The Divine Nine Dragon Cauldron 827-828

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 827-828 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.827 – ชุมนุมล้างผลาญ
“เสวี่ยเหลียนบอกพวกเราเถอะว่าอัจฉริยะคนนั้นคือใคร เราต้องชิงตัวเขามาที่สำนักซ้ายให้ได้!”
เว่ยเจิงสีหน้าหนักแน่น
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มมุมปากและตอบ
“เขาก็คือซือหยูเซี่ยนที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าสำนักซ้ายยังไงล่ะเว่ยเจิง ถ้าเจ้าไม่ชอบเขา มันก็น่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู่กับเจี๋ยนอู๋เชิงที่ระดับพลังเดียวกันได้ใช่ไหม? มันต้องเป็นข่าวลือแน่นอน…หึหึ…”
เว่ยเจิงตัวแข็งเป็นหินในทันที…มันเป็นไปได้ยังไง?
“ข้าไม่เชื่อ!”
หลังกลับมาได้สติสีหน้าเว่ยเจิงเปลี่ยนไป เขาส่ายหน้า
“ข้าตัดสินผู้คนได้แม่นยำข้าต้องไม่พลาดแน่ คนคนนั้นมีพรสวรรค์ตัดขัด ข่าวเรื่องที่เขาต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงต้องได้รับการยืนยัน”
“หึหึเดี๋ยวเจ้าก็รู้ในวันทดสอบประจำฤดูมิใช่รึ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งอารมณ์ดีนางจิบชาอย่างเป็นสุข
เสวี่ยฉีไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
“ไม่ต้องพูดแล้ว!ข้าจะไปหาเขาตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เราจะต้องไม่ปล่อยให้สำนักขวามาลูบคมได้”
เล่าอ๋ายกับเฉาฉิงเฟิงได้ข่าวเดียวกันทั้งคู่ตกตะลึง
“เขาน่ะรึ?เป็นไปไม่ได้!”
เฉาฉิงเฟิงส่ายหัวเขาไม่คิดจะเชื่อข่าวลือนี้
เล่าอ๋ายครุ่นคิดอย่างหนัก
“มีโอกาสเป็นเรื่องจริงมีหลายคนพบเห็น ไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวโคมลอย”
“ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ว่ามันมีพลังขนาดนี้ข้าก็คงจะเร่งรัดเรื่องหวูชิงมากขึ้น แต่ตอนนี้ข้าหยุดอะไรไม่ได้แล้ว”
เล่าอ๋ายโศกเศร้า
แต่ทั้งคู่นั้นเป็นดั่งไฟกับน้ำแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะเข้าร่วมสำนักขวา หากเจ้าตำหนักขวาได้ยินว่าเขาพลาดยอดอัจฉริยะเพราะเรื่องบาดหมางส่วนตัว พวกเขาก็คงจะถูกลงโทษสถานหนัก! เขาทั้งหวาดกลัวและกระวนกระวายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“จะชักช้าไม่ได้!ถ้าเรื่องพลังของมันถูกยืนยัน มันจะถูกเจ้าตำหนักซ้ายรับเข้าไป พอถึงตอนนั้นเจ้าตำหนักขวาต้องโกรธแน่! เราต้องไม่ปล่อยให้มันเข้าสำนักซ้าย!”
เล่าอ๋ายพูดอย่างร้อนรน
เฉาฉิงเฟิงพูดอย่างลึกล้ำ
“เราจะทำยังไง?”
ความป่าเถื่อนปรากฏในแววตาเล่าอ๋าย
“ต้องทำร้ายมันให้เจ็บสาหัสหรือฆ่ามันก่อนการทดสอบมีวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มันเข้าร่วมการทดสอบไม่ได้”
หลายคนยังคงไม่เชื่อว่าซือหยูมีพลังพอที่จะต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงพวกเขาจึงต้องตั้งตารอการทดสอบที่กำลังจะมาถึง นี่เป็นเหตุที่พวกเขาต้องปิดปากซือหยูก่อนการทดสอบเพื่อป้องกันไม่ให้เขาขึ้นลานประลองและถูกผู้คนประเมิน
แม้พวกเขาจะถูกตั้งคำถามกับเรื่องนี้แต่ถ้าเป็นการกำจัดอันตราย มันก็คุ้มค่า
“แต่ตำหนักหวงห้ามการสังหารเราจะทำได้ยังไง?”
เฉาฉิงเฟิงถามด้วยความสงสัย
เล่าอ๋ายหัวเราะเบาๆอย่างเย็นชา
“เจ้าต้องให้ข้าบอกอีกรึ?เจ้าไม่ได้วางกับดักนายน้อยเสเพลนั่นแล้วหรือยังไง? นี่แหละเวลาที่จะใช้งานมัน”
เฉาฉิงเฟิงเข้าใจทุกอย่างในทันทีเรายิ้มเยาะที่มุมปากและหัวเราะ
“หึหึข้าเกือบลืมไอ้ขยะนั่นไปเลย…”
ณตำหนักใน
“ท่านเจ้าตำหนักโปรดให้ข้าออกไปเถอะ ข้าอยากจะประลองกับคนคนหนึ่ง”
สตรีผอมงดงามผู้มีเรือนร่างสง่าคุกเข่าเงียบๆหน้าประตูศิลา
มียอดฝีมือสูงสุดผู้หนึ่งที่สามารถสั่นคลอนดินแดนพรสวรรค์ได้อยู่หลังประตูนี้ นางคือม่อเทียนฉวน
“ศิษย์นอกที่สู้กับแม่เจ้าน่ะรึ?”
เสียงนั้นส่งผ่านมาจากประตู
“ไม่จำเป็นหรอกตอนนี้เจ้ากลับไปก่อน”
สตรีหน้าประตูลังเลก่อนจะกลับไปอย่างไม่เต็มใจขณะสตรีที่อยู่อีกฟากของประตูนั้นกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบๆ
ชั้นพลังภูติผีสีดำปรากฏบนฝ่ามือนางซือหยูจะจำได้ทันทีหากเขาอยู่ที่นี่ เพราะมันคือพลังที่ชั่วร้ายอย่างมากที่เขาชะล้างออกไป
“ไอ้แก่นั่นหายไปไหนกัน?แล้ว…ใครกันที่ได้กงจักรข้าไป?”
ม่อเทียนฉวนถอนหายใจเบาๆ
นางคือสตรีแต่งบุรุษที่เคยถูกซือหยูช่วยชีวิตนางคือผู้ปกครองแห่งตำหนักโลหิต ม่อเทียนฉวน
นางยังไม่ประกาศว่านางเสียสมบัติภูติวิถีอสูรไปนางกลับส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆโดยหวังว่าพวกเขาจะหาเจอและคืนนางมาโดยเร็ว
นางยังบอกให้คนเดียวกันทำภารกิจสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือตามหาชายแก่คนนั้น เพราะปัญหาเก่าของนางจะถูกแก้ไข่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา
ซือหยูไม่รู้เรื่องนี้เลยเขากลับไปยังเขาอสูรช้าๆ เขาตั้งใจจะบ่มเพาะพลังที่นั่นสักระยะก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบประจำฤดู
แต่ทันทีที่เขานั่งลงเขาก็สัมผัสถึงพลังกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากนอกบ้าน! ซือหยูตกใจมาก สายฟ้าเข้าล้อมรอบกาย เขาย้ายตัวเองไปไกลร้อยศอก ปรากฏตัวเหนือเรือนตัวเอง
เมื่อก้มลงมองก็พบปิงหวูชิงนางถือกระบี่วิ่งไปยังเรือนกลาง นางฟันเรือนกลางเป็นเสี่ยงๆด้วยกระบี่ ตอนนี้เรือนของซือหยูกลายเป็นซากแล้ว
ซือหยูโกรธเมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ?”
ปิงหวูชิงหันไปชี้กระบี่หาซือหยู
“ซือหยูเซี่ยนข้าขอท้าเจ้าต่อสู้!”
ซือหยูค่อนข้างจะสับสน
“เจ้าไม่สบายเรอะ?ทำไมจู่ๆถึงอยากจะมาประลองกับข้า?”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงข้าเลยอยากจะประลองกับเจ้า ไม่ต้องห่วง ข้าจะกดฐานพลังให้เทียบเท่าเจ้า”
ปิงหวูชิงอยากให้การต่อสู้นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว
เจี๋ยนอู๋เชิงอีกแล้วรึ?เขาแค่ลองวิชาใหม่ ใครจะไปคิดว่าปัญหาจะมาถึงตัวเขาเร็วเช่นนี้!
“หืม…คู่รักกำลังทะเลาะกันนี่นาข้าต้องรีบยกเก้าอี้มานั่งดูแล้ว”
กงซุนหวูซื่อผู้ปรารถนาให้โลกลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลานั้นหัวเราะเบาๆเมื่อลากเก้าอี้มานั่งมอง
นางใช้สองมือเท้าคางและดูทั้งสองอย่างตื่นเต้นความวุ่นวายทำให้ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยาสัมผัสได้ ทั้งสองก็เข้ามาดูเช่นกัน
“นี่พวกเจ้าต่อสู้ข้างนอกกันจะดีกว่า ถ้าพวกเจ้าทำลายเรือนหมด พวกเราต้องไปนอนข้างถนนนะ!”
ไป่ชานเหลียงบอกให้ทั้งสองคิดถึงเรื่องที่พักอาศัย
เทียนเหรินเหยามองปิงหวูชิงด้วยความโกรธ
“น้องหยูเซี่ยนอย่าไปกลัวนาง ข้าจะช่วยเจ้าเอง! มาเอาชนะนางด้วยกันเถอะ! ไม่มีอะไรทนความรักของเราได้หรอก!”
พวกนี้เป็นกลุ่มคนพิสดารโดยแท้จริง!เส้นเลือดปูดโปนที่หน้าผากของซือหยูเมื่อมองปิงหวูชิงอย่างรำคาญใจ
“มิใช่ว่าการทดสอบประจำฤดูกำลังจะเริ่มรึ?เจ้ารอสักหน่อยไม่ได้รึไง? ข้าเพิ่งจะต่อสู้มา ถ้าเจ้าอยากจะเอาเปรียบข้าก็เข้ามาเลย”
“ข้าต้องการการต่อสู้ที่ยุติธรรมข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้ยังไง?”
ปิงหวูชิงเก็บกระบี่ลงฝัก
“ก็ดีบาดแผลของข้าฟื้นคืนเกือบเต็มที่แล้ว ในการต่อสู้วันทดสอบ ข้าจะเอาคืนฝ่ามือที่เจ้าลอบกัดข้าวันนั้น!”
ซือหยูหน้าแดงก่ำนางกัดไม่ปล่อยจริงๆ!
“อ๊าา!น่าเบื่อซะจริง”
กงซุนหวูซื่อทำหน้ามุ่ย
ซือหยูมองเรือนของตัวเองที่กลายเป็นซากเขากลายเป็นคนไร้บ้านในค่ำคืนนี้
“ศิษย์น้องใยคืนนี้ไม่มาอยู่กับข้าล่ะ?”
ไป่ชานเหลียงถามเมื่อเห็นปัญหาของซือหยู
ซือหยูย่อมไม่ปฏิเสธข้อเสนอมีน้ำใจแต่เมื่อกำลังจะตอบตกลง เทียนเหรินเหยาก็พูดอย่างโศกเศร้า
“พี่ชานเหลียงนิสัยไม่ดีอีกแล้วอยากจะให้น้องซือหยูลองพิษสินะ?”
ซือหยูตกใจเขามองไป่ชานเหลียง
“เหลวไหล!ข้าจะปล่อยให้ศิษย์น้องที่รักลองยาพิษได้ยังไง? อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ เจ้าจะทำให้ชื่อของข้าดูไม่ดี…”
ไป่ชานเหลียงตะโกนราวกับผู้มีคุณธรรม
แต่ทันใดนั้นก็มีขวดสีต่างๆตกลงมามากมายจากแขนเสื้อเมื่อเขาโบกมือมันกลิ้งไปมาบนพื้น
เมื่อซือหยูมองก็พบว่าแต่ละขวดมีฉลากเขียนเอาไว้…
“ผงห้าพิษสะบั้นไส้”
“ยาพิษเมาตาย”
“น้ำพิษตายเก้าชีวิต”

เส้นเลือดบนหน้าผากซือหยูปูดโปนขึ้นมาอีกครั้งไป่ชานเหลียงอับอายมาก เขารีบเก็บขวดยาพิษและอาเจียนโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก!
เขารีบเอามือทาบอก
“แย่แล้ว!ข้าต้องรีบกลับไปพัก!”
หลังจากเขาออกไปเทียนเหรินเหยาก็ถามอย่างเจ้าชู้
“น้องหยูเซี่ยนมานอนกับข้าคืนนี้สิ!”
ซือหยูสั่นไปทั้งตัว
“ไสหัวไป”
ความคิดอยากจะต่อสู้ในแววตาปิงหวูชิงระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ซือหยูเซี่ยนทำไมไม่มาที่เรือนข้าล่ะ?”
ซือหยูปวดหัวเมื่อมองแววตานางมันน่าพอใจที่สาวงดงามชวนเข้าเรือน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงดึงดูดใจนัก
ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะอันไพเราะเบาๆดังขึ้น
“ฮ่าๆๆ…พี่หยูเซี่ยนไม่มาเรือนข้ารึ? ข้าทั้งว่านอนทั้งสอนง่าย…”
ว่านอนสอนง่ายเรอะ?ซือหยูจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของอสูรน้อยได้ยังไง? แต่ดูเหมือนว่านางจะอันตรายน้อยกว่าอสูรคนอื่นๆ
“ก็ได้คืนนี้ข้าขอรบกวนเจ้า ศิษย์พี่หวูซื่อ”
ซือหยูกล่าว
อสูรน้อยหัวเราะซือหยูไม่รู้ว่านางวางแผนชั่วอะไรอยู่ ขณะนั้นเอง เสวี่ยฉีก็ได้มาถึง นางค่อนข้างตกใจเมื่อมองเขาอสูร
นางถาม
“พวกเจ้าเริ่มชุมนุมอสูรกันรึ?”
“ชุมนุมล้างผลาญล่ะสิไม่ว่า…”
ซือหยูชี้เรือนตัวเองที่กลายเป็นซากไม้
“ศิษย์พี่เสวี่ยฉีมาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ?”
ซือหยูถามเข้าประเด็น
เสวี่ยฉีหัวเราะอย่างอ่อนหวานและทำใบหน้ายั่วยวน
“ศิษย์น้องข้ามาหาเจ้าเฉยๆไม่ได้หรืออย่างไร?”
หลังจากแหย่เขาจบนางก็ทำใบหน้าจริงจัง
“ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าในวันนั้นข้าขอบคุณเจ้ามากจริงๆ โปรดให้ข้าได้จ่ายหนึ่งหมื่นคะแนนเพื่อล้างหนี้ที่เจ้าติดกับนักเลงหลงเถอะ”
ซือหยูไม่ลืมเรื่องนี้แต่เขาก็โบกมือปฏิเสธ
“ข้าไม่ยอมให้ใครอื่นจ่ายหนี้ของข้าแต่ข้ายินดีกับความหวังดีจากเจ้า ส่วนเรื่องการช่วยเจ้านั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลไปนัก”
เสวี่ยฉีมองซือหยูนางยืนยันได้แล้วจริงๆว่าเขามีนิสัยดี
“ศิษย์พี่มีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่?”
ซือหยูถาม
เมื่อเสวี่ยฉีจะตอบนางก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าแค่อยากจะยืนยันเรื่องหนึ่งข้าได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิง มันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”
“จริง”
ซือหยูตอบ
เสวี่ยฉีเบิกตากว้าง
“เป็นเรื่องจริงสินะ…”
หลังจากที่นางคิดนางก็พูด
“ศิษย์น้องเจ้าคิดจะ…”
ฟึ่บ!
ก่อนที่นางจะพูดจบมีหนึ่งคนรีบพุ่งมายังเขาอสูรและหยุดอยู่หน้าทางเข้า เขามองรอบๆและก็ทำหน้าดีใจเมื่อเห็นซือหยู
“น้องซือได้โปรดช่วยชางก่วนหยุนซื่อด้วย เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้”
“ชางก่วนหยุนซื่อรึ?เกิดอะไรขึ้น?”
ซือหยูถามคนที่เพิ่งมา
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นชางก่วนเฟยยอดฝีมือจากตระกูลชางก่วนที่ซือหยูเคยช่วยชีวิตในป่าขังภูติ ในตอนนี้มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเขา มีรอยฝ่ามือแดงทิ้งไว้บนใบหน้า เสื้อผ้าของเขาเลอะฝุ่นเต็มไปหมด เขาเพิ่งจะถูกทำร้ายมา
“พี่หยุนซื่อถูกเฉาฉิงเฟิงจับตัวไปเขาอยากจะทำลายจุดกำเนิดพลังของพี่หยุนซื่อ”
ชางก่วนเฟยรีบพูดอย่างกังวลใจ
ซือหยูตกใจเมื่อได้ฟัง
“เฉาฉินเฟิงรึ?มันกล้าจับคนในตำหนักแล้วยังจะทำลายฐานพลังอีกหรือ?”
กฎของตำหนักเด็ดขาดและเข้มงวดนอกจากฝ่ายคุมกฎก็ไม่มีใครกล้าลงโทษคนอื่นด้วยตัวเอง!
“เป็นเฉาฉิงเฟิงนั่นแหละ!เดือนก่อน พี่หยุนซื่อเป็นคนค้ำประกันให้สหายสามคนที่ยืมหนึ่งหมื่นคะแนนจากตลาดมืดด้วยดอกเบี้ยมหาศาล ใครจะไม่คิดว่าสามคนนั้นจะคิดชั่วหนีไปหลังจากยืมหนึ่งแสนคะแนน? นี่เป็นเวลาใช้หนี้ของพวกมัน แต่พวกมันหนีไปแล้ว! ตอนนี้พี่หยุนซื่อต้องจ่ายทุกอย่างชดใช้ให้มัน!”
“ถ้าพี่หยุนซื่อจ่ายคืนไม่ได้เขาจะถูกทำลายฐานพลังตามข้อตกลงของปฏิญาณสัตย์ดวงใจ!”
คำประกันงั้นรึ?ซือหยูนึกขึ้นได้ว่าชางก่วนหยุนซื่อเป็นคนค้ำประกันหนี้ให้สหายทั้งสาม ในตอนนั้น ซือหยูถึงกับเตือนเขาในเรื่องการเชื่อใจเพื่อนดื่มกินง่ายๆ แต่ชางก่วนหยุนซื่อก็ปฏิเสธเพื่อนรักษาหน้า ตอนนี้เขาเลยตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้!
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่หยุนซื่อร่ำรวยอยู่แล้ว เขาน่าจะจ่ายหนึ่งแสนคะแนนได้มิใช่รึ?”
ซือหยูถามอย่างไม่สนใจนัก
ชางก่วนเฟยยิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้าแค่แสนคะแนนมันก็ง่ายแต่หนึ่งเดือนผ่านไป ดอกเบี้ยสะสมทวีจนกลายเป็นห้าแสนคะแนนแล้ว!”
ซือหยูสีหน้าหม่นหมองการออกดอกเบี้ยสูงขนาดนี้เป็นการกู้ยืมที่น่าสยดสยอง เมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้คืน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมักจะสูงกว่าเงินที่หยิบยืมไป!
“เขาโง่ขนาดนั้นได้ยังไง?”
ซือหยูส่ายหน้าเพราะชางก่วนหยุนซื่อเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ เขาไม่ควรจะดูถูกพวกตลาดมืด
ชางก่วนเฟยกังวลจนแทบร้องไห้
“น้องซือได้โปรดช่วยพี่หยุนซื่อด้วยเถอะ ข้าส่งคนไปบอกพี่ชิงเอ๋อแล้ว แต่นางต้องใช้เวลาหนึ่งวันกว่าจะเดินทางมาถึง พอถึงตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว มีแค่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยพี่หยุนซื่อได้”
ชางก่วนหยุนซื่อเป็นคนมีคุณธรรมเขามักจะใจดีกับซือหยูเสมอ ซือหยูย่อมไม่ทอดทิ้งเขาในยามยาก ยิ่งไปกว่านั้นสัญชาตญาณยังบอกเขาว่าชางก่วนหยุนซื่อกำลังตกเป็นเหยื่อของแผนการใครบางคน
สหายกินสามคนนั้นจะต้องถูกเฉาฉิงเฟิงจ้างมาตีสนิทกับชางก่วนหยุนซื่อเพื่อที่สุดท้ายเฉาฉิงเฟิงจะบงการเขาได้เฉาฉิงเฟิงผู้นี้ไม่เคยเลิกรา!
แววตาซือหยูเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง
“ชางก่วนเฟยใครบอกให้เจ้ามาหาข้า?”
ชางก่วนเฟยรีบตอบ
“ข้าได้ยินคนพูดว่าเจ้าได้คะแนนมหาศาลมาจากเขาวิญญาณจรัสพวกเขาพูดว่าเจ้าจะแบ่งให้พี่หยุนซื่อยืมได้บ้าง”
ซือหยูติ้วกระตุกเขายิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก
“บังเอิญเหลือเกินแต่ก็ต้องเป็นมัน เฉาฉิงเฟิงอยากจะจัดการข้ามาตลอด!”
ซือหยูถอนหายใจแรง
เพราะมีแค่คนในเขาวิญญาณจรัสวันนั้นเท่านั้นที่รู้เรื่องที่เขามีคะแนนเป็นจำนวนมากข่าวเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่…คนธรรมดาๆกลับมาบอกชางก่วนเฟยให้มาหาเขาเพื่อช่วย เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเฉาฉิงเฟิงก็คือการล่อซือหยูให้ออกมา!
“หึหึ…เจ้าเล็งข้าอยู่สินะ?”
งูพิษตัวนี้แผลงศรอันเยือกเย็นใส่เขาหลายครั้งนี่เป็นเวลาที่เขาจะจบปัญหาทั้งหมดแล้ว!
“พวกมันอยู่ไหน?แล้ว…ที่นั่นมีใครอยู่บ้าง?”
ซือหยูถาม
ชางก่วนเฟยยินดีที่จะตอบอยู่แล้ว
“มีเฉาฉิงเฟิงกับพวกคนตลาดมืดมีศิษย์ในที่คอยสนับสนุนพวกมันด้วย”
เขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครคือศิษย์ในคนนั้นนั่นต้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่นิยมชมชอบการลอบโจมตีผู้คนอย่างเล่าอ๋าย!
แววตาซือหยูเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
“ย่อมได้!ไปหาพวกมันกันเถอะ”
DND.828 – แกะรอยถึงต้นตอ
“ช้าก่อน!”
เสวี่ยฉีตาเป็นประกายนางรีบตามซือหยูไป
เมื่อวิ่งตามทันเขานางก็พูด
“คนสำนักขวาเอาแต่ชูคอเหนือตำหนักนอกถึงเวลาแล้วที่พวกมันจะรู้ว่าตำหนักนอกมิใช่ของเจ้าตำหนักขวาเพียงผู้เดียว”
นางพูดต่อ
“ข้าจะไปบอกนักเลงหลงกับคนอื่นๆเราต้องรวบรวมคนตลาดมืดของเราทั้งหมด!”
ซือหยูรู้ว่านางแสดงน้ำใจต่อเขาก็เพื่อหวังว่าเขาจะเข้าร่วมกับสำนักซ้ายในสักวันหนึ่ง
ตอนนี้เขามีศัตรูมากมายและสหายน้อยนิดเขาย่อมไม่ปฏิเสธน้ำใจของนาง
“เจ้าไปเรียกกำลังเสริมกับเสวี่ยฉีข้าจะไปจัดการเรื่องอื่นก่อน”
ซือหยูพูดกับชางก่วนเฟย
เสวี่ยฉีกระทืบเท้าพลางพยักหน้ากับชางก่วนเฟย
“ไปกันเถอะ”
ชางก่วนเฟยดีใจมากเขายังตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าเสวี่ยฉีเป็นศิษย์ในที่รับผิดชอบตลาดมืดของตำหนักนอก ว่ากันว่านางมีสถานะสูงส่งอย่างมากในสำนักซ้าย
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเลยว่าซือหยูจะมีเส้นสายกับสตรีเช่นนี้ได้เพราะเขาเพิ่งจะเข้าสำนักมาไม่ถึงสองเดือนยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยฉียังปฏิบัติต่อซือหยูอย่างสุภาพ นั่นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขาตอนนี้กับในอดีตที่เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้ที่ใช้ตระกูลชางก่วนเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการสอบเข้าตำหนักโลหิต
“ศิษย์พี่เสวี่ยฉีขอบคุณมากที่ช่วยพวกเรา”
ชางก่วนเฟยขอบคุณนางขณะที่ตามนางไปหากำลังเสริม
ซือหยูออกจากเขาอสูรนเช่นกันแต่เขาไม่ได้ไปช่วยชางก่วนหยุนซื่อในทันที ดวงตากลับเปล่งแสงสีเงิน เขาบินสูงเหนือตำหนักและมองจนทั่ว
เขารู้ว่าหากผลีผลามเขาจะช่วยชางก่วนหยุนซื่อไม่ได้ นั่นก็เพราะศัตรูมีปฏิญาณสัตย์ดวงใจที่ชางก่วนหยุนซื่อลงนามเอาไว้ ถ้าเขาไม่จ่ายห้าแสนคะแนน จุดกำเนิดพลังของชางก่วนหยุนซื่อก็จะถูกทำลายตามคำสาบาน!
แม้แต่จ้าวตำหนักทั้งสามของตำหนักนอกก็มิอาจต่อต้านกฎระเบียบของตลาดมืดได้ดังนั้น ใครที่เป็นคนเริ่ม ผู้นั้นก็ย่อมต้องเป็นคนจบ หากสามคนที่ยืมคะแนนหนีไป ซือหยูก็ต้องตามหาให้เจอและบังคับให้ทั้งสามชดใช้หนี้ ชางก่วนหยุนซื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายอะไร ปัญหาจึงคลี่คลาย
ขณะที่คิดเช่นนี้เขาใช้เนตรวิญญาณมองทั่วตำหนักนอก ไม่มีแม้แต่สิ่งปลูกสร้างเดียวที่ขัดขวางสายตาได้
เขาต้องหาสามคนนั้นให้เจอโดยเร็วเพราะมีโอกาสสูงมากที่เฉาฉิงเฟิงจะส่งทั้งสามคนมาเพื่อทำมิดีมิร้ายกับชางก่วนหยุนซื่อ ซือหยูไม่รู้ว่าเรือนของเฉาฉิงเฟิงอยู่ที่ใด เขาจึงใช่เนตรวิญญาณมองดูทั้งตำหนัก
หนึ่งชั่วยามผ่านไปเขายังไม่เห็นเบาะแสใด เขาสงสัย…พวกเขาตายแล้วรึ? หรือว่า…สามคนนั้นออกจากตำหนักไปแล้ว?
เขาคิดถึงความเป็นไปได้พร้อมใจหายแต่หลังจากที่คิดให้ดี เขาก็คิดว่าความคิดเหล่านั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง
เพราะแม้ชางก่วนหยุนซื่อจะประมาทจนลงเอยด้วยการโดนสามคนนั้นหลอกเขาก็ไม่ใช่คนโง่! เขาจะต้องไม่มองข้ามหากทั้งสามออกจากตำหนักไป
ซือหยูจึงสรุปว่าทั้งสามคนยังอยู่ในตำหนักดังนั้น ตราบเท่าที่ทั้งสามยังไม่ถูกสังหาร พวกเขาก็ต้องซ่อนตัวอยู่! และดูเหมือนว่าพวกเขาจะซ่อนตัวในตำแหน่งที่เนตรวิญญาณมิอาจมองได้!
มีเพียงไม่กี่แห่งในตำหนักนอกที่เนตรวิญญาณมิอาจทะลวงได้ก็คือเรือนของเจ้าตำหนักทั้งสามและห้องฝึกเงามายาห้องฝึกเงามายานั้นแตกแยกออกจากตำหนัก แม้ซือหยูจะทำแผ่นดินไหวในนั้นมาก่อน พลังอสูรก็ไม่ได้เล็ดรอดออกมา แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็บอกได้ว่าผนึกในห้องนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ซือหยูรีบบินไปยังห้องฝึก แต่ก่อนจะเข้าไป เขาก็พบคนหนึ่งคน
เขาคือพยัคฆ์หยางลำดับสองเขาเคยเป็นลูกน้องของนักเลงหลงแต่แปรพักตร์ในภายหลังไปเข้าร่วมกับเฉาฉิงเฟิง ช่วยจัดการบริหารตลาดมืดของตำหนักนอก ซือหยูรู้ว่าสหายกินทั้งสามของชางก่วนหยุนซื่อยืมคะแนนมาจากชายคนนี้!
พยัคฆ์หยางขี้ระแวงและเจ้าเล่ห์ก่อนจะเข้ามายังห้องฝึก เขามองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามเขาอยู่ จากนั้นเขาก็เข้าไปยังห้องฝึก เขาเลือกห้องฝึกเงามายาที่อยู่ตรงกลาง
เขาทำสัญญาณด้วยมือและเคาะประตูสามครั้งประตูศิลาเปิดออกทันที ใบหน้าที่เขาเจอเบื้องหลังประตูก็มิใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าสหายกินของชางก่วนหยุนซื่อ!
“ศิษญ์พี่หยางมาแล้ว…”
เขาพูดอย่างระมัดระวัง
พยัคฆ์หยางขมวดคิ้วตำหนิ
“ข้าบอกว่าอย่าแสดงตัว!รีบปิดประตูเร็ว ไปคุยกันข้างใน”
เสียงประตูปิดดังพวกเขาเข้าไปในห้อง ห้องฝึกเงามายามีค่ายกลที่แข็งแกร่งติดตั้งเอาไว้ เนตรวิญญาณของซือหยูมิอาจมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทำได้แค่รอ
หลังจากผ่านไปไม่ถึงห้านาทีพยัคฆ์หยางได้ผลักประตูศิลาออกและเดินออกมา สีหน้าเขาดูเป็นกังวล
หลังจากซือหยูเห็นเขาออกจากห้องฝึกเงามายาซือหยูก็หยุดมองดูห้องและตามพยัคฆ์หยางที่เลือกเส้นทางห่างไกลเพื่อหวังจะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ยิ่งเขาไปไกลเท่าใดก็ยิ่งร้างคนเท่านั้น สุดท้ายพยัคฆ์หยางก็มาถึงพื้นที่ที่ห่างไกลไร้ผู้คน
ในตอนนั้นเองพยัคฆ์หยางขมวดคิ้วและหันไปด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“ท่านตามข้ามานานแล้วมีอะไรว่ามา!”
ณมุมหนึ่งในหนึ่งลี้ห่างออกไป ชายแก่ผมขาวเดินออกมา ซือหยูไม่แปลกใจที่ถูกเจอตัว เพราะเขาไม่ได้พยายามแอบเลย
“ซือหยูเซี่ยนรึ?”
พยัคฆ์หยางเบิกตากว้างเมื่อเห็นซือหยู
แต่เขาก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าตามข้ามาทำไม?ที่คนตลาดมืดเกลียดที่สุดก็คือการถูกแกะรอย!”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าจะเกลียดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับข้าข้ามีเรื่องจะถาม หวังว่าเจ้าจะมอบคำตอบที่ข้าพอใจ”
พยัคฆ์หยางหันกลับมาหาซือยหูเขากอดอกและมองอย่างเย็นชา
“ถามมา”
บรรยากาศที่เขาส่งออกมานั้นดูยิ่งใหญ่มันมากพอที่จะทำให้ศิษย์นอกทั่วๆไปหวาดกลัว นั่นก็เพราะเขาเป็นภูติระดับหก
“ข้าแค่อยากจะถามว่าสามคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่…”
ซือหยูถามอย่างใจเย็น
พยัคฆ์หยางเบิกตากว้างและตะคอกใส่
“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?ข้าจะฆ่าพวกมั…”
เขาหยุดพูดไปเมื่อตระหนักว่าซือหยูเพียงพยายามหาข้อมูลจากเขาเท่านั้นและไม่ได้คิดว่าเขาสังหารทั้งสามคนเลย!จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วตะโกน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร!ถ้าไม่มีอะไร ข้าจะไปแล้ว”
ทันทีที่พยัคฆ์หยางหันกลับซือหยูก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเยือกเย็น
“ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าไปไหน…”
พยัคฆ์หยางไม่พอใจจนหัวเราะน่าขันนักที่ภูติระดับสามกล้าขู่เขา!
“การชนะขยะเฉาหลี่คงทำให้เจ้ามั่นใจมากสินะ”
พยัคฆ์หยางหัวเราะอย่างเย็นชาเมื่อมองซือหยูราวกับมองคนโง่ที่ลืมตัว
ซือหยูมองกลับไปด้วยความเวทนาแต่ถ้าหากเขารู้เหตุที่เฉาฉิงเฟิงอยากจะกำจัดซือหยูล่ะก็…เขาจะไม่มีทางหัวเราะออกมาเลย! เพราะซือหยูนั้นต่อสู้กับร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงในห้องฝึกเงามายา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับการพิสูจน์พลังต่อสู้ของเขา
“เห็นทีข้าต้องสั่งสอนเจ้าอีกครั้งว่าความแตกต่างของพลังเป็นยังไง!”
แสงสีน้ำเงินพุ่งออกจากหน้าผากพยัคฆ์หยางเมื่อเขาพูดมีร่างเงาช้างตัวใหญ่ที่มีพลังระเบิดออกมา
“ช้างเถื่อนจมธรณี!”
พยัคฆ์หยางตะโกนร่างเงาช้างพุ่งออกจากหน้าผากก้าวไปข้างหน้า
เท้าแต่ละข้างของมันมีพลังมหาศาลแต่ซือหยูไม่เกรงกลัว เขาปล่อยหมัดขวาใส่มัน
ปั้ง!
ร่างเงาช้างอันทรงพลังสลายไปอย่างง่ายดายราวกับกระดาษขณะที่หมัดซือหยูยังคงพุ่งไปยังลำตัวของพยัคฆ์หยาง
เมื่อหมัดกระทบตัวพยัคฆ์หยางกระเด็นลอยออกไปพร้อมกระอักเลือด พยัคฆ์ล้มลงไปกับพื้นด้วยความตกตะลึง
“เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?”
เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดภูติระดับสามถึงมีพลังมากกว่าเขา
ซือหยูไม่พูดพร่ำให้มากกว่านี้เขาเข้าไปเหยียบอกของพยัคฆ์หยางและมองรอบๆด้วยสายตาหนักแน่น
ผ่านไปนานก่อนที่เขาจะพูด
“ที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่แล้วที่นี่ก็งดงามดี เจ้าคงจะไม่เสียใจหากตายที่นี่…”
“ช้าก่อน!เราไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน ทำไมเจ้าต้องฆ่าข้า?”
พยัคฆ์หยางคิดอย่างหนักเพื่อหาเหตุผลให้ซือหยูไว้ชีวิต
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าพูดถูกเราไม่มีอะไรต่อกัน ถ้าเจ้าอยากจะโทษใครในเรื่องชะตาของเจ้า เจ้าก็จงโทษตัวเองที่เลือกผู้เป็นนายผิด”
จากนั้นซือหยูกดพลังที่เท้าเพิ่ม ขณะที่เขากำลังจะสังหารพยัคฆ์หยางนั้นเอง พยัคฆ์หยางสัมผัสเงาความตายของตัวเองได้และอ้อนวอน
“เดี๋ยว!อย่าฆ่าข้า! ข้าจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ!”
ซือหยูผ่อนแรงที่เท้าและตอบอย่างเยือกเย็น
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง…สามคนนั้นตายหรือยัง?”
ความหวาดกลัวถาโถมพยัคฆ์หยางแต่เขาก็กัดฟันตอบ
“ข้าทำตามคำสั่งพี่เฉาข้าปิดปากพวกมันแล้ว”
ขณะที่พูดเขายกนิ้วชี้ ศพสามร่างในแหวนถูกโยนออกมา ซือหยูใจหายเมื่อเห็นร่างของทั้งสาม
เขามาสายไปเฉาฉิงเฟิงชั่วช้าโหดร้ายไม่ไว้ชีวิตตัวหมาก
หากทั้งสามตายชางก่วนหยุนซื่อก็ต้องรับผิดชอบหนี้เต็มที่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยชางก่วนหยุนซื่อนอกจากจะหาห้าแสนคะแนนมา!
ในตอนนั้นเองซือหยูเกิดความคิด เขายิ้มมองพยัคฆ์หยางอีกครั้งพลางหัวเราะ
“เจ้าอยากจะมีชีวิตสินะ?”
พยัคฆ์หยางใจชื้นและพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
“ศิษย์น้องซือข้าจะทำตามคำสั่งเจ้าทุกอย่าง โปรดชี้แนะข้าได้เลย”
เป็นความจริงที่คนทรยศไม่มีความภักดีแท้จริงหากเขาหักหลังนักเลงหลงได้ เขาก็หักหลังเฉาฉิงเฟิงได้เช่นกัน
“ข้าไม่ต้องการอะไรเจ้าทำใจให้สบายก็พอ…อย่าขัดขืน”
พยัคฆ์หยางลังเลไปครู่หนึ่งแต่เมื่อซือหยูจ้องมองไม่วางตา เขาก็เลือกที่จะปล่อยวางจิตใจ หลังจากนั้น แสงสีเงินพุ่งออกจากดวงตาของซือหยูรุกล้ำเข้าไปยังวิญญาณของพยัคฆ์หยาง
พยัคฆ์หยางหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนดวงตาจะว่างเปล่าเขายืนขึ้นด้านหลังซือหยูราวกับหุ่นเชิด ซือหยูหัวเราะ
“หึหึที่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องเจอหากวางอุบายกับข้า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron 827-828

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter 827-828 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

DND.827 – ชุมนุมล้างผลาญ
“เสวี่ยเหลียนบอกพวกเราเถอะว่าอัจฉริยะคนนั้นคือใคร เราต้องชิงตัวเขามาที่สำนักซ้ายให้ได้!”
เว่ยเจิงสีหน้าหนักแน่น
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มมุมปากและตอบ
“เขาก็คือซือหยูเซี่ยนที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าสำนักซ้ายยังไงล่ะเว่ยเจิง ถ้าเจ้าไม่ชอบเขา มันก็น่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู่กับเจี๋ยนอู๋เชิงที่ระดับพลังเดียวกันได้ใช่ไหม? มันต้องเป็นข่าวลือแน่นอน…หึหึ…”
เว่ยเจิงตัวแข็งเป็นหินในทันที…มันเป็นไปได้ยังไง?
“ข้าไม่เชื่อ!”
หลังกลับมาได้สติสีหน้าเว่ยเจิงเปลี่ยนไป เขาส่ายหน้า
“ข้าตัดสินผู้คนได้แม่นยำข้าต้องไม่พลาดแน่ คนคนนั้นมีพรสวรรค์ตัดขัด ข่าวเรื่องที่เขาต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงต้องได้รับการยืนยัน”
“หึหึเดี๋ยวเจ้าก็รู้ในวันทดสอบประจำฤดูมิใช่รึ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งอารมณ์ดีนางจิบชาอย่างเป็นสุข
เสวี่ยฉีไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
“ไม่ต้องพูดแล้ว!ข้าจะไปหาเขาตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เราจะต้องไม่ปล่อยให้สำนักขวามาลูบคมได้”
เล่าอ๋ายกับเฉาฉิงเฟิงได้ข่าวเดียวกันทั้งคู่ตกตะลึง
“เขาน่ะรึ?เป็นไปไม่ได้!”
เฉาฉิงเฟิงส่ายหัวเขาไม่คิดจะเชื่อข่าวลือนี้
เล่าอ๋ายครุ่นคิดอย่างหนัก
“มีโอกาสเป็นเรื่องจริงมีหลายคนพบเห็น ไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวโคมลอย”
“ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ว่ามันมีพลังขนาดนี้ข้าก็คงจะเร่งรัดเรื่องหวูชิงมากขึ้น แต่ตอนนี้ข้าหยุดอะไรไม่ได้แล้ว”
เล่าอ๋ายโศกเศร้า
แต่ทั้งคู่นั้นเป็นดั่งไฟกับน้ำแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูจะเข้าร่วมสำนักขวา หากเจ้าตำหนักขวาได้ยินว่าเขาพลาดยอดอัจฉริยะเพราะเรื่องบาดหมางส่วนตัว พวกเขาก็คงจะถูกลงโทษสถานหนัก! เขาทั้งหวาดกลัวและกระวนกระวายเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“จะชักช้าไม่ได้!ถ้าเรื่องพลังของมันถูกยืนยัน มันจะถูกเจ้าตำหนักซ้ายรับเข้าไป พอถึงตอนนั้นเจ้าตำหนักขวาต้องโกรธแน่! เราต้องไม่ปล่อยให้มันเข้าสำนักซ้าย!”
เล่าอ๋ายพูดอย่างร้อนรน
เฉาฉิงเฟิงพูดอย่างลึกล้ำ
“เราจะทำยังไง?”
ความป่าเถื่อนปรากฏในแววตาเล่าอ๋าย
“ต้องทำร้ายมันให้เจ็บสาหัสหรือฆ่ามันก่อนการทดสอบมีวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มันเข้าร่วมการทดสอบไม่ได้”
หลายคนยังคงไม่เชื่อว่าซือหยูมีพลังพอที่จะต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงพวกเขาจึงต้องตั้งตารอการทดสอบที่กำลังจะมาถึง นี่เป็นเหตุที่พวกเขาต้องปิดปากซือหยูก่อนการทดสอบเพื่อป้องกันไม่ให้เขาขึ้นลานประลองและถูกผู้คนประเมิน
แม้พวกเขาจะถูกตั้งคำถามกับเรื่องนี้แต่ถ้าเป็นการกำจัดอันตราย มันก็คุ้มค่า
“แต่ตำหนักหวงห้ามการสังหารเราจะทำได้ยังไง?”
เฉาฉิงเฟิงถามด้วยความสงสัย
เล่าอ๋ายหัวเราะเบาๆอย่างเย็นชา
“เจ้าต้องให้ข้าบอกอีกรึ?เจ้าไม่ได้วางกับดักนายน้อยเสเพลนั่นแล้วหรือยังไง? นี่แหละเวลาที่จะใช้งานมัน”
เฉาฉิงเฟิงเข้าใจทุกอย่างในทันทีเรายิ้มเยาะที่มุมปากและหัวเราะ
“หึหึข้าเกือบลืมไอ้ขยะนั่นไปเลย…”
ณตำหนักใน
“ท่านเจ้าตำหนักโปรดให้ข้าออกไปเถอะ ข้าอยากจะประลองกับคนคนหนึ่ง”
สตรีผอมงดงามผู้มีเรือนร่างสง่าคุกเข่าเงียบๆหน้าประตูศิลา
มียอดฝีมือสูงสุดผู้หนึ่งที่สามารถสั่นคลอนดินแดนพรสวรรค์ได้อยู่หลังประตูนี้ นางคือม่อเทียนฉวน
“ศิษย์นอกที่สู้กับแม่เจ้าน่ะรึ?”
เสียงนั้นส่งผ่านมาจากประตู
“ไม่จำเป็นหรอกตอนนี้เจ้ากลับไปก่อน”
สตรีหน้าประตูลังเลก่อนจะกลับไปอย่างไม่เต็มใจขณะสตรีที่อยู่อีกฟากของประตูนั้นกำลังบ่มเพาะพลังอย่างเงียบๆ
ชั้นพลังภูติผีสีดำปรากฏบนฝ่ามือนางซือหยูจะจำได้ทันทีหากเขาอยู่ที่นี่ เพราะมันคือพลังที่ชั่วร้ายอย่างมากที่เขาชะล้างออกไป
“ไอ้แก่นั่นหายไปไหนกัน?แล้ว…ใครกันที่ได้กงจักรข้าไป?”
ม่อเทียนฉวนถอนหายใจเบาๆ
นางคือสตรีแต่งบุรุษที่เคยถูกซือหยูช่วยชีวิตนางคือผู้ปกครองแห่งตำหนักโลหิต ม่อเทียนฉวน
นางยังไม่ประกาศว่านางเสียสมบัติภูติวิถีอสูรไปนางกลับส่งคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆโดยหวังว่าพวกเขาจะหาเจอและคืนนางมาโดยเร็ว
นางยังบอกให้คนเดียวกันทำภารกิจสำคัญอีกอย่างนั่นก็คือตามหาชายแก่คนนั้น เพราะปัญหาเก่าของนางจะถูกแก้ไข่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา
ซือหยูไม่รู้เรื่องนี้เลยเขากลับไปยังเขาอสูรช้าๆ เขาตั้งใจจะบ่มเพาะพลังที่นั่นสักระยะก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบประจำฤดู
แต่ทันทีที่เขานั่งลงเขาก็สัมผัสถึงพลังกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากนอกบ้าน! ซือหยูตกใจมาก สายฟ้าเข้าล้อมรอบกาย เขาย้ายตัวเองไปไกลร้อยศอก ปรากฏตัวเหนือเรือนตัวเอง
เมื่อก้มลงมองก็พบปิงหวูชิงนางถือกระบี่วิ่งไปยังเรือนกลาง นางฟันเรือนกลางเป็นเสี่ยงๆด้วยกระบี่ ตอนนี้เรือนของซือหยูกลายเป็นซากแล้ว
ซือหยูโกรธเมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ?”
ปิงหวูชิงหันไปชี้กระบี่หาซือหยู
“ซือหยูเซี่ยนข้าขอท้าเจ้าต่อสู้!”
ซือหยูค่อนข้างจะสับสน
“เจ้าไม่สบายเรอะ?ทำไมจู่ๆถึงอยากจะมาประลองกับข้า?”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงข้าเลยอยากจะประลองกับเจ้า ไม่ต้องห่วง ข้าจะกดฐานพลังให้เทียบเท่าเจ้า”
ปิงหวูชิงอยากให้การต่อสู้นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว
เจี๋ยนอู๋เชิงอีกแล้วรึ?เขาแค่ลองวิชาใหม่ ใครจะไปคิดว่าปัญหาจะมาถึงตัวเขาเร็วเช่นนี้!
“หืม…คู่รักกำลังทะเลาะกันนี่นาข้าต้องรีบยกเก้าอี้มานั่งดูแล้ว”
กงซุนหวูซื่อผู้ปรารถนาให้โลกลุกเป็นไฟอยู่ตลอดเวลานั้นหัวเราะเบาๆเมื่อลากเก้าอี้มานั่งมอง
นางใช้สองมือเท้าคางและดูทั้งสองอย่างตื่นเต้นความวุ่นวายทำให้ไป่ชานเหลียงกับเทียนเหรินเหยาสัมผัสได้ ทั้งสองก็เข้ามาดูเช่นกัน
“นี่พวกเจ้าต่อสู้ข้างนอกกันจะดีกว่า ถ้าพวกเจ้าทำลายเรือนหมด พวกเราต้องไปนอนข้างถนนนะ!”
ไป่ชานเหลียงบอกให้ทั้งสองคิดถึงเรื่องที่พักอาศัย
เทียนเหรินเหยามองปิงหวูชิงด้วยความโกรธ
“น้องหยูเซี่ยนอย่าไปกลัวนาง ข้าจะช่วยเจ้าเอง! มาเอาชนะนางด้วยกันเถอะ! ไม่มีอะไรทนความรักของเราได้หรอก!”
พวกนี้เป็นกลุ่มคนพิสดารโดยแท้จริง!เส้นเลือดปูดโปนที่หน้าผากของซือหยูเมื่อมองปิงหวูชิงอย่างรำคาญใจ
“มิใช่ว่าการทดสอบประจำฤดูกำลังจะเริ่มรึ?เจ้ารอสักหน่อยไม่ได้รึไง? ข้าเพิ่งจะต่อสู้มา ถ้าเจ้าอยากจะเอาเปรียบข้าก็เข้ามาเลย”
“ข้าต้องการการต่อสู้ที่ยุติธรรมข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้ยังไง?”
ปิงหวูชิงเก็บกระบี่ลงฝัก
“ก็ดีบาดแผลของข้าฟื้นคืนเกือบเต็มที่แล้ว ในการต่อสู้วันทดสอบ ข้าจะเอาคืนฝ่ามือที่เจ้าลอบกัดข้าวันนั้น!”
ซือหยูหน้าแดงก่ำนางกัดไม่ปล่อยจริงๆ!
“อ๊าา!น่าเบื่อซะจริง”
กงซุนหวูซื่อทำหน้ามุ่ย
ซือหยูมองเรือนของตัวเองที่กลายเป็นซากเขากลายเป็นคนไร้บ้านในค่ำคืนนี้
“ศิษย์น้องใยคืนนี้ไม่มาอยู่กับข้าล่ะ?”
ไป่ชานเหลียงถามเมื่อเห็นปัญหาของซือหยู
ซือหยูย่อมไม่ปฏิเสธข้อเสนอมีน้ำใจแต่เมื่อกำลังจะตอบตกลง เทียนเหรินเหยาก็พูดอย่างโศกเศร้า
“พี่ชานเหลียงนิสัยไม่ดีอีกแล้วอยากจะให้น้องซือหยูลองพิษสินะ?”
ซือหยูตกใจเขามองไป่ชานเหลียง
“เหลวไหล!ข้าจะปล่อยให้ศิษย์น้องที่รักลองยาพิษได้ยังไง? อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ เจ้าจะทำให้ชื่อของข้าดูไม่ดี…”
ไป่ชานเหลียงตะโกนราวกับผู้มีคุณธรรม
แต่ทันใดนั้นก็มีขวดสีต่างๆตกลงมามากมายจากแขนเสื้อเมื่อเขาโบกมือมันกลิ้งไปมาบนพื้น
เมื่อซือหยูมองก็พบว่าแต่ละขวดมีฉลากเขียนเอาไว้…
“ผงห้าพิษสะบั้นไส้”
“ยาพิษเมาตาย”
“น้ำพิษตายเก้าชีวิต”

เส้นเลือดบนหน้าผากซือหยูปูดโปนขึ้นมาอีกครั้งไป่ชานเหลียงอับอายมาก เขารีบเก็บขวดยาพิษและอาเจียนโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก!
เขารีบเอามือทาบอก
“แย่แล้ว!ข้าต้องรีบกลับไปพัก!”
หลังจากเขาออกไปเทียนเหรินเหยาก็ถามอย่างเจ้าชู้
“น้องหยูเซี่ยนมานอนกับข้าคืนนี้สิ!”
ซือหยูสั่นไปทั้งตัว
“ไสหัวไป”
ความคิดอยากจะต่อสู้ในแววตาปิงหวูชิงระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ซือหยูเซี่ยนทำไมไม่มาที่เรือนข้าล่ะ?”
ซือหยูปวดหัวเมื่อมองแววตานางมันน่าพอใจที่สาวงดงามชวนเข้าเรือน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงดึงดูดใจนัก
ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะอันไพเราะเบาๆดังขึ้น
“ฮ่าๆๆ…พี่หยูเซี่ยนไม่มาเรือนข้ารึ? ข้าทั้งว่านอนทั้งสอนง่าย…”
ว่านอนสอนง่ายเรอะ?ซือหยูจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของอสูรน้อยได้ยังไง? แต่ดูเหมือนว่านางจะอันตรายน้อยกว่าอสูรคนอื่นๆ
“ก็ได้คืนนี้ข้าขอรบกวนเจ้า ศิษย์พี่หวูซื่อ”
ซือหยูกล่าว
อสูรน้อยหัวเราะซือหยูไม่รู้ว่านางวางแผนชั่วอะไรอยู่ ขณะนั้นเอง เสวี่ยฉีก็ได้มาถึง นางค่อนข้างตกใจเมื่อมองเขาอสูร
นางถาม
“พวกเจ้าเริ่มชุมนุมอสูรกันรึ?”
“ชุมนุมล้างผลาญล่ะสิไม่ว่า…”
ซือหยูชี้เรือนตัวเองที่กลายเป็นซากไม้
“ศิษย์พี่เสวี่ยฉีมาหาข้ามีเรื่องอันใดรึ?”
ซือหยูถามเข้าประเด็น
เสวี่ยฉีหัวเราะอย่างอ่อนหวานและทำใบหน้ายั่วยวน
“ศิษย์น้องข้ามาหาเจ้าเฉยๆไม่ได้หรืออย่างไร?”
หลังจากแหย่เขาจบนางก็ทำใบหน้าจริงจัง
“ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าในวันนั้นข้าขอบคุณเจ้ามากจริงๆ โปรดให้ข้าได้จ่ายหนึ่งหมื่นคะแนนเพื่อล้างหนี้ที่เจ้าติดกับนักเลงหลงเถอะ”
ซือหยูไม่ลืมเรื่องนี้แต่เขาก็โบกมือปฏิเสธ
“ข้าไม่ยอมให้ใครอื่นจ่ายหนี้ของข้าแต่ข้ายินดีกับความหวังดีจากเจ้า ส่วนเรื่องการช่วยเจ้านั้นเป็นความรับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลไปนัก”
เสวี่ยฉีมองซือหยูนางยืนยันได้แล้วจริงๆว่าเขามีนิสัยดี
“ศิษย์พี่มีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่?”
ซือหยูถาม
เมื่อเสวี่ยฉีจะตอบนางก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าแค่อยากจะยืนยันเรื่องหนึ่งข้าได้ยินว่าเจ้าต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิง มันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”
“จริง”
ซือหยูตอบ
เสวี่ยฉีเบิกตากว้าง
“เป็นเรื่องจริงสินะ…”
หลังจากที่นางคิดนางก็พูด
“ศิษย์น้องเจ้าคิดจะ…”
ฟึ่บ!
ก่อนที่นางจะพูดจบมีหนึ่งคนรีบพุ่งมายังเขาอสูรและหยุดอยู่หน้าทางเข้า เขามองรอบๆและก็ทำหน้าดีใจเมื่อเห็นซือหยู
“น้องซือได้โปรดช่วยชางก่วนหยุนซื่อด้วย เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้”
“ชางก่วนหยุนซื่อรึ?เกิดอะไรขึ้น?”
ซือหยูถามคนที่เพิ่งมา
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นชางก่วนเฟยยอดฝีมือจากตระกูลชางก่วนที่ซือหยูเคยช่วยชีวิตในป่าขังภูติ ในตอนนี้มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปากของเขา มีรอยฝ่ามือแดงทิ้งไว้บนใบหน้า เสื้อผ้าของเขาเลอะฝุ่นเต็มไปหมด เขาเพิ่งจะถูกทำร้ายมา
“พี่หยุนซื่อถูกเฉาฉิงเฟิงจับตัวไปเขาอยากจะทำลายจุดกำเนิดพลังของพี่หยุนซื่อ”
ชางก่วนเฟยรีบพูดอย่างกังวลใจ
ซือหยูตกใจเมื่อได้ฟัง
“เฉาฉินเฟิงรึ?มันกล้าจับคนในตำหนักแล้วยังจะทำลายฐานพลังอีกหรือ?”
กฎของตำหนักเด็ดขาดและเข้มงวดนอกจากฝ่ายคุมกฎก็ไม่มีใครกล้าลงโทษคนอื่นด้วยตัวเอง!
“เป็นเฉาฉิงเฟิงนั่นแหละ!เดือนก่อน พี่หยุนซื่อเป็นคนค้ำประกันให้สหายสามคนที่ยืมหนึ่งหมื่นคะแนนจากตลาดมืดด้วยดอกเบี้ยมหาศาล ใครจะไม่คิดว่าสามคนนั้นจะคิดชั่วหนีไปหลังจากยืมหนึ่งแสนคะแนน? นี่เป็นเวลาใช้หนี้ของพวกมัน แต่พวกมันหนีไปแล้ว! ตอนนี้พี่หยุนซื่อต้องจ่ายทุกอย่างชดใช้ให้มัน!”
“ถ้าพี่หยุนซื่อจ่ายคืนไม่ได้เขาจะถูกทำลายฐานพลังตามข้อตกลงของปฏิญาณสัตย์ดวงใจ!”
คำประกันงั้นรึ?ซือหยูนึกขึ้นได้ว่าชางก่วนหยุนซื่อเป็นคนค้ำประกันหนี้ให้สหายทั้งสาม ในตอนนั้น ซือหยูถึงกับเตือนเขาในเรื่องการเชื่อใจเพื่อนดื่มกินง่ายๆ แต่ชางก่วนหยุนซื่อก็ปฏิเสธเพื่อนรักษาหน้า ตอนนี้เขาเลยตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้!
“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่หยุนซื่อร่ำรวยอยู่แล้ว เขาน่าจะจ่ายหนึ่งแสนคะแนนได้มิใช่รึ?”
ซือหยูถามอย่างไม่สนใจนัก
ชางก่วนเฟยยิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้าแค่แสนคะแนนมันก็ง่ายแต่หนึ่งเดือนผ่านไป ดอกเบี้ยสะสมทวีจนกลายเป็นห้าแสนคะแนนแล้ว!”
ซือหยูสีหน้าหม่นหมองการออกดอกเบี้ยสูงขนาดนี้เป็นการกู้ยืมที่น่าสยดสยอง เมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้คืน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมักจะสูงกว่าเงินที่หยิบยืมไป!
“เขาโง่ขนาดนั้นได้ยังไง?”
ซือหยูส่ายหน้าเพราะชางก่วนหยุนซื่อเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่ เขาไม่ควรจะดูถูกพวกตลาดมืด
ชางก่วนเฟยกังวลจนแทบร้องไห้
“น้องซือได้โปรดช่วยพี่หยุนซื่อด้วยเถอะ ข้าส่งคนไปบอกพี่ชิงเอ๋อแล้ว แต่นางต้องใช้เวลาหนึ่งวันกว่าจะเดินทางมาถึง พอถึงตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว มีแค่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยพี่หยุนซื่อได้”
ชางก่วนหยุนซื่อเป็นคนมีคุณธรรมเขามักจะใจดีกับซือหยูเสมอ ซือหยูย่อมไม่ทอดทิ้งเขาในยามยาก ยิ่งไปกว่านั้นสัญชาตญาณยังบอกเขาว่าชางก่วนหยุนซื่อกำลังตกเป็นเหยื่อของแผนการใครบางคน
สหายกินสามคนนั้นจะต้องถูกเฉาฉิงเฟิงจ้างมาตีสนิทกับชางก่วนหยุนซื่อเพื่อที่สุดท้ายเฉาฉิงเฟิงจะบงการเขาได้เฉาฉิงเฟิงผู้นี้ไม่เคยเลิกรา!
แววตาซือหยูเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง
“ชางก่วนเฟยใครบอกให้เจ้ามาหาข้า?”
ชางก่วนเฟยรีบตอบ
“ข้าได้ยินคนพูดว่าเจ้าได้คะแนนมหาศาลมาจากเขาวิญญาณจรัสพวกเขาพูดว่าเจ้าจะแบ่งให้พี่หยุนซื่อยืมได้บ้าง”
ซือหยูติ้วกระตุกเขายิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก
“บังเอิญเหลือเกินแต่ก็ต้องเป็นมัน เฉาฉิงเฟิงอยากจะจัดการข้ามาตลอด!”
ซือหยูถอนหายใจแรง
เพราะมีแค่คนในเขาวิญญาณจรัสวันนั้นเท่านั้นที่รู้เรื่องที่เขามีคะแนนเป็นจำนวนมากข่าวเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่…คนธรรมดาๆกลับมาบอกชางก่วนเฟยให้มาหาเขาเพื่อช่วย เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเฉาฉิงเฟิงก็คือการล่อซือหยูให้ออกมา!
“หึหึ…เจ้าเล็งข้าอยู่สินะ?”
งูพิษตัวนี้แผลงศรอันเยือกเย็นใส่เขาหลายครั้งนี่เป็นเวลาที่เขาจะจบปัญหาทั้งหมดแล้ว!
“พวกมันอยู่ไหน?แล้ว…ที่นั่นมีใครอยู่บ้าง?”
ซือหยูถาม
ชางก่วนเฟยยินดีที่จะตอบอยู่แล้ว
“มีเฉาฉิงเฟิงกับพวกคนตลาดมืดมีศิษย์ในที่คอยสนับสนุนพวกมันด้วย”
เขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครคือศิษย์ในคนนั้นนั่นต้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่นิยมชมชอบการลอบโจมตีผู้คนอย่างเล่าอ๋าย!
แววตาซือหยูเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
“ย่อมได้!ไปหาพวกมันกันเถอะ”
DND.828 – แกะรอยถึงต้นตอ
“ช้าก่อน!”
เสวี่ยฉีตาเป็นประกายนางรีบตามซือหยูไป
เมื่อวิ่งตามทันเขานางก็พูด
“คนสำนักขวาเอาแต่ชูคอเหนือตำหนักนอกถึงเวลาแล้วที่พวกมันจะรู้ว่าตำหนักนอกมิใช่ของเจ้าตำหนักขวาเพียงผู้เดียว”
นางพูดต่อ
“ข้าจะไปบอกนักเลงหลงกับคนอื่นๆเราต้องรวบรวมคนตลาดมืดของเราทั้งหมด!”
ซือหยูรู้ว่านางแสดงน้ำใจต่อเขาก็เพื่อหวังว่าเขาจะเข้าร่วมกับสำนักซ้ายในสักวันหนึ่ง
ตอนนี้เขามีศัตรูมากมายและสหายน้อยนิดเขาย่อมไม่ปฏิเสธน้ำใจของนาง
“เจ้าไปเรียกกำลังเสริมกับเสวี่ยฉีข้าจะไปจัดการเรื่องอื่นก่อน”
ซือหยูพูดกับชางก่วนเฟย
เสวี่ยฉีกระทืบเท้าพลางพยักหน้ากับชางก่วนเฟย
“ไปกันเถอะ”
ชางก่วนเฟยดีใจมากเขายังตกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าเสวี่ยฉีเป็นศิษย์ในที่รับผิดชอบตลาดมืดของตำหนักนอก ว่ากันว่านางมีสถานะสูงส่งอย่างมากในสำนักซ้าย
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเลยว่าซือหยูจะมีเส้นสายกับสตรีเช่นนี้ได้เพราะเขาเพิ่งจะเข้าสำนักมาไม่ถึงสองเดือนยิ่งไปกว่านั้น เสวี่ยฉียังปฏิบัติต่อซือหยูอย่างสุภาพ นั่นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขาตอนนี้กับในอดีตที่เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้ที่ใช้ตระกูลชางก่วนเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการสอบเข้าตำหนักโลหิต
“ศิษย์พี่เสวี่ยฉีขอบคุณมากที่ช่วยพวกเรา”
ชางก่วนเฟยขอบคุณนางขณะที่ตามนางไปหากำลังเสริม
ซือหยูออกจากเขาอสูรนเช่นกันแต่เขาไม่ได้ไปช่วยชางก่วนหยุนซื่อในทันที ดวงตากลับเปล่งแสงสีเงิน เขาบินสูงเหนือตำหนักและมองจนทั่ว
เขารู้ว่าหากผลีผลามเขาจะช่วยชางก่วนหยุนซื่อไม่ได้ นั่นก็เพราะศัตรูมีปฏิญาณสัตย์ดวงใจที่ชางก่วนหยุนซื่อลงนามเอาไว้ ถ้าเขาไม่จ่ายห้าแสนคะแนน จุดกำเนิดพลังของชางก่วนหยุนซื่อก็จะถูกทำลายตามคำสาบาน!
แม้แต่จ้าวตำหนักทั้งสามของตำหนักนอกก็มิอาจต่อต้านกฎระเบียบของตลาดมืดได้ดังนั้น ใครที่เป็นคนเริ่ม ผู้นั้นก็ย่อมต้องเป็นคนจบ หากสามคนที่ยืมคะแนนหนีไป ซือหยูก็ต้องตามหาให้เจอและบังคับให้ทั้งสามชดใช้หนี้ ชางก่วนหยุนซื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายอะไร ปัญหาจึงคลี่คลาย
ขณะที่คิดเช่นนี้เขาใช้เนตรวิญญาณมองทั่วตำหนักนอก ไม่มีแม้แต่สิ่งปลูกสร้างเดียวที่ขัดขวางสายตาได้
เขาต้องหาสามคนนั้นให้เจอโดยเร็วเพราะมีโอกาสสูงมากที่เฉาฉิงเฟิงจะส่งทั้งสามคนมาเพื่อทำมิดีมิร้ายกับชางก่วนหยุนซื่อ ซือหยูไม่รู้ว่าเรือนของเฉาฉิงเฟิงอยู่ที่ใด เขาจึงใช่เนตรวิญญาณมองดูทั้งตำหนัก
หนึ่งชั่วยามผ่านไปเขายังไม่เห็นเบาะแสใด เขาสงสัย…พวกเขาตายแล้วรึ? หรือว่า…สามคนนั้นออกจากตำหนักไปแล้ว?
เขาคิดถึงความเป็นไปได้พร้อมใจหายแต่หลังจากที่คิดให้ดี เขาก็คิดว่าความคิดเหล่านั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง
เพราะแม้ชางก่วนหยุนซื่อจะประมาทจนลงเอยด้วยการโดนสามคนนั้นหลอกเขาก็ไม่ใช่คนโง่! เขาจะต้องไม่มองข้ามหากทั้งสามออกจากตำหนักไป
ซือหยูจึงสรุปว่าทั้งสามคนยังอยู่ในตำหนักดังนั้น ตราบเท่าที่ทั้งสามยังไม่ถูกสังหาร พวกเขาก็ต้องซ่อนตัวอยู่! และดูเหมือนว่าพวกเขาจะซ่อนตัวในตำแหน่งที่เนตรวิญญาณมิอาจมองได้!
มีเพียงไม่กี่แห่งในตำหนักนอกที่เนตรวิญญาณมิอาจทะลวงได้ก็คือเรือนของเจ้าตำหนักทั้งสามและห้องฝึกเงามายาห้องฝึกเงามายานั้นแตกแยกออกจากตำหนัก แม้ซือหยูจะทำแผ่นดินไหวในนั้นมาก่อน พลังอสูรก็ไม่ได้เล็ดรอดออกมา แค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็บอกได้ว่าผนึกในห้องนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ซือหยูรีบบินไปยังห้องฝึก แต่ก่อนจะเข้าไป เขาก็พบคนหนึ่งคน
เขาคือพยัคฆ์หยางลำดับสองเขาเคยเป็นลูกน้องของนักเลงหลงแต่แปรพักตร์ในภายหลังไปเข้าร่วมกับเฉาฉิงเฟิง ช่วยจัดการบริหารตลาดมืดของตำหนักนอก ซือหยูรู้ว่าสหายกินทั้งสามของชางก่วนหยุนซื่อยืมคะแนนมาจากชายคนนี้!
พยัคฆ์หยางขี้ระแวงและเจ้าเล่ห์ก่อนจะเข้ามายังห้องฝึก เขามองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามเขาอยู่ จากนั้นเขาก็เข้าไปยังห้องฝึก เขาเลือกห้องฝึกเงามายาที่อยู่ตรงกลาง
เขาทำสัญญาณด้วยมือและเคาะประตูสามครั้งประตูศิลาเปิดออกทันที ใบหน้าที่เขาเจอเบื้องหลังประตูก็มิใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าสหายกินของชางก่วนหยุนซื่อ!
“ศิษญ์พี่หยางมาแล้ว…”
เขาพูดอย่างระมัดระวัง
พยัคฆ์หยางขมวดคิ้วตำหนิ
“ข้าบอกว่าอย่าแสดงตัว!รีบปิดประตูเร็ว ไปคุยกันข้างใน”
เสียงประตูปิดดังพวกเขาเข้าไปในห้อง ห้องฝึกเงามายามีค่ายกลที่แข็งแกร่งติดตั้งเอาไว้ เนตรวิญญาณของซือหยูมิอาจมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทำได้แค่รอ
หลังจากผ่านไปไม่ถึงห้านาทีพยัคฆ์หยางได้ผลักประตูศิลาออกและเดินออกมา สีหน้าเขาดูเป็นกังวล
หลังจากซือหยูเห็นเขาออกจากห้องฝึกเงามายาซือหยูก็หยุดมองดูห้องและตามพยัคฆ์หยางที่เลือกเส้นทางห่างไกลเพื่อหวังจะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ยิ่งเขาไปไกลเท่าใดก็ยิ่งร้างคนเท่านั้น สุดท้ายพยัคฆ์หยางก็มาถึงพื้นที่ที่ห่างไกลไร้ผู้คน
ในตอนนั้นเองพยัคฆ์หยางขมวดคิ้วและหันไปด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“ท่านตามข้ามานานแล้วมีอะไรว่ามา!”
ณมุมหนึ่งในหนึ่งลี้ห่างออกไป ชายแก่ผมขาวเดินออกมา ซือหยูไม่แปลกใจที่ถูกเจอตัว เพราะเขาไม่ได้พยายามแอบเลย
“ซือหยูเซี่ยนรึ?”
พยัคฆ์หยางเบิกตากว้างเมื่อเห็นซือหยู
แต่เขาก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าตามข้ามาทำไม?ที่คนตลาดมืดเกลียดที่สุดก็คือการถูกแกะรอย!”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าจะเกลียดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับข้าข้ามีเรื่องจะถาม หวังว่าเจ้าจะมอบคำตอบที่ข้าพอใจ”
พยัคฆ์หยางหันกลับมาหาซือยหูเขากอดอกและมองอย่างเย็นชา
“ถามมา”
บรรยากาศที่เขาส่งออกมานั้นดูยิ่งใหญ่มันมากพอที่จะทำให้ศิษย์นอกทั่วๆไปหวาดกลัว นั่นก็เพราะเขาเป็นภูติระดับหก
“ข้าแค่อยากจะถามว่าสามคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่…”
ซือหยูถามอย่างใจเย็น
พยัคฆ์หยางเบิกตากว้างและตะคอกใส่
“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?ข้าจะฆ่าพวกมั…”
เขาหยุดพูดไปเมื่อตระหนักว่าซือหยูเพียงพยายามหาข้อมูลจากเขาเท่านั้นและไม่ได้คิดว่าเขาสังหารทั้งสามคนเลย!จากนั้นเขาจึงขมวดคิ้วตะโกน
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร!ถ้าไม่มีอะไร ข้าจะไปแล้ว”
ทันทีที่พยัคฆ์หยางหันกลับซือหยูก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเยือกเย็น
“ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าไปไหน…”
พยัคฆ์หยางไม่พอใจจนหัวเราะน่าขันนักที่ภูติระดับสามกล้าขู่เขา!
“การชนะขยะเฉาหลี่คงทำให้เจ้ามั่นใจมากสินะ”
พยัคฆ์หยางหัวเราะอย่างเย็นชาเมื่อมองซือหยูราวกับมองคนโง่ที่ลืมตัว
ซือหยูมองกลับไปด้วยความเวทนาแต่ถ้าหากเขารู้เหตุที่เฉาฉิงเฟิงอยากจะกำจัดซือหยูล่ะก็…เขาจะไม่มีทางหัวเราะออกมาเลย! เพราะซือหยูนั้นต่อสู้กับร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงในห้องฝึกเงามายา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับการพิสูจน์พลังต่อสู้ของเขา
“เห็นทีข้าต้องสั่งสอนเจ้าอีกครั้งว่าความแตกต่างของพลังเป็นยังไง!”
แสงสีน้ำเงินพุ่งออกจากหน้าผากพยัคฆ์หยางเมื่อเขาพูดมีร่างเงาช้างตัวใหญ่ที่มีพลังระเบิดออกมา
“ช้างเถื่อนจมธรณี!”
พยัคฆ์หยางตะโกนร่างเงาช้างพุ่งออกจากหน้าผากก้าวไปข้างหน้า
เท้าแต่ละข้างของมันมีพลังมหาศาลแต่ซือหยูไม่เกรงกลัว เขาปล่อยหมัดขวาใส่มัน
ปั้ง!
ร่างเงาช้างอันทรงพลังสลายไปอย่างง่ายดายราวกับกระดาษขณะที่หมัดซือหยูยังคงพุ่งไปยังลำตัวของพยัคฆ์หยาง
เมื่อหมัดกระทบตัวพยัคฆ์หยางกระเด็นลอยออกไปพร้อมกระอักเลือด พยัคฆ์ล้มลงไปกับพื้นด้วยความตกตะลึง
“เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?”
เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดภูติระดับสามถึงมีพลังมากกว่าเขา
ซือหยูไม่พูดพร่ำให้มากกว่านี้เขาเข้าไปเหยียบอกของพยัคฆ์หยางและมองรอบๆด้วยสายตาหนักแน่น
ผ่านไปนานก่อนที่เขาจะพูด
“ที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่แล้วที่นี่ก็งดงามดี เจ้าคงจะไม่เสียใจหากตายที่นี่…”
“ช้าก่อน!เราไม่ได้มีเรื่องบาดหมางต่อกัน ทำไมเจ้าต้องฆ่าข้า?”
พยัคฆ์หยางคิดอย่างหนักเพื่อหาเหตุผลให้ซือหยูไว้ชีวิต
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าพูดถูกเราไม่มีอะไรต่อกัน ถ้าเจ้าอยากจะโทษใครในเรื่องชะตาของเจ้า เจ้าก็จงโทษตัวเองที่เลือกผู้เป็นนายผิด”
จากนั้นซือหยูกดพลังที่เท้าเพิ่ม ขณะที่เขากำลังจะสังหารพยัคฆ์หยางนั้นเอง พยัคฆ์หยางสัมผัสเงาความตายของตัวเองได้และอ้อนวอน
“เดี๋ยว!อย่าฆ่าข้า! ข้าจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ!”
ซือหยูผ่อนแรงที่เท้าและตอบอย่างเยือกเย็น
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง…สามคนนั้นตายหรือยัง?”
ความหวาดกลัวถาโถมพยัคฆ์หยางแต่เขาก็กัดฟันตอบ
“ข้าทำตามคำสั่งพี่เฉาข้าปิดปากพวกมันแล้ว”
ขณะที่พูดเขายกนิ้วชี้ ศพสามร่างในแหวนถูกโยนออกมา ซือหยูใจหายเมื่อเห็นร่างของทั้งสาม
เขามาสายไปเฉาฉิงเฟิงชั่วช้าโหดร้ายไม่ไว้ชีวิตตัวหมาก
หากทั้งสามตายชางก่วนหยุนซื่อก็ต้องรับผิดชอบหนี้เต็มที่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยชางก่วนหยุนซื่อนอกจากจะหาห้าแสนคะแนนมา!
ในตอนนั้นเองซือหยูเกิดความคิด เขายิ้มมองพยัคฆ์หยางอีกครั้งพลางหัวเราะ
“เจ้าอยากจะมีชีวิตสินะ?”
พยัคฆ์หยางใจชื้นและพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
“ศิษย์น้องซือข้าจะทำตามคำสั่งเจ้าทุกอย่าง โปรดชี้แนะข้าได้เลย”
เป็นความจริงที่คนทรยศไม่มีความภักดีแท้จริงหากเขาหักหลังนักเลงหลงได้ เขาก็หักหลังเฉาฉิงเฟิงได้เช่นกัน
“ข้าไม่ต้องการอะไรเจ้าทำใจให้สบายก็พอ…อย่าขัดขืน”
พยัคฆ์หยางลังเลไปครู่หนึ่งแต่เมื่อซือหยูจ้องมองไม่วางตา เขาก็เลือกที่จะปล่อยวางจิตใจ หลังจากนั้น แสงสีเงินพุ่งออกจากดวงตาของซือหยูรุกล้ำเข้าไปยังวิญญาณของพยัคฆ์หยาง
พยัคฆ์หยางหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนดวงตาจะว่างเปล่าเขายืนขึ้นด้านหลังซือหยูราวกับหุ่นเชิด ซือหยูหัวเราะ
“หึหึที่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องเจอหากวางอุบายกับข้า!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+