่าเปื่อย ปากนั้นมีเขี้ยวแหลม!
มันจ้องมองชายผิวเข้ม
“ก็ดีมันช่วยจ้าวเทวะไปคนเดียว แต่มีอีกสองคนมาหาข้า ถือว่าคุ้ม”
ฟึ่บ!
จากนั้นมันก็หายไปความตกใจถาโถมชายผิวเข้ม ร่างกายของเขากลายเป็นสีม่วงเข้มที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีเงาภูติผีขนาดยักษ์ปรากฏที่ด้านหลังทันใดนั้น ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมได้อ้าออกและกัดคอของเขา!
“อ๊ากกกกกก!”
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วถ้ำ
ชายผิวเข้มร่างเหี่ยวแห้งไม่ต่างกับต้นไม้เพียงสามวินาที สิ่งที่เหลืออยู่ของเขาก็มีเพียงผิวหนัง ส่วนเลือดเนื้อหรือกระทั่งกระดูกนั้นถูกกลืนกินไปจนหมด!
ภูติผีเลียริมฝีปากพลางหัวเราะ
“รสชาติไม่เลวแต่ข้ายังไม่อิ่ม”
มันหัวเราะอย่างน่าสยดสยองมันมองรอยแยกบนกำแพงและโบกมือ
ปั้ง!
ศิลาก้อนใหญ่แตกสลายไป
ฟึ่บ!
ชายคนหนึ่งรีบบินขึ้นไปเขาคือชายกระบี่คู่ที่จู่ๆก็หายไปเมื่อครู่ก่อน เขาสัมผัสถึงการมาของภูติผีได้จึงไปแอบอยู่เงียบๆ
เขาคิดว่าภูติผีไม่พบตัวเขาแต่สัมผัสของมันเฉียบคมกว่าที่เขาคิด เขาเพิ่งจะเห็นศิษย์น้องถูกดูดกลืนไปสดๆร้อนๆจนเหลือแค่กองหนัง! เขาขนลุกไปทั้งตัวงและรีบหนีไป
เขากัดฟันออกจากอุโมงค์เขามุ่งมั่นที่จะเสี่ยงทุกสิ่งที่มี ถ้ำใต้ดินถูกผนึกไว้แล้ว ถ้าเขาอยู่ข้างใน เขาก็จะไม่ต่างจากแกะที่ถูกพยัคฆ์จับขัง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะหนี!
เขารีบพุ่งไปยังปลายอุโมงค์ขณะถือกระบี่ทั้งสองเล่มเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้เด็กบัดซบ!เปิดทางออกอุโมงค์เดี๋ยวนี้!”
ซือหยูกำลังยืนอยู่เหนือมุกบาดาลหมอกสีชมพูปรากฏขึ้นมาพร้อมกับซือหยูอีกคน
ซือหยูคนใหม่แสยะยิ้มให้ซือหยูก่อนที่ร่างจะสลายไปเหลือเพียงกิเลนน้อยสีชมพูที่ขนาดเท่ากับลูกสุนัข!
มันใช้พลังวิเศษแปลงกายเป็นซือหยูเพื่อล่อให้จ้าวเทวะสองคนไปที่ประตูศิลา!
จากนั้นมันก็กลายเป็นสภาพลวงและผ่านภูเขาทมิฬออกมาอย่างง่ายดายมันกลับมาที่ข้างกายซือหยู ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนสาปแช่งเบื้องล่างซือหยูแสยะยิ้ม
“ศิษย์พี่ที่นั่นไม่ดีหรอกรึ? มันงดงามมาก สภาพแวดล้อมก็สง่า ที่นั่นเจอสมบัติได้ง่ายๆ แม้แต่ข้ายังไม่โชคดีอย่างนั้นเลย!”
ชายกระบี่คู่ระเบิดเสียงด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยน!ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าไม่ปล่อย ข้าสาบานว่าจะตามล่าเจ้าไปถึงสุดขอบโลก!”
ซือหยูหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆๆๆ!เจ้าจะออกมาล่าข้าได้ก็ต่อเมื่อออกมาจากข้างล่างนั่นได้! ถ้าเจ้าอยู่ข้างล่างตลอดไปก็ไม่มีใครมาตามล่าข้าแล้ว!”
“ก็ได้ซือหยูเซี่ยน ถ้าเจ้าให้ข้าออกไป ข้าจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว”
ชายกระบี่คู่ขอร้องแววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาจะไม่ก่อเรื่องให้ซือหยูเพราะว่าเขาก็แค่สังหารซือหยูและชิงสมบัติกลับมา!
ซือหยูยักไหล่ตอบ
“ศิษย์พี่อยู่ข้างล่างอย่างสงบนั่นแหละดีแล้ว”
เมื่อชายกระบี่คู่กำลังจะระรัวสาปแช่งซือหยูความเยือกเย็นพร้อมกับกลิ่นเลือดก็โชยมาจากลำคอ เขาหน้าซีดเผือด แต่ไม่เหมือนกับชายผิวเข้ม เขาหันไปฟันกระบี่ขาวดำบั่นคอตัวเองทิ้ง!
เขาเลือกจะจบชีวิตตัวเอง!แต่ถึงร่างกายจะสลาย ร่างเงาโปร่งใสที่มิอาจมองได้ด้วยตาเปล่าก็ลอยออกมาจากร่างไร้หัว มันทะลวงผ่านทุกสิ่งกีดขวางผ่านทุกอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดาย
การปล่อยวิญญาณออกจากร่างนั้นเป็นหนึ่งในความสามารถของจ้าวเทวะตอนนี้เขาเป็นเพียงวิญญาณที่หนีออกมา
แต่เมื่อร่างกายไม่มีอยู่แล้วเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขาย่อมสูญเปล่า ดังนั้นเขาจะต้องหาร่างใหม่และเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
ความแค้นกับซือหยูครั้งนี้นับว่าหนักหนาลึกซึ้งมันมิอาจอภัยให้ได้ เขาจ้องมองซือหยูด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยนเจ้ารอก่อนเถอะ!”
แต่ซือหยูกลับตอบเขาอย่างไม่คาดคิดชายกระบี่คู่ตกใจมาก
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูหันไปแสร้งยิ้มเมื่อมองร่างวิญญาณตรงหน้า
ชายกระบี่คู่ใบหน้าเศร้าหมอง
“เจ้ามองเห็นข้าเรอะ?”
ซือหยูยิ้ม
“มิเพียงแค่เห็นข้ายังส่งเจ้าไปที่อื่นได้ด้วย!”
เมื่อพูดวายุมิติก็ปรากฏที่ดวงตาของซือหยู มันปล่อยพลังที่มิอาจต่อต้านได้ออกมา
วิญญาณของชายกระบี่คู่ถูกดูดกลืนเข้าไปเขาถูกส่งไปยังมิติวิญญาณนรกชั้นสิบแปดของซือหยู
ชายกระบี่คู่มองความมืดมิดไร้ขอบเขตที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเขาตื่นตระหนก
“ที่นี่ที่ไหน?”
ร่างวิญญาณร้อนรน
ในตอนนั้นเองเสียงแก่เฒ่าดังมาจากความมืด
“ฮ่าๆๆๆเจ้าเด็กนั่นรักษาสัญญา หาวิญญาณของจ้าวเทวะให้ข้าได้เร็วยิ่งนัก!”
ในตอนนั้นหยดโลหิตปรากฏขึ้นมาจากความว่าวเปล่า
ร่างวิญญาณของชายกระบี่คู่ตกใจสุดขีด
“เจ้าเป็นใคร?”
หยดโลหิตตอบอย่างดีใจ
“เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใครรู้เพียงว่าข้าต้องการใช้เจ้าก็พอแล้ว”
หลังหยดโลหิตพูดจบมันไม่เหลือเวลาให้วิญญาณชายกระบี่คู่ได้หนี มันพุ่งเข้าใส่หน้าผากและดูดกลืนวิญญาณของเขาจนหมด!
หยดโลหิตกลายเป็นก้อนกลมขึ้นมันดูมีกำลังมากกว่าเดิม ในตอนนั้นเอง เสียงของซือหยูดังมาจากความมืดมิด
“ข้าทำตามคำพูดแล้วนะ”
ตอนที่เขาต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตในโลกเฉินหลงเขาได้บังคับให้หยดโลหิตมอบพลังของเทพปีศาจให้กับเขา เขาใช้มันดูดซับพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาใช้เอง เงื่อนไขก็คือเขาจะต้องมอบวิญญาณจ้าวเทวะให้กับหยดโลหิต และตอนนี้เขาก็ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าหนูเจ้าสนใจจะทำข้อตกลงกับข้าอีกไหม?”
หยดโลหิตหัวเราะ
ซือหยูขมวดคิ้วและถาม
“ตกลงอะไรของเจ้า?ข้ายังไม่ต้องการใช้พลังนั่น ยังเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
หยดโลหิตหัวเราะ
“อย่าจริงจังนักสิมาพูดเรื่องชีวิตในอนาคตจะดีกว่า มาคุยเรื่องนั้นกันไม่ดีกว่าเรอะ?”
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยว
“มีเรื่องเกิดขึ้นข้างนอกข้าไม่มีเวลาจะมาเสียกับเจ้า ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”
“เจ้านี่มันเป็นเด็กน่าเบื่อเสียจริง…”
หยดโลหิตกล่าว
“ข้อตกลงที่ข้าอยากจะต่อรองก็คือวิชาลับของข้าวิชากายามังกรเทพปีศาจ เจ้าไม่สนใจมันหรือ?”
ซือหยูตอบโดยไม่คิด
“ข้าเรียนภาษามังกรมามากแล้วต่อให้เจ้าไม่ช่วย ข้าก็แปลมันได้”
“หึหึปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรที่ข้าเสี่ยงชีวิตได้มา สิ่งที่มิอาจมีแม้เจ้าจะแปลได้ล่ะ? เจ้าอาจจะคุ้นเคยกับกายามังกรแล้วใช่หรือไม่? เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หยดโลหิตถามอย่างเจ้าเล่ห์
ซือหยูตอบหลังจากครุ่นคิด
“กายามังกรแข็งแกร่งก็จริงแต่ไม่แข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดว่ามันควรจะเป็น”
ในทีแรกกายามังกรนั้นเพิ่มพลังกายของเขาจากกึ่งภูติมาเป็นภูติ การปรับพลังขึ้นมาเช่นนี้นับว่าแปลกประหลาด
แต่ในตอนนี้ผลของมันค่อนข้างธรรมดา มันเพิ่มพลังได้เพียงระดับเดียว มันค่อนข้างไม่มีประโยชน์และไม่สมชื่อกายามังกรเลย  หยดโลหิตหัวเราะเมื่ออ่านหน้าซือหยู
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วกายามังกรแบ่งเป็นหลายระดับ กายามังกรปราณแรกของเจ้าก็ต้องประโยชน์น้อยเช่นนั้น”
ซือหยูตกใจและถาม
“กายามังกรปราณแรกหรือ?มันไม่ได้เขียนอยู่ในวิชากายามังกรเทพปีศาจ…”
“ไอ้หนูเจ้าคิดว่ามังกรเป็นพวกโง่เรอะ? คิดว่าพวกมันจะเขียนทุกอย่างลงตำราให้เจ้าอ่านเรอะ? รายละเอียดสำคัญมากมายนักต้องสืบทอดจากมังกรรุ่นสู่รุ่น พวกมันไม่เขียนหรือบันทึกไว้กับที่ใด เจ้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
หยดโลหิตพูดอย่างภูมิใจ
ซือหยูตาเป็นประกายเล็กน้อย
“แสดงว่าเจ้ารู้สินะ?”
หยดโลหิตตอบด้วยคำถาม
“ยังต้องถามข้าอีกเรอะ?เมื่อก่อน ข้าทำลายโลกตั้งหลายใบ สวรรค์ดับไปหลายแห่ง จะเทพหรือเซียนก็ฆ่าตายหมด แล้วเผ่ามังกรกระจอกจะเป็นอะไรสำหรับข้ากัน? เจ้าคิดรึว่าพวกมันจะกล้าเก็บความลับจากข้า?”
ซือหยูยังคงสงสัย
“ข้าจะเชื่อเจ้าตอนนี้แต่…สิ่งที่ข้าจะได้กับสิ่งที่เจ้าต้องการ…คืออะไร?”
หยดโลหิตยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าขอแค่วิญญาณจ้าวเทวะเดือนละดวงข้าจะหาทางช่วยเจ้าปรับร่างกายขึ้นใหม่ แต่เจ้าต้องมีสายใยแก่นแท้มังกรที่มากพอ ข้าจะปรับร่างเจ้าให้เป็นกายามังกรขั้นห้า ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงระดับจ้าวเทวะ”
ร่างกายขอบเขตจ้าวเทวะรึ?ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก จ้าวเทวะนั้นแข็งแกร่ง พลังมิอาจหยั่งถึง แม้ซือหยูตอนนี้จะมีสมบัติมากมาย เขาก็ไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะ!
ถ้าเขาคิดไม่ผิดเขาสามารถโดนจ้าวเทวะสังหารได้ก่อนที่จะปล่อยวิชาเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาฝึกฝนร่างกายให้อยู่ในขอบเขตจ้าวเทวะได้ เขาก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
“ก็ได้ข้าตกลง!”
ซือหยูยอมรับ
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาสายใยมังกรให้มากพอ ส่วนวิธีที่จะหานั้น…เขามีแผนแล้ว!
วิญญาณของเขากลับสู่ร่างดวงตาเบิกโพลง เขาแตะพื้นด้วยปลายเท้าและบินขึ้นฟ้า จากนั้นจึงเรียกมุกบาดาลกลับ
เขาบินไปยังตำหนักแต่ก่อนที่เขาจะได้เริ่มบิน เงาทมิฬก็ปรากฏด้านหลังเขาอย่างกับผี
เงาทมิฬซัดหลังของเขาและหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าสินะที่ขโมยอาหารของข้าไป!”
พอมันพูดจบมันก็อ้าปากและกำลังจะกัดคอซือหยู…

DND.811 – ยอมติดกับดัก
ซือหยูใจเต้นแรง…ภูติผีที่ตายเมื่อร้อยปีก่อนกำลังจะเกิดใหม่งั้นเรอะ?
หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นจ้าวเทวะชั้นกลางจริงซือหยูก็กลั้นหายใจและเริ่มถอย ซือหยูกัดฟันเบาๆขณะที่มองเสวี่ยฉีที่ติดอยู่
ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจต่อสู้กับจ้าวเทวะชั้นกลางได้และถ้าเขาผลีผลามเข้าไป เขาก็จะช่วยชีวิตใครไม่ได้เลย ทุกคนจะตายอย่างสูญเปล่า เขาตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปขอความช่วยเหลือ
หลังจากกลับไปแล้วเขากลานออกมาจากอุโมงค์ สายลมที่พัดลงมาทำให้ซือหยูรู้สึกเยือกเย็นที่หน้าผาก มันคือเวลาเดียวกับที่เขารู้ว่าหน้าผากตัวเองมีเหงื่ออยู่เต็มไปหมด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสัตว์ประหลาดดุร้ายที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของคนหลายคนในครึ่งปีมานี้จะอยู่ใต้เท้าของเขามาโดยตลอด!ซือหยูจะต้องรีบไปเตือนเจ้าตำหนักและขอให้เขามาจัดการ!
หลังจากที่ซือหยูกลับค่ายเขาพบว่าปิงหวูชิงกับคนที่เหลือกลับมาแล้ว
“ทำไมเจ้ากลับมาล่ะ?เกิดอะไรขึ้น?”
ไป่ชานเหลียงถามซือหยู
“เดี๋ยวก่อน!มีพิษอยู่บนร่างของเจ้า เจ้าเจอสัตว์ประหลาดที่ลักพาตัวเสวี่ยฉีงั้นรึ?”
ทุกคนยืนขึ้นมองซือหยูอย่างเป็นกังวลในทันทีซือหยูพยักหน้า
“ค่อยพูดทีหลังเถอะเราต้องไปรายงานเจ้าตำหนักเดี๋ยวนี้ว่าข้าเจอตัวเสวี่ยฉี!”
สีหน้าทุกคนหม่นหมองดูจากท่าทางของซือหยู พวกเขาเดาได้เลยว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
“ศิษย์น้องเจ้าไม่ต้องไปที่นั่น เจ้าตำหนักออกจากตำหนักไปต้อนรับกำลังเสริมแล้ว ตอนนี้มีแต่ผู้เฒ่าอยู่ในตำหนักเท่านั้น”
ไป่ชานเหลียงส่ายหน้า
ทำไมเขาถึงออกจากตำหนักในเวลาแบบนี้กัน?ซือหยูใจหายเล็กน้อย เขามองรอบๆและขมวดคิ้ว
“จื่อเสวียนไปไหน?นางยังไม่กลับมางั้นรึ?”
“นางกลับมาแต่ก็ออกไปในไม่นาน ข้าไม่รู้ว่านางเลี่ยงใคร…คืออะไรอยู่”
ไป่ชานเหลียงพูดขณะมองซือหยูสัญชาตญาณบอกเขาว่าจื่อเสวียนนั้นแตกต่างจากคนธรรมดา
ซือหยูตกใจไม่ต่างกัน…ทำไมจู่ๆนางถึงออกไปอย่างไม่มีเหตุผลล่ะ?นางรู้สึกถึงอันตรายงั้นรึ?
ตอนนี้ไม่มีใครเหลือที่จะช่วยข้าเลยแล้วข้าจะช่วยเสวี่ยฉีได้ยังไง?
“ศิษย์น้องทำไมเจ้าไม่บอกสถานการณ์ของเสวี่ยฉีในตอนนี้เล่า? พวกเราจะได้ไปช่วยเหลือพร้อมกับศิษย์ในอีกเจ็ดคนนั่น…”
ไป่ชานเหลียงแนะนำ
มีแค่นั้นหรอกรึ?ซือหยูส่ายหน้าหลังจากพิจารณา เพราะสี่อสูรอย่างพวกเขาคงโดนจ้าวเทวะสังหารได้ง่ายๆ มีเพียงผู้เฒ่าในตำหนักเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์
แต่จู่ๆซือหยูก็ตาลุกวาว
“ข้าคิดออกแล้ว!พวกเจ้าปล่อยให้ข้าจัดการเอง ส่วนพวกเจ้าไปบอกผู้เฒ่าในตำหนักโดยเร็ว”
อสูรทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความสับสนพวกเขาล้วนสงสัยว่าซือหยูคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขาก็ทำตาม พวกเขาตัดสินใจรอสักครู่ก่อนจะไปแจ้งผู้เฒ่าในตำหนัก
ไม่นานซือหยูก็กลับมาในภูเขาทมิฬเงียบๆเขามองท้องฟ้ามืดครึ้มและสั่งสมาธิบนภูเขา จากนั้นก็ตรวจสอบสิ่งที่ได้ในวันนี้
ผ่านไปนานกลุ่มคนบินมายังภูเขาที่ซือหยูอยู่ พวกเขาคือศิษย์ในทั้งเจ็ด! พวกเขาสงสัยเรื่องที่ซือหยูหาสมบัติเจอในเมื่อวาน พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ว่าซือหยูได้อะไรในวันนี้บ้าง
“ศิษย์น้องเจ้าเพิ่งจะเริ่มพักหรือ?”
เสียงอ่อนโยนไพเราะดังขึ้น
เมื่อซือหยูเงยหน้าเขาก็พบศิษย์พี่สตรีที่สวมชุดหลากสียืนตรงหน้าดวงตาอันงดงามของนางจ้องมองสมบัติจำนวนมหาศาลข้างหน้าซือหยู
ซือหยูรีบเก็บสมบัติและรีบยืนขึ้นเขาประสานหมัด
“ศิษย์พี่ทุกท่าน…”
สายตาศิษย์ในทั้งหกที่อยู่ด้านหลังสตรีเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อมองภูเขาลูกที่หดเล็กลงเหลือแค่หนึ่งในสาม!พวกเขาเป็นจ้าวเทวะทั้งหมด แต่ความเร็วในการขุดค้นกลับต่ำกว่าภูติคนนี้! เรื่องนี้ทำให้่พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก!
สายตาของทั้งหกเต็มไปด้วยความโลภอีกด้วยเพราะสมบัติที่ซือหยูมีได้ดึงดูดพวกเขา
“ศิษย์น้องเจ้ามีวิธีการดีจริงๆ ขุดภูเขาได้สองในสามในเวลาแค่สองวัน! ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะเจอสมบัติหลายชิ้น”
ศิษย์พี่สตรีขบริมฝีปากนางทึ่งกับควมสำเร็จของซือหยู มีความริษยาอยู่ด้วยเช่นกัน
ซือหยูตอบอย่างถ่อมตัว
“ข้าเพียงโชคดีเท่านั้นดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้จะไม่ได้แข็งอย่างที่ข้าคิด ข้าเลยขุดค้นได้ง่ายๆ”
“เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้วถ้าเจ้ามีโอกาสมาตำหนักในในอนาคต เจ้าไปหาข้าให้ชี้แนะเรื่องการบ่มเพาะพลังได้เลย”
นางอย่างจะพูดอย่างอื่นหลังจากนั้นแต่นางก็หยุดตัวเอง
พวกเขามีเวลาแค่สามวันเช่นกันนั่นหมายความว่าพวกเขาเหลือเวลาอีกวันเดียว พวกเขาต้องกลับตำหนักในในวันพรุ่งนี้ แม้สิ่งที่ได้กลับไปจะไม่น้อย แต่มันก็เทียบกับซือหยูไม่ได้เลย
นางอยากจะถามซือหยูว่าเขามีวิชาลับอันใดแต่นางมิได้สนิทกับเขา นางรู้ว่านางจะไม่ได้ข้อมูลลับอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าหากนางรีบถามออกไป นางจึงได้แต่รอ เท่าที่นางมอง ผู้ที่ขึ้นมัจฉาข้ามประตูมังกรได้ถึงขั้นห้าสิบนั้นจะต้องมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมและมีโอกาสเข้าตำหนักในได้มากแน่
ซือหยูยิ้มเบาๆ
“ศิษย์พี่พูดตลกงั้นหรือ!ข้าเพิ่งจะเข้าตำหนักนอกได้ การเข้าตำหนักในยังห่างไกลสำหรับข้านัก”
“ศิษย์น้องข้าเชื่อในตัวเจ้า”
นางยิ้มอย่างอ่อนหวานนางดูงดงามอย่างมากในตอนนี้
“เกือบจะค่ำแล้วใยเจ้าไม่กลับไปกับเราเล่า ที่นี่ไม่ปลอดภัยมิใช่รึ?”
ซือหยูตอบ
“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงแต่ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ศิษย์พี่ทุกท่านกลับไปได้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยรีบกลับให้เร็วที่สุดล่ะ”
นางบอกกับเขาก่อนจะบินออกไป
ซือหยูยิ้มจางๆเมื่อมองดูทั้งเจ็ดที่บินขึ้นฟ้า
“จะช่วยเสวี่ยฉีได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”
ซือหยูกระทืบพื้นเปิดเผยอุโมงค์ลับเขารีบลงอุโมงค์ที่เขาขุดไปยังใต้ดิน ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดบนภูเขานอกจากสายลมเย็นฉ่ำ
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
ตอนนั้นมีสองคนปรากฏตัวขึ้นมาทันทีอย่างกับผี หนึ่งในนั้นมีผิวคล้ำแกมม่วงแกมทอง ดวงตาของเขาสดใสดูเหมือนกับคบเพลิงในความมืด
ส่วนอีกคนมีกระบี่สองเล่มที่แผ่นหลังกระบี่นั้นมีสีขาวและดำในแต่ละเล่ม ดวงตานั้นคมกริบราวกระบี่ เขาให้บรรยากาศอันสันโดษ
“หึหึมันรีบหายไปในพริบตาเดียว มันรู้รึว่าพวกเราจะทำอะไรกับมัน?”
ชายหนุ่มผิวเข้มมองรอบๆและหัวเราะเบาๆ
อีกคนที่พกกระบี่สองเล่มไม่พูดอะไรเขามองรอบๆและรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่ใต้เท้า เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอียดก็พบทางเข้าอุโมงค์ที่ถูกปิดเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจและถูกซ่อนอยู่ในความมืด
“พี่เหวินดูนี่สิ! ข้าเจออุโมงค์”
ชายผิวเข้มเห็นปากอุโมงค์เช่นกันเขาเกลี่ยเท้าขจัดศิลาที่ปิดทางเข้าออกไป
เขาย่อตัวลงมองด้วยความเย็นชา
“ภูเขาสิบแปดลูกเป็นพื้นที่ที่แปลกที่สุดในเขาวิญญาณจรัสแปลกมากที่มีอุโมงค์ที่นี่ อย่าประมาท รอให้มันออกมาคือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด”
“พี่เหวินมันไม่ดูเหมือนอุโมงค์นี้เพิ่งสร้างขึ้นหรอกรึ นั่นแสดงว่าไอ้เด็กนั่นจะต้องเคยลงไปแล้ว ถ้าหากมีอันตรายมากนัก มันจะกล้าลงไปอีกได้ยังไง?”
ชายหนุ่มผิวเข้มออกความเห็น
เขาพูดต่อ
“แล้วไอ้เด็กนั่นก็ดูไม่โง่ถ้ามันรู้ว่าเราอยู่ข้างทางเข้าอุโมงค์ มันก็คงจะซ่อนอยู่ข้างในแล้วไม่ออกมาหรอก พรุ่งนี้เราต้องไปจากที่นี่แล้ว เราไม่มีเวลาให้เสีย”
ชายผิวเข้มเลียริมฝีปาก
“พี่เหวินไม่อยากลงไปเสี่ยงโชคหรือ?อุโมงค์เปิดแล้ว เราต้องกลับตำหนักพรุ่งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ!”
คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้ชายที่พกกระบี่คู่ต้องคิดหนักเพราะวิถีแห่งการบ่มเพาะพลังนั้นยากลำบาก นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เจอครั้งเดียวในชีวิต! มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะเสี่ยงไปรับโอกาสไว้หรือไม่
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ตามรังสีพลังของไอ้เด็กนั่นไป”
ชายหนุ่มกระบี่คู่หลับตา
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งก็มีแสงเปล่งออกมามันสามารถแกะร่องรอยที่ซือหยูทิ้งเอาไว้ได้
ทั้งสองรีบเร่งความเร็วลงไปในอุโมงค์อันซับซ้อนราวกับเวหาไร้ลักษณ์หลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็หยุดอยู่ตรงประตูศิลาบานยักษ์
“พี่หวินทำไมถึงมีประตูที่คนสร้างอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ชายผิวเข้มขมวดคิ้วเขารู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อมองประตูบานนี้
ชายกระบี่คู่ใจหายเช่นกัน
“พวกเราอาจจะติดกับดักมันข้ารู้สึกถึงพลังที่น่ากลัวในประตู”
พวกเขารู้ตัวแล้วว่าถูกซือหยูล่อให้เข้ามา!
“แล้วซือหยูเซี่ยนอยู่ที่ไหน?คนที่ยิ่งใหญ่เช่นยนั้นไม่ควรจะหายไปเฉยๆมิใช่รึ?”
ชายผิวเข้มมองรอบๆด้วยความงุนงง
ในตอนนั้นเองชายแก่เดินออกมาจากหมอกสีชมพูที่อยู่ในเขตของประตูศิลา เขาคือซือหยู!
แต่ดวงตาของเขานั้นสดใสและบริสุทธิ์ราวกับเด็กมันไม่สมกับอายุของเจ้าของดวงตาเลย!
“ซือหยูเซี่ยน!”
ชายผิวเข้มตะโกนพวกเขาไม่ทันสังเกตถึงความแปลกของซือหยูตอนนี้เพราะพวกเขาเป็นกังวลกับอันตรายที่อยู่เบื้องหลังประตู
“หึหึ”
ซือหยูหัวเราะและหันไปหนึ่งครั้งก่อนจะกลายเป็นหมอกสีชมพูหายไป
ทันทีทันใดก็มีสายฟ้าปรากฏที่ปากทางเข้าอุโมงค์ซือหยูเดินออกมา ซือหยูในตอนนี้มีรูปลักษณ์ของวัยรุ่น เขามีผมยาวสีขาวและใบหน้าชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวกับองค์เทพ
เขามีรอยที่ดูชั่วร้ายระหว่างคิ้วดวงตาลึกล้ำนั้นไม่ต่างกับเนตรที่เขียนเอาไว้ในบันทึกโบราณ เขาดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ซือหยูยิ้ม
“เวลาผ่านไปแล้วตอนนี้คงจะถึงประตูแล้วสินะ หึหึ ช่วยข้ากันไอ้ผีนั่นหน่อยแล้วกัน”
ขณะที่พูดตาซ้ายของซือหยูได้กลายเป็นเนตรทะลวงมองผ่านทุกสิ่ง ตาขวาได้กลายเป็นเนตรพลังมิติ เขามองดูประตูศิลาที่อยู่ใต้พื้น
เวลาเดียวกันนั้นพลังมิติที่ตาขวาก็ได้แล่นผ่านประตูไปโอบล้อมเสวี่ยฉีและวงแสงโลหิตที่อยู่ข้างกายนาง ส่วนชายทั้งสองที่อยู่นอกประตูที่กำลังสับสนจากการหายตัวไปของซือหยูนั้นรู้สึกสับสนกับพลังมิติที่สัมผัสได้ใหม่ มันทำให้พวกเขาชักสีหน้า
DND.812 – ลวงฆ่าจ้าวเทวะ
เสวี่ยฉีที่อยู่ภายในนั้นถูกพันธนาการด้วยวัตถุทรงกลมสีโลหิตนางกำลังขัดขืนไม่ให้มันกลืนกินพลังของนางอย่างยากลำบาก จู่ๆนางก็สัมผัสถึงพลังมิติแข็งแกร่งที่มาโอบล้อมนาง นั่นทำให้นางตกใจมาก
พลังมิตินี้ไม่สนว่านางจะต้านทานหรือไม่มันยักย้ายนางออกไปทันที พลังภูติที่อยู่บนแท่นบูชาและร่างไร้วิญญาณสีดำที่นอนอยู่รับรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
โฮก!
เสียงคำรามที่มิใช่ของมนุษย์ดังก้องศพทมิฬยืนขึ้นตรง เนตรสีอำพันของมันเปล่งแสง มิติรอบข้างสั่นไหวเช่นเดียวกับประตูศิลา พลังอันแข็งแกร่งกระจายออกมาจากแท่นบูชา
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่อีกฟากของประตูรู้สึกราวกับเจอภูเขาไฟปะทุพวกเขารู้สึกอ่อนแอและไร้กำลังเมื่อเผชิญหน้ากับมัน แม้พวกเขาจะเป็นจ้าวเทวะชั้นต้น แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่มดปลวกต่อหน้าพลังนี้
“จ้าวเทวะชั้นกลาง!”
ชายผิวเข้มเบิกตากว้างเขาอุทานด้วยความตกใจ เขาไม่พูดสิ่งใดอีกและหันหลังรีบหนีไป
ส่วนชายหนุ่มกระบี่คู่ก็เริ่มหนีไปแล้วสีหน้าเขาหม่นหมองอย่างมาก
“ไอ้เด็กบัดซบนั่น!เราต้องกับดักของมัน!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ!
พวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะชั้นกลางไม่กล้าออมมือและใช้ทุกหนทางลับในการหนีออกมาทันทีพวกเขามาถึงที่นี่ในเวลาห้านาที แต่ในทางกลับ พวกเขาใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเท่านั้น!
ทั้งสองพุ่งเข้าสู่อุโมงค์อย่างดุดันเพราะคิดจะหนีไปจากถ้ำใต้ดินแต่หลังจากที่เข้าไปในอุโมงค์ทางออกก็พบว่ามันถูกขวางไว้โดยมุกสีครามอำพัน มันปิดทางออกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ใครเข้าออกได้!
“สารเลว!กล้าดียังไงวางอุบายนี้กับพวกข้า?”
ชายผิวเข้มวิตกกังวลเขาปล่อยหมัดเข้าใส่สิ่งที่ขวางทางออก
ปั้ง!
แต่เมื่อซัดเข้าไปเขาก็มิอาจผลักมันได้เลยเขากลับทำให้แขนตัวเองบาดเจ็บเท่านั้น เขาทนรับแรงกระแทกที่สะท้อนกลับมาด้วยความปวดร้าว
“หาทางออกจากพวกหินรอบๆนี่จะดีกว่าเราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนที่จ้าวเทวะชั้นกลางจะตามทัน มิงั้นไม่รอดแน่!”
ชายกระบี่คู่ขมวดคิ้วขณะที่พูด
ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารพวกเขาวางแผนจะฆ่าซือหยู แต่สุดท้ายกลับถูกปิดตายอยู่เบื้องล่างเพราะคนที่จะสังหาร!
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือพวกเขากำลังเจอกับจ้าวเทวะที่ไล่ตามมา!ภูติผีตนนั้นร้องคำรามด้วยความแค้น!
ชายกระบี่คู่ชักกระบี่ทั้งสองออกมาฟันก้อนหินรอบทางออกเขาทิ้งรอยลึกขนาดใหญ่เอาไว้ เขาเพียงแค่ต้องฟันอีกสิบครั้งเท่านั้นเพื่อที่จะเปิดทางออกไปได้
ชายผิวเข้มจึงไม่กล้าจะรอช้าหมัดของเขากลายเป็นสีม่วงช้ำ ฝ่ามือนั้นเป็นสีม่วงเข้ม มันไม่เหมือนกับหมัดของมนุษย์แม้แต่น้อย
“ย๊ากกก!เปิดเดี๋ยวนี้!”
ชายผิวเข้มตะโกนและซัดศิลาด้วยพลังมหาศาลมันถล่มลงมาเป็นส่วนมาก
เมื่อเป็นอย่างนี้หากเขาสองคนร่วมมือกัน พวกเขาก็จะสร้างช่องว่างใหญ่พอที่จะหนีไปได้ เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
“พี่เหวินไปต่อกันเถอะ!”
ชายผิวเข้มปล่อยหมัดไปอีกครั้ง
แต่พี่เหวินที่อยู่ด้านหลังกลับไม่จู่โจมเปิดทางอีกชายผิวเข้มหันไปมองด้านหลังและเห็นว่าพี่เหวินหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“พี่เหวิน!”
ชายผิวเข้มทำหน้าสยองเขารีบบินลงข้างล่าง
เมื่อเขาออกจาอุโมงค์กลับมาที่ถ้ำเขาก็เป็นชายคนหนึ่งที่หางตา
ชายผิวเข้มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาหันไปถาม
“พี่เหวินเกิดอะไรขึ้น? อ๊ะ! จะ…เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเขาหันกลับไปสิ่งที่เห็นก็มิใช่พี่เหวินแต่เป็นผีที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียด มันสวมผ้าคลุมสีดำ!
พลังภูติผีหนาแน่นปะทุออกมาจากผ้าคลุมสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมคือใบหน้าน่ากลัว! มันมีผิวสีเขียว ดวงตาเป็นหลุ่มลึกสีอำพันและมีเพลิงลุกไหม้อยู่ด้วย จมูกของมันเน่าเปื่อย ปากนั้นมีเขี้ยวแหลม!
มันจ้องมองชายผิวเข้ม
“ก็ดีมันช่วยจ้าวเทวะไปคนเดียว แต่มีอีกสองคนมาหาข้า ถือว่าคุ้ม”
ฟึ่บ!
จากนั้นมันก็หายไปความตกใจถาโถมชายผิวเข้ม ร่างกายของเขากลายเป็นสีม่วงเข้มที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีเงาภูติผีขนาดยักษ์ปรากฏที่ด้านหลังทันใดนั้น ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมได้อ้าออกและกัดคอของเขา!
“อ๊ากกกกกก!”
เสียงกรีดร้องดังไปทั่วถ้ำ
ชายผิวเข้มร่างเหี่ยวแห้งไม่ต่างกับต้นไม้เพียงสามวินาที สิ่งที่เหลืออยู่ของเขาก็มีเพียงผิวหนัง ส่วนเลือดเนื้อหรือกระทั่งกระดูกนั้นถูกกลืนกินไปจนหมด!
ภูติผีเลียริมฝีปากพลางหัวเราะ
“รสชาติไม่เลวแต่ข้ายังไม่อิ่ม”
มันหัวเราะอย่างน่าสยดสยองมันมองรอยแยกบนกำแพงและโบกมือ
ปั้ง!
ศิลาก้อนใหญ่แตกสลายไป
ฟึ่บ!
ชายคนหนึ่งรีบบินขึ้นไปเขาคือชายกระบี่คู่ที่จู่ๆก็หายไปเมื่อครู่ก่อน เขาสัมผัสถึงการมาของภูติผีได้จึงไปแอบอยู่เงียบๆ
เขาคิดว่าภูติผีไม่พบตัวเขาแต่สัมผัสของมันเฉียบคมกว่าที่เขาคิด เขาเพิ่งจะเห็นศิษย์น้องถูกดูดกลืนไปสดๆร้อนๆจนเหลือแค่กองหนัง! เขาขนลุกไปทั้งตัวงและรีบหนีไป
เขากัดฟันออกจากอุโมงค์เขามุ่งมั่นที่จะเสี่ยงทุกสิ่งที่มี ถ้ำใต้ดินถูกผนึกไว้แล้ว ถ้าเขาอยู่ข้างใน เขาก็จะไม่ต่างจากแกะที่ถูกพยัคฆ์จับขัง เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะหนี!
เขารีบพุ่งไปยังปลายอุโมงค์ขณะถือกระบี่ทั้งสองเล่มเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้เด็กบัดซบ!เปิดทางออกอุโมงค์เดี๋ยวนี้!”
ซือหยูกำลังยืนอยู่เหนือมุกบาดาลหมอกสีชมพูปรากฏขึ้นมาพร้อมกับซือหยูอีกคน
ซือหยูคนใหม่แสยะยิ้มให้ซือหยูก่อนที่ร่างจะสลายไปเหลือเพียงกิเลนน้อยสีชมพูที่ขนาดเท่ากับลูกสุนัข!
มันใช้พลังวิเศษแปลงกายเป็นซือหยูเพื่อล่อให้จ้าวเทวะสองคนไปที่ประตูศิลา!
จากนั้นมันก็กลายเป็นสภาพลวงและผ่านภูเขาทมิฬออกมาอย่างง่ายดายมันกลับมาที่ข้างกายซือหยู ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนสาปแช่งเบื้องล่างซือหยูแสยะยิ้ม
“ศิษย์พี่ที่นั่นไม่ดีหรอกรึ? มันงดงามมาก สภาพแวดล้อมก็สง่า ที่นั่นเจอสมบัติได้ง่ายๆ แม้แต่ข้ายังไม่โชคดีอย่างนั้นเลย!”
ชายกระบี่คู่ระเบิดเสียงด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยน!ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าไม่ปล่อย ข้าสาบานว่าจะตามล่าเจ้าไปถึงสุดขอบโลก!”
ซือหยูหัวเราะเยาะ
“ฮ่าๆๆๆ!เจ้าจะออกมาล่าข้าได้ก็ต่อเมื่อออกมาจากข้างล่างนั่นได้! ถ้าเจ้าอยู่ข้างล่างตลอดไปก็ไม่มีใครมาตามล่าข้าแล้ว!”
“ก็ได้ซือหยูเซี่ยน ถ้าเจ้าให้ข้าออกไป ข้าจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว”
ชายกระบี่คู่ขอร้องแววตาเต็มไปด้วยความชิงชัง เขาจะไม่ก่อเรื่องให้ซือหยูเพราะว่าเขาก็แค่สังหารซือหยูและชิงสมบัติกลับมา!
ซือหยูยักไหล่ตอบ
“ศิษย์พี่อยู่ข้างล่างอย่างสงบนั่นแหละดีแล้ว”
เมื่อชายกระบี่คู่กำลังจะระรัวสาปแช่งซือหยูความเยือกเย็นพร้อมกับกลิ่นเลือดก็โชยมาจากลำคอ เขาหน้าซีดเผือด แต่ไม่เหมือนกับชายผิวเข้ม เขาหันไปฟันกระบี่ขาวดำบั่นคอตัวเองทิ้ง!
เขาเลือกจะจบชีวิตตัวเอง!แต่ถึงร่างกายจะสลาย ร่างเงาโปร่งใสที่มิอาจมองได้ด้วยตาเปล่าก็ลอยออกมาจากร่างไร้หัว มันทะลวงผ่านทุกสิ่งกีดขวางผ่านทุกอย่างขึ้นมาอย่างง่ายดาย
การปล่อยวิญญาณออกจากร่างนั้นเป็นหนึ่งในความสามารถของจ้าวเทวะตอนนี้เขาเป็นเพียงวิญญาณที่หนีออกมา
แต่เมื่อร่างกายไม่มีอยู่แล้วเส้นทางการบ่มเพาะพลังของเขาย่อมสูญเปล่า ดังนั้นเขาจะต้องหาร่างใหม่และเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
ความแค้นกับซือหยูครั้งนี้นับว่าหนักหนาลึกซึ้งมันมิอาจอภัยให้ได้ เขาจ้องมองซือหยูด้วยความแค้น
“ซือหยูเซี่ยนเจ้ารอก่อนเถอะ!”
แต่ซือหยูกลับตอบเขาอย่างไม่คาดคิดชายกระบี่คู่ตกใจมาก
“อย่างนั้นรึ?”
ซือหยูหันไปแสร้งยิ้มเมื่อมองร่างวิญญาณตรงหน้า
ชายกระบี่คู่ใบหน้าเศร้าหมอง
“เจ้ามองเห็นข้าเรอะ?”
ซือหยูยิ้ม
“มิเพียงแค่เห็นข้ายังส่งเจ้าไปที่อื่นได้ด้วย!”
เมื่อพูดวายุมิติก็ปรากฏที่ดวงตาของซือหยู มันปล่อยพลังที่มิอาจต่อต้านได้ออกมา
วิญญาณของชายกระบี่คู่ถูกดูดกลืนเข้าไปเขาถูกส่งไปยังมิติวิญญาณนรกชั้นสิบแปดของซือหยู
ชายกระบี่คู่มองความมืดมิดไร้ขอบเขตที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเขาตื่นตระหนก
“ที่นี่ที่ไหน?”
ร่างวิญญาณร้อนรน
ในตอนนั้นเองเสียงแก่เฒ่าดังมาจากความมืด
“ฮ่าๆๆๆเจ้าเด็กนั่นรักษาสัญญา หาวิญญาณของจ้าวเทวะให้ข้าได้เร็วยิ่งนัก!”
ในตอนนั้นหยดโลหิตปรากฏขึ้นมาจากความว่าวเปล่า
ร่างวิญญาณของชายกระบี่คู่ตกใจสุดขีด
“เจ้าเป็นใคร?”
หยดโลหิตตอบอย่างดีใจ
“เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใครรู้เพียงว่าข้าต้องการใช้เจ้าก็พอแล้ว”
หลังหยดโลหิตพูดจบมันไม่เหลือเวลาให้วิญญาณชายกระบี่คู่ได้หนี มันพุ่งเข้าใส่หน้าผากและดูดกลืนวิญญาณของเขาจนหมด!
หยดโลหิตกลายเป็นก้อนกลมขึ้นมันดูมีกำลังมากกว่าเดิม ในตอนนั้นเอง เสียงของซือหยูดังมาจากความมืดมิด
“ข้าทำตามคำพูดแล้วนะ”
ตอนที่เขาต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตในโลกเฉินหลงเขาได้บังคับให้หยดโลหิตมอบพลังของเทพปีศาจให้กับเขา เขาใช้มันดูดซับพลังของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาใช้เอง เงื่อนไขก็คือเขาจะต้องมอบวิญญาณจ้าวเทวะให้กับหยดโลหิต และตอนนี้เขาก็ทำตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าหนูเจ้าสนใจจะทำข้อตกลงกับข้าอีกไหม?”
หยดโลหิตหัวเราะ
ซือหยูขมวดคิ้วและถาม
“ตกลงอะไรของเจ้า?ข้ายังไม่ต้องการใช้พลังนั่น ยังเร็วไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้”
หยดโลหิตหัวเราะ
“อย่าจริงจังนักสิมาพูดเรื่องชีวิตในอนาคตจะดีกว่า มาคุยเรื่องนั้นกันไม่ดีกว่าเรอะ?”
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยว
“มีเรื่องเกิดขึ้นข้างนอกข้าไม่มีเวลาจะมาเสียกับเจ้า ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”
“เจ้านี่มันเป็นเด็กน่าเบื่อเสียจริง…”
หยดโลหิตกล่าว
“ข้อตกลงที่ข้าอยากจะต่อรองก็คือวิชาลับของข้าวิชากายามังกรเทพปีศาจ เจ้าไม่สนใจมันหรือ?”
ซือหยูตอบโดยไม่คิด
“ข้าเรียนภาษามังกรมามากแล้วต่อให้เจ้าไม่ช่วย ข้าก็แปลมันได้”
“หึหึปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกรที่ข้าเสี่ยงชีวิตได้มา สิ่งที่มิอาจมีแม้เจ้าจะแปลได้ล่ะ? เจ้าอาจจะคุ้นเคยกับกายามังกรแล้วใช่หรือไม่? เจ้าจะว่าอย่างไร?”
หยดโลหิตถามอย่างเจ้าเล่ห์
ซือหยูตอบหลังจากครุ่นคิด
“กายามังกรแข็งแกร่งก็จริงแต่ไม่แข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดว่ามันควรจะเป็น”
ในทีแรกกายามังกรนั้นเพิ่มพลังกายของเขาจากกึ่งภูติมาเป็นภูติ การปรับพลังขึ้นมาเช่นนี้นับว่าแปลกประหลาด
แต่ในตอนนี้ผลของมันค่อนข้างธรรมดา มันเพิ่มพลังได้เพียงระดับเดียว มันค่อนข้างไม่มีประโยชน์และไม่สมชื่อกายามังกรเลย  หยดโลหิตหัวเราะเมื่ออ่านหน้าซือหยู
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วกายามังกรแบ่งเป็นหลายระดับ กายามังกรปราณแรกของเจ้าก็ต้องประโยชน์น้อยเช่นนั้น”
ซือหยูตกใจและถาม
“กายามังกรปราณแรกหรือ?มันไม่ได้เขียนอยู่ในวิชากายามังกรเทพปีศาจ…”
“ไอ้หนูเจ้าคิดว่ามังกรเป็นพวกโง่เรอะ? คิดว่าพวกมันจะเขียนทุกอย่างลงตำราให้เจ้าอ่านเรอะ? รายละเอียดสำคัญมากมายนักต้องสืบทอดจากมังกรรุ่นสู่รุ่น พวกมันไม่เขียนหรือบันทึกไว้กับที่ใด เจ้าจะไปรู้ได้ยังไง?”
หยดโลหิตพูดอย่างภูมิใจ
ซือหยูตาเป็นประกายเล็กน้อย
“แสดงว่าเจ้ารู้สินะ?”
หยดโลหิตตอบด้วยคำถาม
“ยังต้องถามข้าอีกเรอะ?เมื่อก่อน ข้าทำลายโลกตั้งหลายใบ สวรรค์ดับไปหลายแห่ง จะเทพหรือเซียนก็ฆ่าตายหมด แล้วเผ่ามังกรกระจอกจะเป็นอะไรสำหรับข้ากัน? เจ้าคิดรึว่าพวกมันจะกล้าเก็บความลับจากข้า?”
ซือหยูยังคงสงสัย
“ข้าจะเชื่อเจ้าตอนนี้แต่…สิ่งที่ข้าจะได้กับสิ่งที่เจ้าต้องการ…คืออะไร?”
หยดโลหิตยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าขอแค่วิญญาณจ้าวเทวะเดือนละดวงข้าจะหาทางช่วยเจ้าปรับร่างกายขึ้นใหม่ แต่เจ้าต้องมีสายใยแก่นแท้มังกรที่มากพอ ข้าจะปรับร่างเจ้าให้เป็นกายามังกรขั้นห้า ร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงระดับจ้าวเทวะ”
ร่างกายขอบเขตจ้าวเทวะรึ?ซือหยูตื่นเต้นอย่างมาก จ้าวเทวะนั้นแข็งแกร่ง พลังมิอาจหยั่งถึง แม้ซือหยูตอนนี้จะมีสมบัติมากมาย เขาก็ไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับจ้าวเทวะ!
ถ้าเขาคิดไม่ผิดเขาสามารถโดนจ้าวเทวะสังหารได้ก่อนที่จะปล่อยวิชาเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาฝึกฝนร่างกายให้อยู่ในขอบเขตจ้าวเทวะได้ เขาก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
“ก็ได้ข้าตกลง!”
ซือหยูยอมรับ
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาสายใยมังกรให้มากพอ ส่วนวิธีที่จะหานั้น…เขามีแผนแล้ว!
วิญญาณของเขากลับสู่ร่างดวงตาเบิกโพลง เขาแตะพื้นด้วยปลายเท้าและบินขึ้นฟ้า จากนั้นจึงเรียกมุกบาดาลกลับ
เขาบินไปยังตำหนักแต่ก่อนที่เขาจะได้เริ่มบิน เงาทมิฬก็ปรากฏด้านหลังเขาอย่างกับผี
เงาทมิฬซัดหลังของเขาและหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าสินะที่ขโมยอาหารของข้าไป!”
พอมันพูดจบมันก็อ้าปากและกำลังจะกัดคอซือหยู…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+