The Divine Nine Dragon Cauldron

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซือหยูส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น

 

“ชีวิตเจ้าอยู่ในมือข้า ไม่ต้องพูดถึงสมบัติเจ้าเลย! ช่างเถอะ ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะได้ไม่เป็นปัญหาอีก ข้าจะคิดหาทางจัดการกับสมบัติของเจ้าทีหลัง”

 

เมื่อเห็นว่าซือหยูกำลังจะลงมืออีกครั้ง ดวงตาของชายหนุ่มผมขาวสั่นระริก

 

“เดี๋ยวสิ! ข้าจะให้เจ้า แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่ฆ่าข้า!”

 

ซือหยูหยุดคิดและพยักหน้าอย่างไม่แสแย

 

“ย่อมได้ แต่ถ้าเจ้าคิดจะทำอะไรแผลงๆ ข้าจะไม่ปรานี”

 

“เจ้ารักษาสัญญาก็ดีแล้ว! ข้าแค่อยากมีชีวิตรอดเท่านั้น!”

 

ชายหนุ่มผมขาวไม่พอใจอย่างมาก เขาหยิบเอาร่มวิเศษสุริยาม่วงออกมา โลหิตซึมออกมาจากสมบัติชิ้นนั้น

 

ร่มวิเศษสุริยาม่วงส่งเสียงร้องและกลับมาในสถานะไร้ผู้ถือครอง ชายหนุ่มผมขาวยกมือโยนมันให้กับซือหยู

 

ซือหยูตาลุกวาว เขาไม่รับร่มในทันที เขากลับสะบัดมือปัดร่มไปอีกทางในระยะพันศอก

 

ชายหนุ่มผมขาวชักสีหน้า

 

“ทำอะไรของเจ้า?”

 

ซือหยูตอบกลับด้วยสายตาเยือกเย็น

 

“เจ้า! มัน! รน! หา! ที่! ตาย!”

 

ซือหยูสะบัดดัชนีอีกครั้ง พลังวิญญาณพุ่งใส่ร่มวิเศษที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ ชั้นของเหลวสีดำพุ่งออกมาจากภายในร่มวิเศษ

 

มันคือน้ำพิษที่น่ากลัว! เมื่อมันออกมา ทุ่งหญ้าในระยะหลายหมื่นศอกได้กลายเป็นสีดำสนิทในทันที! ทุ่งหญ้าเขียวขจีถูกกัดกร่อนไปอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นของเหนวหนืดๆสีดำ

 

ส่วนบนพื้นที่อยู่ล่างร่มวิเศษนั้นเกิดหลุมยักษ์จากการกัดกร่อน! ด้วยพิษที่รุนแรงเช่นนี้ ถ้าซือหยูสัมผัสมันด้วยมือ เขาก็คงจะกลายเป็นก้อนเนื้อในไม่นาน!

 

เมื่อชายหนุ่มผมขาวถอนร่องรอยของตนในร่ม เขาก็แอบใส่หยดพิษลงในร่มวิเศษสุริยาม่วงเข้าไปพร้อมกัน เขาคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร แต่เขาไม่รู้เลยว่าเนตรวิญญาณนั้นมองได้ทุกสิ่ง การกระทำเล็กน้อยใดๆก็มิอาจรอดพ้นสายตาของซือหยู

 

ชายหนุ่มผมขาวหน้าซีดเผือด เขารีบถอยไปอย่างรวดเร็ว เขาตะโกนเสียงดัง

 

“ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถอะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว…”

 

“ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว!!”

 

ใบหน้าซือหยูเยือกเย็นราวน้ำแข็ง เขาประสานมือ กระบวนท่าเก้าหยินหยางถูกใช้อย่างสมบูรณ์

 

แสงเงาเติมเต็มนภาเป็นดั่งแหยักษ์ที่ไร้ช่องโหว่

 

ฟึ่บ–

 

ชายหนุ่มผมขาวถูกเฉือนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซือหยูยกมือยิงลูกไฟเผาร่างของเขาจนเป็นเถ้าถ่าน

 

จากนั้นเขาก็ใช้ไฟเผาร่มวิเศษสุริยาม่วงเพื่อเผาพิษที่หลงเหลือจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็รับมันมาไว้ในมือ

 

พร้อมกันนั้นซือหยูยังเรียกเรือบินเทวะออกมาและวางกังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางไว้ภายใน จากนั้นเขาก็ควบคุมเรือบินเตรียมจะบินขึ้นฟ้าอย่างไม่ลังเล

 

แต่ในตอนนั้นเองก็มีรังสีพลังอันน่ากลัวพุ่งเข้ามาจากระยะไกล พลังนั้นแข็งแกร่งจนเทียบได้กับพลังของทูตพันธนาการภูติ ซือหยูเห็นศีรษะที่มีเส้นผมสีโลหิต!

 

ซื่อหลิงที่เป็นหัวหน้ากลุ่มของคนที่เขากำลังต่อสู้นั้นกำลังแบกหญิงสาวไร้สติเข้ามา นางคือยู่จางที่สามารถรับมือกับพลังของภูติได้!

 

แม้แต่คนที่แข็งแกร่งเช่นนางก็พ่ายแพ้เพราะซื่อหลิงจนไม่รู้ว่านางเป็นหรือตาย! และซื่อหลิงในตอนนี้ยังโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารไร้ขอบเขต เขาบินเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

 

พรึ่บ–

 

เขามาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่พื้นและพบกับโครงกระดูกที่เพิ่งจะถูกเผา และยังเรือบินที่มีซือหยูอยู่ภายใน ตาของเขาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า

 

“เจ้าฆ่าซื่อหยาง!”

 

ซื่อหลิงร้องคำราม ดวงตาซีดของเขาจ้องมองซือหยูราวกับจะกลืนกิน!

 

ซือหยูเย็นจนตัวสั่น ความรู้สึกที่ได้จากซื่อหลิงนั้นแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิง! ซือหยูมองตาเขาและตัวสั่นด้วยความกลัว ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่ไม่ได้เป็นมนุษย์

 

ฮึก—

 

ในตอนนั้นเอง กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางร่างกระตุกขึ้นมา นั่นเป็นเพราะชายหนุ่มผมขาวที่ตายไปจึงทำให้ทั้งสองฟื้นตัวจากพลังที่กัดกิน

 

พวกเขามองดูรอบๆด้วยความสับสน แม้ว่าชายหนุ่มผมขาวจะตายไปแล้ว ซื่อหลิงที่แข็งแกร่งมากก็ปรากฏตัวขึ้นเผชิญหน้ากับซือหยูจากระยะไกล

 

พวกเขารีบลุกขึ้นและใบหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก

 

“น้องหิมะทมิฬ ชายผมขาวไปไหนแล้วเล่า?”

 

กังต้าเหล่ยมองดูรอบๆด้วยความระวัง วิชาลับของชายหนุ่มผมขาวนั้นแปลกและไร้เหตุผลอย่างมาก มันทำให้คนหมดสติไปอย่างลึกล้ำยากที่จะตื่น

 

และการรับมือกับซื่อหลิงผู้นี้ก็อันตรายมากอยู่แล้ว ถ้าชายหนุ่มผมขาวแอบซ่อนตัวอยู่ มันจะอันตรายอีกแค่ไหนกัน?

 

ซือหยูสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก เนตรวิญญาณของเขาจับจ้องไปที่ซื่อหลิง เขาไม่กล้าจะละสายตาแม้แต่ครั้งเดียว

 

“มันถูกฆ่าไปแล้ว”

 

อะไรนะ? ถูกฆ่าไปแล้วรึ?

 

กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางอ้าปากค้าง ดูจากคนที่นี่ คนที่จะสังหารชายหนุ่มผมขาวได้ก็มีแต่ซือหยูเท่านั้น!

 

ก่อนที่พวกเขาจะหมดสติ พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มผมขาวนั้นอ่อนแอกว่าเดิมไปมากเมื่อใช้วิชาลับ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนธรรมดาจะสังหารเขาได้!

 

ซือหยูซุกซ่อนพลังไว้อีกเท่าใดกัน? ซือหยูตาลุกวาว เขาวางมือลงบนเรือบินเทวะ เขาบังคับเรือให้บินหนี

 

ซือหยูใช้ความเร็วจนถึงจุดสูงสุด ความเร็วของมันเทียบได้กับขอบเขตภูติ แต่ที่แปลกก็คือเรือรบนั้นกลับหัวบินกลับไปอีกครั้ง!

 

มันหลุดการควบคุม! ไม่สิ มีคนอื่นกำลังควบคุมมัน!

 

“โลหิตข้าก็อยู่ในเรือนั่น!”

 

ซื่อหลิงพุ่งเข้าไป เสียงของเขาราวกับดังก้องมาจากนรก

 

กังต้าเหล่ยสีหน้าเคร่งเครียด

 

“เราต้องออกไปเท่านั้น เราเอาตัวรอดจากทูตพันธนาการภูติมาได้ เราจะตายด้วยมือของมันอีกงั้นเรอะ?”

 

ซือหยูชักสีหน้า เขาปรบมือเปลี่ยนเรือบินเทวะให้มีขนาดเล็กและเก็บมันเอาไว้ในคันฉ่องจักรวาลเพื่อป้องกันไม่ให้ซื่อหลิงได้ควบคุมเรืออีก

 

“เอาเลย!”

 

ฉินจิวหยางใช้คำสาปเชื่อมต่อซื่อหลิงกับเขา

 

ฉินจิวหยางกัดฟันเมื่อสัมผัสได้ว่าศัตรูนั้นแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ

 

“ข้าจะถ่วงเวลามัน เจ้าสองคนโจมตีด้วยทุกสิ่งที่มีซะ!”

 

ฉินจิวหยางใช้มือหนึ่งข้างสร้างผนึกพลังและในมืออีกข้างดึงปิ่นปักผมออกมา เขาใช้ปิ่นเจาะที่เท้าของตัวเองอย่างโหดร้าย

 

ร่างกายของซื่อหลิงที่กำลังพุ่งเข้ามาหยุดลงในทันที ขาขวาของเขาราวกับถูกปักติดไว้กับพื้นและขยับไม่ได้ เขาเห็นกังต้าเหล่ยกำลังคำรามด้วยความโกรธแค้น เสียงคำรามนั้นมาจากสายโลหิตมังกรที่ดูไม่ใช่เสียงของมนุษย์เลย

 

ร่างกายใหญ่ยักษ์ปะทะกับซื่อหลิงอย่างจัง ซือหยูเรียกร่างเทียมออกมาปล่อยการโจมตีจากต้นกำเนิดทั้งสองธาตุ

 

การโจมตีจากกังต้าเหล่ยและซือหยูเกิดขึ้นพร้อมกันโดยมุ่งเป้าไปยังซื่อหลิงที่มิอาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย!

 

เขาไม่แม้แต่จะใช้พลังวิญญาณปกป้องตัวเองได้ เพียงแค่ร่างกายที่มี…เขาจะรับการโจมตีอันน่ากลัวจากคนสองคนได้รึ?

 

ปั้ง–

 

แต่สีหน้าซือหยูก็เปลี่ยนไปมาก ทั้งการโจมตีของเขากับกังต้าเหล่ยนั้นไม่ต่างอะไรกับหมัดของคนธรรมดาที่ชกใส่แผ่นเหล็ก การโจมตีของพวกเขาทำได้แค่ทำลายเสื้อผ้าและทำให้เกิดหยาบโลหิตเล็กน้อยบนชั้นผิวเขาเท่านั้น!

 

จากนั้นยู่จางก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นรุนแรง นางคืนสติตื่นขึ้นมา จากนั้นนางก็รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางตะโกนร้องด้วยความกลัว

 

“หนีเร็ว!! ร่างกายเขาอยู่ในระดับของขอบเขตภูติ!”

 

“หึหึหึหึ…”

 

ซื่อหลิงหัวเราะเบาๆ

 

เสียงหัวเราะนั้นทรงพลังและเยือกเย็น

 

“รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”

ร่างของซื่อหลิงที่ถูกแช่แข็งสั่นสะเทือน!

 

อั่ก–

 

ฉินจิวหยางต้องรับการโจมตีที่ตามมา เอากระอักเลือดออกมา นิ้วนางของเขาหักดังลั่น เขาตัวสั่นอย่างรุนแรง ซือหยูกับกังต้าเหล่ยกระเด็นไปดั่งก้อนหิน พวกเขากระแทกกับพื้นที่ห่างออกไปหลายพันศอก

 

ซือหยูตกตะลึง ร่างกายของขอบเขตภูติ!

 

“แยกกันหนี!”

 

ซือหยูตะโกนอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้เลยที่การโจมตีของพวกเขาจะมีผลกับขอบเขตภูติ และคนที่ซื่อหลิงอยากจะไล่ตามก็คือซือหยู!

 

ถ้าพวกเขาหนีไปทั้งอย่างนี้ กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางก็อาจจะหนีได้สำเร็จ ทั้งสามพุ่งไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

 

แต่ซื่อหลิงนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขายิ้มจนเผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงกันอย่างงดงาม เขาไล่ล่าฉินจิวหยางเป็นคนแรก!

 

ทุกคนอ้าปากค้าง ฉินจิวหยางที่หนีไปไกลหมื่นศอกเพียงเห็นบางสิ่งที่เลือนลางจากด้านหน้า เขาแทบจะไม่เห็นเงาเส้นผมสีแดงที่ปรากฏและหายลับไปในเวลาต่อมา จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากที่ลำตัว

 

พละกำลังที่น่ากลัวทำให้เขากระเด็นออกไป! กังต้าเหล่ยนั้นหันกลับไปมองด้วยความตกตะลึง

 

“ตอนที่เจ้าหนี เจ้ายังมีเวลาหันไปมองดูอีกเรอะ?”

 

จู่ๆกังต้าเหล่ยก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย!

 

ซื่อหลิงที่เห็นว่ายังอยู่หน้าฉินจิวหยางนั้นกลับปรากฏตัวที่หน้ากังต้าเหล่ย หมัดใหญ่พุ่งเข้ามา

 

กังต้าเหล่ยกระเด็นออกไปเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่!

 

ปั้ง–

 

ฉินจิวหยางกับต้าเหล่ยกระเด็นพร้อมกัน พวกเขาปะทะกันเองอย่างรุนแรง ส่วนในจุดที่ปะทะกันก็คือจุดที่ทั้งคู่เริ่มหลบหนีก่อนหน้านี้!

 

ซือหยูหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นและอ้าปากค้าง! เขาเห็นร่างของซื่อหลิงปรากฏต่อหน้าฉินจิวหยางกับกังต้าเหล่ยแทบจะพร้อมกัน และทั้งสองก็ยังกระเด็นกลับมายังตำแหน่งเดิม!

 

นั่นไม่ใช่เพราะซื่อหลิงชำนาญในวิชาร่างเทียม แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขาเร็วเกินไป! เขาไปหาฉินจิวหยางก่อนและซัดลูกเตะ จากนั้นเขาจึงพุ่งไปที่หน้ากังต้าเหล่ยอย่างรวดเร็ว! การเคลื่อนไหวเหนือมนุษย์เช่นนี้ทำให้ซือหยูหวาดกลัวและอัศจรรย์ใจ!

 

ซื่อหลิงยิ้มเยาะ เขามองซือหยูอย่างเย็นชา

 

“ต่อไปก็เป็นเจ้า!”

 

ร่างของเขาหายไปทันที! ซือหยูตัวสั่น เขาใช้เนตรวิญญาณเพื่อมองดูรอบๆ

 

เขามองเห็นทุกสิ่งด้วยเนตรวิญญาณ คลื่นอากาศที่บิดเบี้ยวกับเงาปรากฏขึ้นมา เนตรวิญญาณนั้นมองผ่านทุกสิ่งอยู่เสมอ แต่ในครั้งนี้เขากลับมองเห็นแต่เพียงอากาศที่บิดเบี้ยวและไม่เห็นร่างกายของอีกฝ่าย

 

ความเร็วของซื่อหลิงน่ากลัวเกินไป มันเหนือจินตนาการของเขา! เพียงพริบตาเงาร่างนั้นก็ตามทันซือหยู หมัดใหญ่ที่มีพลังอันน่าตกใจปะทะกับร่างกายของเขา

 

ปั้ง–

 

หมัดปะทะกับเกราะราชาศิลานิรันดร์ เสียงดังลั่นดังขึ้นมา ซือหยูกระเด็นไปราวกับกระสุนปืนใหญ่

 

แต่เมื่อเขากระเด็น มีดเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาแทงซื่อหลิงอย่างป่าเถื่อน ซื่อหยิงไม่คิดเลยว่าซือหยูจะเห็นเส้นทางของเขาได้อย่างชัดเจน เขาจึงไม่ทันระวัง เขาถูกแทงด้วยมีดเกล็ดทองคำ

 

แกร๊ง แกร๊ง–

 

แต่มีดเกล็ดของคำที่เป็นสมบัติเทพอันคมกริบกลับทำได้แค่สร้างสะเก็ดไฟบนร่างของอีกฝ่าย! ซือหยูแอบเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ ร่างกายของขอบเขตภูติมันน่ากลัวเพียงใดกัน?

 

ซื่อหลิงนั้นฉาบใบหน้าด้วยจิตสังหารที่ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม เขาพุ่งเข้าใส่ซือหยูที่กำลังกระเด็นจากนั้นจึงใช้สันมือแทนคมมีดซัดใส่ซือหยู ด้วยร่างกายของภูติ ซือหยูต้องตายในทันทีอย่างแน่นอน!

 

ซือหยูตาเป็นประกาย เขาขยับมือและก็มีสายฟ้าอันน่ากลัวออกมาจากคันฉ่องจักรวาล เขาจะออมมือไม่ได้อีกแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Divine Nine Dragon Cauldron

Now you are reading The Divine Nine Dragon Cauldron Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ด้านในเรือรบ

 

หลังจากที่พักมาครึ่งเดือน เซี่ยจิงหยูฟื้นฟูพลังวิญญาณและพลังกายอย่างเต็มที่ หลังจากที่ลาจ้าวคณะฉิว นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะไปยังห้องของฉินเซี่ยนเอ๋อ

 

“พี่ยี่หยู!”

 

เมื่อเห็นว่าจ้าวยี่หยูเข้ามา ฉินเซี่ยนเอ๋อก็พุ่งเข้าหาอ้อมแขนของยี่หยูอย่างสบายใจ นางยิ้มราวกับเด็กเอาแต่ใจ

 

หลังจากที่อยู่ร่วมกันมาครึ่งเดือน พวกนางได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันในไม่นาน เซี่ยจิงหยูทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่นางก็มองฉินเซี่ยนเอ๋อด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกลาเจ้า”

 

เซี่ยจิงหยูพูดและลูบหัวนาง นางถอนหายใจ

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อแววตาหม่นหมอง นางรู้สึกเดียวดายอยู่บ้าง แต่ความเดียวดายนั้นก็ถูกปิดบังจากรอยยิ้มและคำพูดอันซุกซน

 

“หึหึ อย่างไรเราก็ได้เจอกันอีกอยู่ดี นายอาจารย์บอกว่าจะให้ข้าไปกระโจมเทพสวรรค์ ข้าจะได้เจอกับพี่ยี่หยูที่นั่น”

 

เซี่ยจิงหยูยิ้มออกมาเช่นกัน

 

“ฝึกฝนให้ดีล่ะ ถ้าพวกเราเจอกันที่กระโจมเทพสวรรค์ เราอาจจะต้องชักกระบี่เข้าใส่กัน หากถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ออมมือ”

 

“หึหึ พี่สาวยี่หยูยังไม่เคยเห็นข้าสู้มาก่อนเลย จะเอาชนะข้าได้จริงๆรึ?”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อหัวเราะอย่างลึกลับ

 

“แล้วก็…”

 

ในตอนนั้น ฉินเซี่ยนเอ๋อนึกถึงอะไรบางอย่างและหยิบเอาตำราเล่มสีดำออกมาจากกระเป๋า มันคือตำราจรัสสวรรค์ที่บันทึกทุกอย่างจากเซี่ยจิงหยูตั้งแต่ที่นางมายังทวีปเฉินหลง ตำรานั้นถูกปิดเอาไว้และไม่เคยถูกเปิด นั่นหมายความว่าเซี่ยนเอ๋อไม่เคยเปิดดูมันเลย

 

“พี่ยี่หยู พี่เอามันให้กับพี่ซือหยูเองเถอะ”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อพูดและยื่นตำราไป แววตานางสดใสดั่งแก้วและยิ้มแย้ม

 

เซี่ยจิงหยูมองฉินเซี่ยนเอ๋ออย่างอ่อนโยนยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าตำราไม่ได้ถูกแอบเปิด นางนิ่งเงียบไปและไม่ได้เอาตำรากลับมา แต่นางกลับหัวเราะอย่างโล่งใจ

 

“สิ่งที่ข้าจะมองเห็นได้อยู่ข้างในนั้นหมดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าครั้งนี้ข้าจะมีชีวิตรอดจากกระโจมเทพสวรรค์หรือไม่ ถ้าเจ้ารอดมาได้ ก็ช่วยข้าส่งตำราเล่มนี้ให้ซือหยูเถอะ”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อย่นจมูก

 

“พี่สาวยี่หยูดีกับพี่ซือหยูเหลือเกิน”

 

เซี่ยจิงหยูยิ้ม แต่ความรู้สึกขมขื่นก็เอ่อล้นออกมา ไม่ว่านางจะดีแค่ไหน แล้วจะมีประโยชน์อันใด? ชีวิตนี้ ทั้งเขาและนางมิได้ลิขิตให้ครองคู่กัน

 

แต่เมื่อนางก้มหน้ามองใบหน้าไร้เดียงสาของฉินเซี่ยนเอ๋อ ความรู้สึกที่ดีก็เอาชนะความริษยาไป เซี่ยจิงหยูพูดหยอก

 

“เซี่ยนเอ๋อ ถึงข้าจะทำกับพี่ซือหยูเช่นนี้ เจ้าก็ไม่รู้สึกอะไรเลยรึ? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะชิงพี่ซือหยูไปจากเจ้าหรอกรึ?”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อตัวแข็งทื่อ นางหันหน้าไปอีกด้าน ไม่นานนางก็ถามกลับอย่างประหลาด

 

“ทำไมพี่ยี่หยูจะแย่งพี่ซือหยูไปล่ะ? พี่ยี่หยูก็ชอบพี่ซือหยูเหมือนกันรึ?”

 

ใบหน้าเซี่ยจิงหยูแดงระเรื่อ นางฝืนยิ้ม

 

“แล้วถ้าข้าชอบพี่ซือหยูเล่า? เจ้าจะทำอย่างไร?”

 

เซี่ยนเอ๋อหุบยิ้ม นางถือตำราจรัสสวรรค์ไว้แน่น นางก้มหน้าราวกับขัดขืนอะไรบางอย่างและลังเล ผ่านไปนาน นางเงยหน้าและยิ้มอย่างงดงาม

 

“พี่ยี่หยูจะชอบพี่ซือหยูกับเซี่ยนเอ๋อก็ได้ เซี่ยนเอ๋อไม่ว่าอะไรหรอก”

 

เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างอ่อนโยน นางย่อตัวลงลูบหัวฉินเซี่ยนเอ๋อ นางจะไม่รู้เลยรึว่าฉินเซี่ยนเอ๋อนั้นทั้งฝืนใจและลังเล?

 

ในโลกใบนี้ สตรีคนใดกันจะยินดีแบ่งคู่ครองร่วมกับคนอื่น? ฉินเซี่ยนเอ๋ออาจจะปฏิเสธนางไม่ได้เพราะตำราจรัสสวรรค์ ดังนั้นนางจึงต้องยอมรับแม้จะขัดต่อหัวใจตัวเอง

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่สาวก็มีคนที่พี่สาวชอบเหมือนกัน พี่ไม่แย่งพี่ซือหยูไปจากเจ้าหรอก”

 

เซี่ยจิงหยูหัวเราะ

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อหน้าแดง นางก้มหน้าและเดินออกไปอย่างเขินอาย

 

“ข้าไม่ว่าอะไรจริงๆนะ…”

 

แต่เสียงของนางก็อ่อนลงเรื่อยๆจนแสดงให้เห็นความรู้สึกผิดในหัวใจ เซี่ยจิงหยูหัวเราะและไม่พูดอะไร จากนั้นนางจึงหยิบเอาผลก้นบึ้งมังกรทั้งสิบลูกออกมา

 

ก่อนหน้านี้ที่ต่อสู้กับอสุรา นางได้มันมามากมาย ฉินเซี่ยนเอ๋อดูเหมือนจะยังขาดอีกหนึ่งหรือสองลูก เพราะอย่างไรผลก้นบึ้งมังกรที่ได้เกินมานั้นก็ไม่มีประโยชน์ นางให้มันกับเซี่ยนเอ๋อเสียจะดีกว่า

 

“ข้าจะให้เจ้าหมดนี่ ก่อนไปที่กระโจมเทพสวรรค์ จงเป็นผู้คุมสวรรค์ให้ได้ เจ้าจะได้มีพลังปกป้องตัวเอง”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อดีใจมาก

 

“ขอบคุณนะพี่ยี่หยู!”

 

หลังจากที่คุ้นเคยกันแล้ว ฉินเซี่ยนเอ๋อก็รับมันมาทั้งหมดโดยไม่ได้พูดอะไร นางเก็บหนึ่งลูกไว้ในกระเป๋าซ้ายและเอาที่เหลือใส่กระเป๋าขวา

 

เซี่ยจิงหยูประหลาดใจเล็กน้อย

 

“เซี่ยนเอ๋อ ข้าอยากจะรู้ตั้งแต่ที่ก้นบึ้งมังกรแล้ว ทำไมเจ้าถึงแบ่งผลก้นบึ้งมังกรเป็นสองส่วนเล่า?”

 

ฉินเซี่ยนเอ๋อลังเล นางปิดประตูหน้าต่างจนสนิทแน่น จากนั้นจึงนำผลก้นบึ้งมังกรทั้งหมดจากสองกระเป๋าออกมา

 

กระเป๋าซ้ายส่วนใหญ่จะเป็นผลที่ไม่สมบูรณ์ กระเป๋าขวานั้นมีแต่ลูกที่สมบูรณ์ มันถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อย

 

เซี่ยจิงหยูเห็นดังนั้นจึงเข้าใจ นางยิ้มและชมเชย

 

“เจ้าฉลาดจริงๆ ผลของโอสถจากลูกที่ไม่สมบูรณ์จะหายไปมาก หากแยกกันไว้ เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่าจะปรุงโอสถที่สมบูรณ์แบบได้”

 

แต่นางก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งที่เห็นฉินเซี่ยนเอ๋อนั่งหน้าโต๊ะและปกป้องเหล่าผลก้นบึ้งมังกรเอาไว้ราวกับปกป้องสมบัติ นางส่ายหน้า

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผลที่ไม่สมบูรณ์นั่นเป็นของข้า ส่วนผลที่สมบูรณ์จะเป็นของพี่ซือหยู”

 

นางพูดต่อ

 

“พี่ซือหยูบ่มเพาะพลังเพียงลำพัง พี่ซือหยูจะต้องขาดทรัพยากรแน่ ข้าปรารถนาจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพี่ซือหยู หึหึ แล้วก็ ข้าก็ยังมีโอสถเหลืออยู่อีกมากเลย เป็นโอสถเพิ่มฐานพลังที่ข้าได้มาจากอาจารย์ เมื่อถึงเวลา ข้าจะเอาให้พี่ซือหยูด้วย!”

 

ใบหน้าของนางดูมีความสุขเมื่อพูด เซี่ยจิงหยูรู้สึกตกตะลึงและประทับใจอย่างมาก

 

ในสองกระเป๋า หนึ่งข้างนั้นถูกเตรียมไว้เพื่อซือหยูโดยเฉพาะ นางคิดถึงซือหยูอยู่ตลอดเวลา

 

เซี่ยจิงหยูยิ้ม นางยิ้มอ่อนๆและพูดกับตัวเอง

 

“ไม่มีโอกาสให้ข้าเลยจริงๆ…”

 

นางเคยคิดว่าความรู้สึกต่อซือหยูจากฉินเซี่ยนเอ๋อจะหายไปบ้างเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าเป็นเช่นนั้น นางก็คงยังจะพอมีโอกาส แต่หลังจากที่ได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกราวกับสูญเสียโอกาสนั้นไป

 

“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งคู่จะมีความสุข ลาก่อน เซี่ยนเอ๋อ”

 

เซี่ยจิงหยูพยายามยิ้มและบอกลา นางโบกมือ

 

แต่เมื่อนางหันกลับไป นางก็แอบพูดอีกประโยค

 

“ลาก่อน…ซือหยู”

 

เมื่อเซี่ยจิงหยูออกจาเรือรบ ความรู้สึกเดียวดายก็ปกคลุมจิตใจนางในไม่นาน

 

การมองดูความรุ่งเรืองของทวีปเฉินหลงแทนซือหยูอย่างที่สัญญาไว้นั้นก็เป็นดั่งโซ่ตรวนที่พันธนาการทั้งคู่มาเป็นเวลานาน สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือทั้งคู่ต้องลืมซึ่งกันและกัน กลับไปยังหนทางดั่งสายวารีของตนเอง

 

 

เหนือมหาสมุทร ซือหยูรีบเดินทางตลอดสามวันโดยไม่หยุดพักและกำลังจะถึงก้นบึ้งมังกรเก้านรก แต่เขาก็ยังไม่กลับไปที่ก้นบึ้งมังกรในทันที เขาร่อนลงบนเกาะปะการังแห่งหนึ่ง

 

“ยังเหลืออีกหกวันก่อนจะถึงเวลานัด ก่อนหน้านั้นข้าจะต้องบ่มเพาะพลังก่อน”

 

ตลอดการเดินทางที่แล้ว เขาได้โอสถบาดาลอมตะที่หายากมาครอง นอกจากนั้นเขาก็ยังได้แหวนทองปราบมารที่เป็นสมบัติวิญญาณมาอีกด้วย!

 

พลังของสมบัติวิญญาณนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ ราชาปีศาจที่แข็งแกร่งทรงพลังก็ถูกพันธนาการด้วยแหวนวงนี้ ซือหยูนั้นถูกเล็งเป้าจากภูติสวรรค์จากตี๋เก้อ แหวนทองปราบมารนี้มาได้ถูกเวลายิ่งนัก!

 

แต่ก็น่าเสียดายที่แหวนนี้ถูกชายแก่ในภาพเขียนชำระไปแล้ว ซือหยูก็ใช้หยดหมื่นพลที่มีไปจนหมด เขามิอาจชำระแหวนทองปราบมารได้

 

ถ้าเขาฝืนใช้แหวนทองปราบมารไป มันก็ต้องลดพลังลงกว่าที่เคยเห็น ยากที่เขาจะทำให้ราชาปีศาจกลัวได้ นอกเหนือจากนั้นเขาก็ยังได้แผนที่ลับสวรรค์ที่ชายแก่ในภาพเขียนพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้มันมาครอง

 

ดังนั้นมันจึงเป็นของที่สำคัญมากที่สุด แต่ก็น่าเสียดายที่ซือหยูยังไม่รู้วิธีใช้มัน เขาทำได้แค่เก็บมันเอาไว้

 

สุดท้ายคือชุดเกราะทมิฬ แก้วพลังชีวิตที่ฝังอยู่ตรงกลางนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทวีปเฉินหลงจะมีได้ และชุดเกราะนี้ยังแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ แม้ว่ามันจะเสียหายและส่วนหัวใจถูกเปิด มันก็ยังนับว่าเป็นสุดยอดชุดเกราะ

 

แต่ซือหยูก็ไม่รู้ว่ามันจะป้องกันได้มากแค่ไหน เขาต้องทดสอบมันด้วยการต่อสู้จริง ซือหยูเก็บของทั้งหมดและเอาโอสถก้นบึ้งมังกรออกมา

 

เขามองโอสถก้นบึ้งมังกรอันสมบูรณ์แบบด้วยความคาดหวัง ฐานพลังของเขาหยุดอยู่ที่อำมฤตระดับสี่ขั้นสูงมานาน และนี่ก็เป็นเวลาที่เขาจะได้ทะลวงพลังขั้นถัดไป!

 

เขาหายใจเข้าลึกและจัดท่าทางตัวเองให้สบาย เขาอ้าปากกลืนโอสถลงไป ก้อนพลังเยือกเย็นจนถึงกระดูกเข้าสู่จุดกำเนิดพลังในพริบตา

 

ในจุดกำเนิดพลัง พลังวิญญาณที่เข้าปะทะกับพลังอันเยือกเย็นได้รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จุดกำเนิดพลังของเขาเจ็บปวดถึงขีดสุด ซือหยูกัดแน่นแน่นจนส่งเสียงขบกัดออกมา

 

หยดเหงื่อเม็ดโตผุดจากใบหน้าที่ซีดไปอย่างมาก พลังวิญญษณในร่างของเขาถูกบีบอัดจนเต็มที่ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น!

 

ในวารีวิญญาณนั้นมีแก้วเล็กๆที่เกิดจากการบีบอัด มันคือแก้วพลังวิญญาณ!

 

เมื่อเวลาผ่านไป แก้วพลังวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ในตอนนั้นเอง ที่เบื้องบน เมฆดำสนิทก่อตัว สายฟ้าเห็นอยู่ประปราย มันคำรามอย่างต่อเนื่องราวกับเตรียมการบางอย่าง

 

ซือหยูรู้สึกถึงมัน เขาเงยหน้ามองดูนภาและชักสีหน้า

 

“ไม่เลิกไม่ราเลยรึไงกัน!”

 

ซือหยูในตอนนี้ใช้พลังทั้งหมดในการทะลวงพลัง ดังนั้นแล้ว…เขาจะมีพลังวิญญาณจากไหนมารับมือกับสายฟ้าที่ก่อตัวอย่างไม่มีเหตุผลเล่า?

 

ที่หลายหมื่นลี้ไกลออกไป

 

ชายแก่เมามายเหยียบศิลาก้อนใหญ่ เขาดื่มเหล้าอย่างเคย แต่จู่ๆใบหน้านั้นก็เคร่งเครียด เขามองไปยังขอบนภาด้วยตัวแข็งทื่อ

 

พรึ่บ–

 

เสียงสะท้อนก้องนภา คนหนุ่มสองคนปรากฏตัวพร้อมกัน เขาสวมชุดอย่างเรียบง่าย ที่ปกเสื้อนั้นปักอักษร ฉิน เอาไว้

 

“ผู้เฒ่าจิว มีคนพยายามจะเข้าสู่ขอบเขตภูติงั้นรึ?”

 

คนพูดคือชายหนุ่มที่บินนำเข้ามา ฐานพลังของเขาอยู่ที่ระดับกึ่งเทพ! และเขายังอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี!

 

พรสวรรค์เช่นนี้พูดได้เลยว่าน่ากลัวนัก!

 

ชายแก่ขี้เมาจ้องมองขอบนภาและส่ายหน้าเบาๆ

 

“ไม่ใช่ คนคนนั้นกำลังจะเป็นผู้คุมสวรรค์”

 

ชายหนุ่มตกใจ

 

“ท่านผู้เฒ่า ผู้คุมสวรรค์คนนี้ก็ทำให้เกิดวิบัติสวรรค์ได้งั้นรึ? ไม่น่าเชื่อเลย!”

 

ชายแก่ขี้เมาหัวเราะ

 

“นี่ก็เป็นครั้งแรกของข้าเหมือนกัน คงต้องเป็นพวกเด็กที่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ลืมไปซะเถอะ รอให้เจ้าหนูนั่นกลับมาเถอะ”

 

ชายหนุ่มทั้งสองโค้งคำนับให้ชายแก่ ทั้งสองยืนอยู่คนละด้านและไม่พูดอะไรออกมาอีก

 

ในตอนนั้น ซือหยูกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุด…

 

วารีวิญญาณในร่างได้เปลี่ยนแปลงเป็นแก้วจากการบีบอัดของโอสถ แก้วเหล่านั้นได้มารวมตัวกัน

 

แต่ในตอนนั้นเอง สายฟ้าที่ก่อตัวมานานก็เริ่มคำรามลั่น มังกรสายฟ้าหนาร้อยศอกได้คำรามพุ่งลงมาราวกับปรารถนาจะทำลายทั้งเกาะปะการัง

 

ซือหยูที่อยู่ส่วนลึกของเกาะนั้นคำรามด้วยความโกรธแค้น เขารีบใช้ชุดเกราะปกคลุมร่างกาย สายฟ้าลงมาปะทะเสียงดัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+