The Great Geneticist in Apocalypse 47 แลกเลือด

Now you are reading The Great Geneticist in Apocalypse Chapter 47 แลกเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่47 แลกเลือด

 

“แฮก แฮก แฮก” เรย์ลินหอบหายใจเหนื่อย

 

เบื้องหน้าเป็นร่างของสัตว์อสูรที่ตายแล้ว มันคือกิ้งก่าจระเข้พสุธาที่สภาพดูเอนจอนาถมากเขาของมันขาดสองข้างหางหายไปซึ่งตอนนี้กลายเป็นขนมปุยฝ้ายสีชมพูอยู่ในอุ้งมือของเหมียนเหมียนที่กําลังเคียวแก้มตุ่ยอยู่ ตาทั้งสองข้างของมันล้วนถูกแทงจากของแหลมคมโลหิตไหลออกมาจากดวงตาเหมือนกับมันกําลังร้องไห้เป็นสายเลือด ในขณะที่บริเวณข้อต่ออย่างข้อเท้า ลําคอ ก็มีแผลจากของมีคมกรีดไป

 

ตั้งแต่เริ่มสู้เรย์ลิน สเกียและเหมียนเหมียนต่างช่วยกันรุมมันอยู่นานสองนานเนื่องจากทั้งเรย์ดินและสเกียต่างชอบการลอบโจมตีพวกเขาไม่ถนัดกับอะไรที่มีการป้องกันดีเยี่ยมอย่างกิ่งกาจรเข้พสุธาแบบนี้ มันชอบแสกหนามศิลาขึ้นมาจากใต้ดินหรือไม่ก็เกราะดินมันขวางทางการลอบโจมตีของพวกเขาอย่างมากและเผลอๆจะโดนหนามศิลาเสียบซะเองด้วยแน่นอนว่าเพราะว่ามีเหมียนเหมียนช่วยเสกหนามศิลาให้กลายเป็นขนมปุยฝ้ายก่อนที่จะมาถึงตัวพวกเขาเลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรและเกล็ดของมันก็แข็งมากทําให้จุดสําคัญที่จะโจมตีได้ยิ่งน้อยลงไปอีกพวกเขาต้องคอยหายตัวแล้วหาจังหวะโจมตีบวกกับการใช้ทักษะฝันร้ายทําให้มันเกิดภาพหลอนและเผลอเปิดช่องว่างแล้วค่อยๆโจมตีตัดการมองเห็นการเคลื่อนไหวฯลฯไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ฆ่ามันได้

 

“แฮก แฮก แฮก สู้กับระดับ13ในขณะที่ตัวเองระดับ9ถึงจะมีคนช่วยก็เหอะแต่ก็ยังยากอยู่ดีขนาดว่าเรามีสองธาตุนะเนี่ยไม่งั้นสงสัยจะฟันไม่เข้าด้วยซ้ําเกล็ดมันแข็งจริงๆ” เรย์ลินอดไม่ได้ที่จะชมเชยในพลังป้องกันของมันเรียกได้ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มีพลังป้องกันที่สูงมากมันไม่เหมาะกับสไตล์การต่อสู้ของเขาจริงๆ

 

“ทางนั้นยังสู้ไม่เสร็จอีกหรอ” เรย์ลินหันไปทางที่เบลซกําลังต่อสู้อยู่ไกลช่วยไม่ได้ตอนนี้เขาเหนื่อยมากแล้วก็ไม่คิดว่าจะช่วยได้ด้วยแค่แรงกดดันของกิ้งก่ารุกข์วารี เขาก็รู้เลยว่ามันคนละระดับกัน เรย์ลินเดินไปทางสเกียที่กําลังนอนอยู่บนหญ้าและล้มตัวลงนอนโดนเอาท้องของมันเป็นหมอนรองหัวในขณะที่เหมียนเหมียนยังคงแทะขนมปุยฝ้ายที่ทํามาจากหางของกิ้งก่าจรเข้พสุธา

 

“แคร้ง แคร้ง แคร้ง แคร้ง ฉีก แคร้ง แคร้ง”

 

“ทําไมมันหนังหนาขนาดนี้วะเนี่ย” เบลซอดไม่ได้ที่จะสบทเขาสู้กับมันมานานแล้วกิ้งก่ารุกข์วารีโจมตีเบลซในแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นกรงเล็บที่เคลื่อนด้วยพลังธาตุวารีเบียน้ําแรงดันสูงควบคุมหญ้าให้เจริญเติบโตมัดเท้าของเบลซก่อนแล้วค่อยโจมตี หรือพ่นกระสุนน้ําแรงดันสูงใส่ แต่ก็ไม่สามารถผ่านการป้องกันของเถาพิษโลหิตทั้งเจ็ดของเบลซได้ ในขณะเดียวกันเบลซก็โจมตีสวนกลับไป เข้าทั้งแทงทั้งฟาดเถาพิษโลหิตไปหลายรอบแต่ก็สร้างได้แค่แผลตื้นๆเท่านั้นจํานวนพิษกัดกร่อนที่เข้าไปก็น้อยตามด้วย แผลแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะฆ่ามันได้เค้าคงต้องโจมตีไปยังจุดเดิมซ้ําๆอีกหลายที่มันถึงจะตายแต่ว่าเขาก็ใช้แรงไปราวๆครึ่งนึงแล้วได้ยังแทบจะโจมตีไม่โดนจุดเดิม

เลย

 

ความจริงตอนนี้เบลซอยากจะล้มเลิกแผนการแล้วค่อยกลับมายึดใหม่แต่ว่าเขาไม่สามารถทําเช่นนั้นได้เพราะตอนกลางคืนนั้นเอาตัวรอดยากกว่ามากต่อให้ไปหาบ้านอยู่ชั่วคราวก็ตามและถ้าเขาลากถึงวันพรุ่งนี้พวกสัตว์อสูรที่นี้ระดับจะไม่ใช้เท่านี้อีก ถ้าเป็นสัตว์อสูรทั่วๆไปก็คงจะพัฒนาไม่มากคงเพิ่มแค่ระดับเดียว แต่ว่ามันต่างกันกับสัตว์อสูรที่พิทักษ์ฐานศักยภาพในการพัฒนาของมันมากกว่ามากถ้าเขากลับมาสู้กับมันวันพรุ่งนี้ระดับของมันคงเพิ่มราวๆ2-4ระดับ ด้วยสิ่งมีชีวิตสีเขียวอ่อนที่เท่ากันเบลซคงไม่สามารถสร้างบาดแผลให้มันได้อีกแล้วยกเว้นจะวิวัฒนาการเป็นสีเขียวซึ่งก็ใช้เวลานานเกินไปและถ้าเขาไปหาบ้านอยู่ชั่วคราวตอนกลางคืนก็ต้องมีคนเฝ้าเขาจะไม่สามารถพักผ่อนเต็มที่ได้ยิ่งทําให้โอกาจะได้กลับมายดฐานอีกครั้งยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่

 

ความจริงในโลกของจางหลงกว่าฐานจะถูกยึดครั้งแรกก็ปาไปเป็นเดือนแล้วและยังใช้คนเป็นจํานวนมากด้วยนอกจากนี้ยังมีอาวุธจากกองทัพบางอย่างที่ไม่ขัดกับกฎอีก ที่เบลซใช้คนจํานวนแค่นี้และทําได้ขนาดนี้เพราะว่าเขาอาศัยความอ่อนแอในช่วงแรกสุดของวันนี้และทําให้กลุ่มของเขามีผู้วิวัฒนาการพลังธาตุหลายคน รวมถึงตัวเขาเองที่ดูดซับคริสตัลธาตุอย่างบ้าคลั่งจนเป็น

 

วิวัฒนาการเป็นสีเขียวอ่อนในวันแรกอย่างคาดไม่ถึงและการอาศัยช่องโหว่ในตอนแรกทําให้ได้คริสตัลสามธาตุมาและความบังเอิญของเถาพิษโลหิตที่ให้ธาตุพิษเฉพาะที่เข้ากันกับตัวเขาพอดี

 

สรุปง่ายๆคือ ถ้าเบลซจะยึดฐานนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วและแทบจะเป็นโอกาสเดียวแล้วไม่งั้นมันคงจะอีกนานมากหรือไม่เขาก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อของพวกสัตว์อสูรก่อน

 

“ตายเป็นตายละวะ” เบลซคิดพลางเรียกเถาพิษโลหิตทั้งเจ็ดกลับมาแต่เข้าไม่ได้เรียกกลับมาเตรียมโจมตีแต่ว่าเข้าเรียกมันกลับมันพันไปตามส่วนต่างๆของร่างกายเขายกเว้นบริเวณข้อต่อ

 

ไม่นานเถาพิษโลหิตทั้งเจ็ดก็เก็บหนามบางส่วนที่จะทิมเบลซและเหลือไว้เฉพาะที่อยู่นองตัว และงอกใบออกมาปกป้องส่วนต่างๆที่เหลือของร่างกาย

 

ดูไปดูมาแล้วมันก็คล้ายๆกับเกราะที่ทําจากเถาพิษโลหิตนั้นแหละ

 

“อย่างน้อยๆก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนโจมตีส่วนสําคัญของร่างกายจนถึงตาย” เบลซคิดในใจก่อนที่เพลิงอัสนี้จะลุกขึ้นในมือของเขา

 

ตอนนี้เพลิงนั้นยังเหมือนเพลิงสีส้มแดงแบบตอนแรกแต่ว่ารอบๆมันมีประกายสีเขียวอ่อนเพิ่มขึ้นมาและรังสีความร้อนที่รุนแรงกว่าเก่าเกือบเท่าตัว ในขณะที่สายฟ้ายังคงเป็นสีเหลืองแต่ว่าเกิดประกายสีม่วงวิบวับไปรอบๆเส้นสายฟ้า

 

“ฟิวววว” เสียงลู่ล้มเบลซเข้าไปปะทะกับกิ้งก่ารุกข์วารีแบบซึ่งๆหน้า!

 

“ในเมื่อเถาพิษโลหิตเบาไปงั้นก็ต้องหาอะไรที่แรงกว่ามาจัดการแกนั้นแหละ!”

 

“โฮก!” ก่ารุกข์วารีเมื่อเห็นว่าเบลซพุ่งเข้ามาหามันก็คํารามด้วยความเย้ยหยั่นมันยอมรับว่าเถาโลหิตนั้นสามารถคุกคมมันได้แต่ตัวเบลซเอง? บอบบางเกินไป!

 

แต่มันก็ไม่ได้ประมาทถึงขั้นให้เบลซเข้ามาโจมตีมันดื้อๆ เพราะว่ามันก็เห็นรังสีกดดันทางพลังชีวิตของเบลซนั้นเป็นระดับสีเขียวอ่อนเหมือนกับมันถึงแม้จะดูเบาบางกว่าก็ตาม

 

กิ้งก่ารุกข์วารีใช้กรงเล็บข้างหนึ่งของมันเคลือบวารีแรงดันสูงตะปบเข้าหาเบลซทันที

 

“ตูม เปรียะ ฟูว ตูม ตูม ตูม” เสียงระเบิดเปลวเพลิงโชติช่วงและการปะทุของอัสนีดังลั่นไปทั่วนอกจากนี้ยังมีเก็ดของไฟและสายฟ้ากระเด็นไปรอบในรัศมี 5เมตรของการปะทะด้วย

 

“โฮกกกกก” กิ้งก่ารุกข์วารีคํารามด้วยความเจ็บปวดและโกรธสุดขีดมันเองก็แอบตะลึงนิดๆมันไม่คิดว่าเบลซที่ร่างกายบอบบางจะระเบิดพลังได้น่ากลัวขนาดนี้เกล็ดของมันปริแตกบางส่วน เท้าข้างที่ตะปบไปเมื่อเกิดอาการชาจากสายฟ้าเล็บข้องหนึ่งฉีกขาดและไฟที่ลุกไหม้ตามรอยปริแตกตามเกล็ดของมัน

 

“อัก!!”

 

ในขณะเดียวกันเบลซก็ถูกการโจมตีของมันกระแทกเข้าไปที่อกเต็มๆครั้งนึง เบลซกระเด็นออกไปไกลกว่า 10 เมตรถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่เป็นอะไรเพรามีการป้องกันที่แน่นหนะของเถาพิษโลหิตแต่ด้วยแรงที่มหาศาลก็ทําให้เถ้านึ่งที่ปกป้องบริเวณอกเป็นรอยลึกเบลซรูปสึกได้ถึงความเจ็บแสบที่ส่งผ่านมาทางเส้นประสาทและความจุกเสียดที่เกิดจากการถูกกกระแทกอย่างแรง เบลซรู้สึกถึงกลิ่นเลือดคาวหวานพุ่งขึ้นมาออกมาจากลําคอ

 

เบลซกลิ้งไปตามพื้นสองสามตลบก่อนจะลุกขึ้นเขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดูผิวหนังแตกหลายที่ บางทีถึงขั้นเห็นกระดูกเลือดแน่นอนว่าท่วมแทบจะทั้งมือสาเหตุที่เขาไม่เอาเถาพิษโลหิตมาป้องกันที่มือเพราะว่าพลังธาตุไฟและสายฟ้าของเขาจะเผาทําลายเถาก่อนที่จะออกมาจากมือหรือง่ายๆก็คือเขาไม่สามารถใส่ไว้ที่มือได้เพราะไฟจะไหม้เถานั้นเองแต่เบลซก็ยิ้มอย่างมีนัยยะ

 

“พิษหัวใจขาว” เบลซเรียกเม็ดพิษสีขาวมารวมกันบริเวณแผลไม่นานเลือดก็จับตัวกันและแผลก็ตกสเก็ดด้วยความเร็วแบบทันตาเห็น ถึงแม้ว่าเลือดจะยังท่วมมือคู่นี้ของเขาอยู่แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

“โฮก!?” ไม่นานกิ้งก่ารุกข์วารีก็เกิดอาการตกตะลึงอยู่ดีๆความรู้สึกของขาหน้าข้างหนึ่ง(ซ้าย)ของมันก็หายไป 

 

ใช่แล้วมันเป็นข้างที่มันใช้สู้กับหมัดเพลิงอัสนีของเบลซนั้น เอง

 

เบลซแสยะยิ้มด้วยความกรุ่มกริ่ม เขาเริ่มจะได้เปรียบแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

The Great Geneticist in Apocalypse 47 แลกเลือด

Now you are reading The Great Geneticist in Apocalypse Chapter 47 แลกเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่47 แลกเลือด

 

“แฮก แฮก แฮก” เรย์ลินหอบหายใจเหนื่อย

 

เบื้องหน้าเป็นร่างของสัตว์อสูรที่ตายแล้ว มันคือกิ้งก่าจระเข้พสุธาที่สภาพดูเอนจอนาถมากเขาของมันขาดสองข้างหางหายไปซึ่งตอนนี้กลายเป็นขนมปุยฝ้ายสีชมพูอยู่ในอุ้งมือของเหมียนเหมียนที่กําลังเคียวแก้มตุ่ยอยู่ ตาทั้งสองข้างของมันล้วนถูกแทงจากของแหลมคมโลหิตไหลออกมาจากดวงตาเหมือนกับมันกําลังร้องไห้เป็นสายเลือด ในขณะที่บริเวณข้อต่ออย่างข้อเท้า ลําคอ ก็มีแผลจากของมีคมกรีดไป

 

ตั้งแต่เริ่มสู้เรย์ลิน สเกียและเหมียนเหมียนต่างช่วยกันรุมมันอยู่นานสองนานเนื่องจากทั้งเรย์ดินและสเกียต่างชอบการลอบโจมตีพวกเขาไม่ถนัดกับอะไรที่มีการป้องกันดีเยี่ยมอย่างกิ่งกาจรเข้พสุธาแบบนี้ มันชอบแสกหนามศิลาขึ้นมาจากใต้ดินหรือไม่ก็เกราะดินมันขวางทางการลอบโจมตีของพวกเขาอย่างมากและเผลอๆจะโดนหนามศิลาเสียบซะเองด้วยแน่นอนว่าเพราะว่ามีเหมียนเหมียนช่วยเสกหนามศิลาให้กลายเป็นขนมปุยฝ้ายก่อนที่จะมาถึงตัวพวกเขาเลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรและเกล็ดของมันก็แข็งมากทําให้จุดสําคัญที่จะโจมตีได้ยิ่งน้อยลงไปอีกพวกเขาต้องคอยหายตัวแล้วหาจังหวะโจมตีบวกกับการใช้ทักษะฝันร้ายทําให้มันเกิดภาพหลอนและเผลอเปิดช่องว่างแล้วค่อยๆโจมตีตัดการมองเห็นการเคลื่อนไหวฯลฯไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ฆ่ามันได้

 

“แฮก แฮก แฮก สู้กับระดับ13ในขณะที่ตัวเองระดับ9ถึงจะมีคนช่วยก็เหอะแต่ก็ยังยากอยู่ดีขนาดว่าเรามีสองธาตุนะเนี่ยไม่งั้นสงสัยจะฟันไม่เข้าด้วยซ้ําเกล็ดมันแข็งจริงๆ” เรย์ลินอดไม่ได้ที่จะชมเชยในพลังป้องกันของมันเรียกได้ว่าสัตว์อสูรพวกนี้มีพลังป้องกันที่สูงมากมันไม่เหมาะกับสไตล์การต่อสู้ของเขาจริงๆ

 

“ทางนั้นยังสู้ไม่เสร็จอีกหรอ” เรย์ลินหันไปทางที่เบลซกําลังต่อสู้อยู่ไกลช่วยไม่ได้ตอนนี้เขาเหนื่อยมากแล้วก็ไม่คิดว่าจะช่วยได้ด้วยแค่แรงกดดันของกิ้งก่ารุกข์วารี เขาก็รู้เลยว่ามันคนละระดับกัน เรย์ลินเดินไปทางสเกียที่กําลังนอนอยู่บนหญ้าและล้มตัวลงนอนโดนเอาท้องของมันเป็นหมอนรองหัวในขณะที่เหมียนเหมียนยังคงแทะขนมปุยฝ้ายที่ทํามาจากหางของกิ้งก่าจรเข้พสุธา

 

“แคร้ง แคร้ง แคร้ง แคร้ง ฉีก แคร้ง แคร้ง”

 

“ทําไมมันหนังหนาขนาดนี้วะเนี่ย” เบลซอดไม่ได้ที่จะสบทเขาสู้กับมันมานานแล้วกิ้งก่ารุกข์วารีโจมตีเบลซในแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นกรงเล็บที่เคลื่อนด้วยพลังธาตุวารีเบียน้ําแรงดันสูงควบคุมหญ้าให้เจริญเติบโตมัดเท้าของเบลซก่อนแล้วค่อยโจมตี หรือพ่นกระสุนน้ําแรงดันสูงใส่ แต่ก็ไม่สามารถผ่านการป้องกันของเถาพิษโลหิตทั้งเจ็ดของเบลซได้ ในขณะเดียวกันเบลซก็โจมตีสวนกลับไป เข้าทั้งแทงทั้งฟาดเถาพิษโลหิตไปหลายรอบแต่ก็สร้างได้แค่แผลตื้นๆเท่านั้นจํานวนพิษกัดกร่อนที่เข้าไปก็น้อยตามด้วย แผลแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะฆ่ามันได้เค้าคงต้องโจมตีไปยังจุดเดิมซ้ําๆอีกหลายที่มันถึงจะตายแต่ว่าเขาก็ใช้แรงไปราวๆครึ่งนึงแล้วได้ยังแทบจะโจมตีไม่โดนจุดเดิม

เลย

 

ความจริงตอนนี้เบลซอยากจะล้มเลิกแผนการแล้วค่อยกลับมายึดใหม่แต่ว่าเขาไม่สามารถทําเช่นนั้นได้เพราะตอนกลางคืนนั้นเอาตัวรอดยากกว่ามากต่อให้ไปหาบ้านอยู่ชั่วคราวก็ตามและถ้าเขาลากถึงวันพรุ่งนี้พวกสัตว์อสูรที่นี้ระดับจะไม่ใช้เท่านี้อีก ถ้าเป็นสัตว์อสูรทั่วๆไปก็คงจะพัฒนาไม่มากคงเพิ่มแค่ระดับเดียว แต่ว่ามันต่างกันกับสัตว์อสูรที่พิทักษ์ฐานศักยภาพในการพัฒนาของมันมากกว่ามากถ้าเขากลับมาสู้กับมันวันพรุ่งนี้ระดับของมันคงเพิ่มราวๆ2-4ระดับ ด้วยสิ่งมีชีวิตสีเขียวอ่อนที่เท่ากันเบลซคงไม่สามารถสร้างบาดแผลให้มันได้อีกแล้วยกเว้นจะวิวัฒนาการเป็นสีเขียวซึ่งก็ใช้เวลานานเกินไปและถ้าเขาไปหาบ้านอยู่ชั่วคราวตอนกลางคืนก็ต้องมีคนเฝ้าเขาจะไม่สามารถพักผ่อนเต็มที่ได้ยิ่งทําให้โอกาจะได้กลับมายดฐานอีกครั้งยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่

 

ความจริงในโลกของจางหลงกว่าฐานจะถูกยึดครั้งแรกก็ปาไปเป็นเดือนแล้วและยังใช้คนเป็นจํานวนมากด้วยนอกจากนี้ยังมีอาวุธจากกองทัพบางอย่างที่ไม่ขัดกับกฎอีก ที่เบลซใช้คนจํานวนแค่นี้และทําได้ขนาดนี้เพราะว่าเขาอาศัยความอ่อนแอในช่วงแรกสุดของวันนี้และทําให้กลุ่มของเขามีผู้วิวัฒนาการพลังธาตุหลายคน รวมถึงตัวเขาเองที่ดูดซับคริสตัลธาตุอย่างบ้าคลั่งจนเป็น

 

วิวัฒนาการเป็นสีเขียวอ่อนในวันแรกอย่างคาดไม่ถึงและการอาศัยช่องโหว่ในตอนแรกทําให้ได้คริสตัลสามธาตุมาและความบังเอิญของเถาพิษโลหิตที่ให้ธาตุพิษเฉพาะที่เข้ากันกับตัวเขาพอดี

 

สรุปง่ายๆคือ ถ้าเบลซจะยึดฐานนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วและแทบจะเป็นโอกาสเดียวแล้วไม่งั้นมันคงจะอีกนานมากหรือไม่เขาก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อของพวกสัตว์อสูรก่อน

 

“ตายเป็นตายละวะ” เบลซคิดพลางเรียกเถาพิษโลหิตทั้งเจ็ดกลับมาแต่เข้าไม่ได้เรียกกลับมาเตรียมโจมตีแต่ว่าเข้าเรียกมันกลับมันพันไปตามส่วนต่างๆของร่างกายเขายกเว้นบริเวณข้อต่อ

 

ไม่นานเถาพิษโลหิตทั้งเจ็ดก็เก็บหนามบางส่วนที่จะทิมเบลซและเหลือไว้เฉพาะที่อยู่นองตัว และงอกใบออกมาปกป้องส่วนต่างๆที่เหลือของร่างกาย

 

ดูไปดูมาแล้วมันก็คล้ายๆกับเกราะที่ทําจากเถาพิษโลหิตนั้นแหละ

 

“อย่างน้อยๆก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนโจมตีส่วนสําคัญของร่างกายจนถึงตาย” เบลซคิดในใจก่อนที่เพลิงอัสนี้จะลุกขึ้นในมือของเขา

 

ตอนนี้เพลิงนั้นยังเหมือนเพลิงสีส้มแดงแบบตอนแรกแต่ว่ารอบๆมันมีประกายสีเขียวอ่อนเพิ่มขึ้นมาและรังสีความร้อนที่รุนแรงกว่าเก่าเกือบเท่าตัว ในขณะที่สายฟ้ายังคงเป็นสีเหลืองแต่ว่าเกิดประกายสีม่วงวิบวับไปรอบๆเส้นสายฟ้า

 

“ฟิวววว” เสียงลู่ล้มเบลซเข้าไปปะทะกับกิ้งก่ารุกข์วารีแบบซึ่งๆหน้า!

 

“ในเมื่อเถาพิษโลหิตเบาไปงั้นก็ต้องหาอะไรที่แรงกว่ามาจัดการแกนั้นแหละ!”

 

“โฮก!” ก่ารุกข์วารีเมื่อเห็นว่าเบลซพุ่งเข้ามาหามันก็คํารามด้วยความเย้ยหยั่นมันยอมรับว่าเถาโลหิตนั้นสามารถคุกคมมันได้แต่ตัวเบลซเอง? บอบบางเกินไป!

 

แต่มันก็ไม่ได้ประมาทถึงขั้นให้เบลซเข้ามาโจมตีมันดื้อๆ เพราะว่ามันก็เห็นรังสีกดดันทางพลังชีวิตของเบลซนั้นเป็นระดับสีเขียวอ่อนเหมือนกับมันถึงแม้จะดูเบาบางกว่าก็ตาม

 

กิ้งก่ารุกข์วารีใช้กรงเล็บข้างหนึ่งของมันเคลือบวารีแรงดันสูงตะปบเข้าหาเบลซทันที

 

“ตูม เปรียะ ฟูว ตูม ตูม ตูม” เสียงระเบิดเปลวเพลิงโชติช่วงและการปะทุของอัสนีดังลั่นไปทั่วนอกจากนี้ยังมีเก็ดของไฟและสายฟ้ากระเด็นไปรอบในรัศมี 5เมตรของการปะทะด้วย

 

“โฮกกกกก” กิ้งก่ารุกข์วารีคํารามด้วยความเจ็บปวดและโกรธสุดขีดมันเองก็แอบตะลึงนิดๆมันไม่คิดว่าเบลซที่ร่างกายบอบบางจะระเบิดพลังได้น่ากลัวขนาดนี้เกล็ดของมันปริแตกบางส่วน เท้าข้างที่ตะปบไปเมื่อเกิดอาการชาจากสายฟ้าเล็บข้องหนึ่งฉีกขาดและไฟที่ลุกไหม้ตามรอยปริแตกตามเกล็ดของมัน

 

“อัก!!”

 

ในขณะเดียวกันเบลซก็ถูกการโจมตีของมันกระแทกเข้าไปที่อกเต็มๆครั้งนึง เบลซกระเด็นออกไปไกลกว่า 10 เมตรถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่เป็นอะไรเพรามีการป้องกันที่แน่นหนะของเถาพิษโลหิตแต่ด้วยแรงที่มหาศาลก็ทําให้เถ้านึ่งที่ปกป้องบริเวณอกเป็นรอยลึกเบลซรูปสึกได้ถึงความเจ็บแสบที่ส่งผ่านมาทางเส้นประสาทและความจุกเสียดที่เกิดจากการถูกกกระแทกอย่างแรง เบลซรู้สึกถึงกลิ่นเลือดคาวหวานพุ่งขึ้นมาออกมาจากลําคอ

 

เบลซกลิ้งไปตามพื้นสองสามตลบก่อนจะลุกขึ้นเขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดูผิวหนังแตกหลายที่ บางทีถึงขั้นเห็นกระดูกเลือดแน่นอนว่าท่วมแทบจะทั้งมือสาเหตุที่เขาไม่เอาเถาพิษโลหิตมาป้องกันที่มือเพราะว่าพลังธาตุไฟและสายฟ้าของเขาจะเผาทําลายเถาก่อนที่จะออกมาจากมือหรือง่ายๆก็คือเขาไม่สามารถใส่ไว้ที่มือได้เพราะไฟจะไหม้เถานั้นเองแต่เบลซก็ยิ้มอย่างมีนัยยะ

 

“พิษหัวใจขาว” เบลซเรียกเม็ดพิษสีขาวมารวมกันบริเวณแผลไม่นานเลือดก็จับตัวกันและแผลก็ตกสเก็ดด้วยความเร็วแบบทันตาเห็น ถึงแม้ว่าเลือดจะยังท่วมมือคู่นี้ของเขาอยู่แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

“โฮก!?” ไม่นานกิ้งก่ารุกข์วารีก็เกิดอาการตกตะลึงอยู่ดีๆความรู้สึกของขาหน้าข้างหนึ่ง(ซ้าย)ของมันก็หายไป 

 

ใช่แล้วมันเป็นข้างที่มันใช้สู้กับหมัดเพลิงอัสนีของเบลซนั้น เอง

 

เบลซแสยะยิ้มด้วยความกรุ่มกริ่ม เขาเริ่มจะได้เปรียบแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+