The Great Worm Lich 168

Now you are reading The Great Worm Lich Chapter 168 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมาจนกระทั่งเกือบเที่ยงวัน ในที่สุดทีน่าก็ตื่นจากการนอนหลับ ในเวลานี้จางลี่เฉินกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงและฝึกฝนทักษะลับเป็นครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลง

 

ตอนนี้เขากลายเป็นพ่อมดระดับ 6 แล้ว ทุกครั้งที่เขาสร้างความก้าวหน้าในการพัฒนาคาถาประตูแห่งความตาย เขาจะต้องเปลี่ยนร่างและสังเวยสัตว์อาคม

 

คุณภาพของสัตว์อาคมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกตามล่า หากไม่มีคาถา “แปลงร่าง” ที่เขาได้รับเมื่อครั้งขึ้นระดับ 2 โดยไม่มีเลือดและเนื้อสัตว์เพียงพอที่จะสนับสนุน มันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับพ่อมดที่จะได้รับสัตว์อาคมตัวหนึ่งที่จะมีอำนาจรอบรู้ไปตลอดชีวิต สำหรับพวกเขาแล้วหนอนแปลกโบราณถือเป็นตำนาน

 

ด้วยเหตุนี้ ประการแรกเนื่องจากเหตุผลที่สัตว์อาคมสามารถกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากดังนั้นพวกมันจะต้องเป็นสิ่งมีค่า

 

ประการที่สอง เมื่อพ่อมดได้ขึ้นไปถึงระดับ 12 เขาจะสามารถควบคุมความสามารถ “คาถารวมศิลปะการต่อสู้” ได้ โดยปกติแล้วหลังจากที่พ่อมดบ่มเพาะทักษะคาถาประตูแห่งความตายจะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในระดับที่ 6 ทั้งรูปแบบการต่อสู้และวิธีการฝึกฝนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกือบ 180 องศาจากการพึ่งพาของสัตว์อาคมเช่นเดียวกันกับทักษะลับที่ชายหนุ่มได้รับมา

 

ตอนนี้การฝึกฝนของเขาไม่จำเป็นต้องสร้างการไหลเวียนภายในและภายนอกกับสัตว์อาคมอีกต่อไป เขาเพียงต้องการสมาธิและสงบใจเท่านั้น หมอกควันได้ลอยออกมาจากหลังของเขาขณะบ่มเพาะทักษะ ก่อร่างเป็นมันนี่โทดที่กลืนกินท้องฟ้าก่อนจะสลายตัวเพื่อสร้างเป็นภาพปีศาจในขณะที่ดึงพลังพ่อมดในร่างกายของชายหนุ่มให้เพิ่มขึ้น

 

หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหมอกควันที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม จางลี่เฉินที่เหมือนจะรู้สึกตัวได้ว่าถูกจ้องมองจึงลืมตาตื่นขึ้นมา

 

หมอกควันที่อยู่ข้างหลังเขาหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อจางลี่เฉินหันหน้ามา “อรุณสวัสดิ์ทีน่า”

 

“อรุณสวัสดิ์ที่รัก ที่ด้านหลังของนาย…” หญิงสาวเปลือยกายลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปจูบยามเช้าให้กับชายหนุ่ม

 

“ด้านหลังผมทำไม?”

 

“มันมีควันอะไรก็ไม่รู้ลอยออกมา แล้วก็กลายเป็นภาพปีศาจที่มีหัวและฟันขนาดใหญ่ก่อนที่จะกลายเป็นคางคกอีกครั้ง แล้วควันนั้นก็หายไปตอนที่นายกำลังจะหันหน้ามา”

 

“อย่างนั้นเหรอ? มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้กลายเป็นพ่อมดระดับ 6 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ทีน่า ผมต้องคุยกับคุณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วยการพึ่งพาพลังของเมานท์โทด ร่างกายผมได้เปลี่ยนไป…”

 

จางลี่เฉินบอกทุกอย่างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเขาให้ทีน่าฟัง “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในสนามกีฬาเมื่อคืนทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี ผมไม่ต้องการให้ความลับของผมหลุดออกไป ไม่อย่างนั้นคนอื่น ๆ ก็จะปฏิบัติต่อผมเหมือนสัตว์ประหลาด”

 

“ที่รัก ฉันขอโทษ เป็นความผิดของฉันเองที่ยืนยันจะให้นายไปดูการแข่งขันเมื่อคืนนี้ให้ได้”

 

“ผมไม่โทษคุณหรอกทีน่า อะไรก็จะเกิดมันก็ต้องเกิดในที่สุด หลังการเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ความดุร้ายอันทรงพลังของผมจะไม่ปรากฏออกมา หากพลังของผมแสดงออกมาเมื่อไหร่คนอื่นก็จะสังเกตเห็นมันได้ สิ่งที่ผมต้องการพูดคุยกับคุณในตอนนี้คือมีบางคนบนอินเทอร์เน็ตช่วยหาข้อแก้ตัวโดยบอกว่ามันเป็นเทคนิคการต่อสู้แบบโบราณที่เรียกว่ากังฟู คุณคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะใช้สิ่งนี้ไว้อ้างเวลาเกิดเรื่อง?”

 

“แน่นอนที่รัก แต่ถ้านายคิดจะใช้แผนนี้ไปตลอดอย่างน้อย ๆ นายก็ต้องมีทักษะกังฟูจริง ๆ ติดตัวบ้างนะ”

 

“โอ้ ใช่ คุณพูดถูก! ผมควรไปโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เพื่อเรียนรู้การต่อยมวยจีน การทำเช่นนั้นอาจเป็นการดีสำหรับผมที่จะได้ควบคุมความแข็งแกร่งทางร่างกายได้โดยเร็วที่สุดอีกด้วย ยืงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!” ตาของชายหนุ่มเบิกบานทันทีที่เขานึกถึงคำบอกเล่าของแมดดี้ได้ เขาพยักหน้าแล้วพูดเสริมต่อว่า “ใช่แล้วทีน่า ผมอยากกลับไปประเทศจีนในช่วงวันหยุดฤดูหนาวนี้ คุณอยากจะไปกับผมไหม?”

 

“โอ้ ลี่เฉิน ฉันอยากให้นายมากับฉันที่บอสตันหลังจากวันคริสต์มาสนี้จัง ปีนี้เป็นวันหยุดฤดูหนาวครั้งแรกของฉันหลังจากได้เข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ดังนั้นในการเข้าร่วมกับกลุ่มสมาคมหญิงสาว ทริช ชีล่าและฉันจะต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยก่อนเพื่อจับฉลากและทำภารกิจต่าง ๆ”

 

“ห้ะ? ดูเหมือนว่า ‘ดั๊กลิน’ จะไม่เฉิดฉายในบอสตันเท่านิวยอร์กงั้นสินะ”

 

“แต่ถ้านามสกุลของฉันไม่ใช่ดั๊กลินฉันจะไม่สามารถเข้าร่วมสมาคมหญิงสาวในปีแรกของฉันได้เลย ฮาร์วาร์ดถูกสร้างขึ้นก่อนหน้าสหรัฐฯอีกนะ ฮาร์วาร์ดต้องมาก่อนอเมริกาสิ ประเพณีบางอย่างก็ยังต้องได้รับการเคารพต่อไป”

 

“โอ้ อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นผมก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับประเทศจีนเพียงลำพัง หวังว่าจะไม่มี “บุ๊คมาร์ค” ใด ๆ ปรากฏในเสฉวนตะวันตก …”  เมื่อจางลี่เฉินคิดถึงสิ่งนี้ เขาจึงได้หารือกับทีน่าเกี่ยวกับอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่ยังคงปรากฏอยู่ในทุกวัน คราวนี้หญิงสาวไม่มีคำแนะนำที่ดีให้ได้อีกต่อไปเพราะเธอเองก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากการใช้ชีวิตไปตามปกติและค่อยขยับตัวพร้อมกับมาตรการตอบโต้เมื่อมีสิ่งร้ายเกิดขึ้น

 

แน่นอนว่าข้อสรุปนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของชายหนุ่ม “สรุปแล้วพลังของผมยังอ่อนแอเกินไปและผมก็ทำได้แค่รอให้เรื่องร้าย ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นมาก่อน…”

 

“ที่รัก นายเพิ่งมาอเมริกาได้แค่ปีครึ่งเท่านั้นเองนะ! แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วด้วย ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของนาย อย่าไปกดดันตัวเองมากจนเกินไปเลยนะ…” ทีน่าปลอบโยนจางลี่เฉินก่อนจะเริ่มพาชายหนุ่มเข้าห้องน้ำแล้วใช้วิธีที่ตรงที่สุดเพื่อบรรเทาอารมณ์ที่หดหู่ของเขา

 

หลังการพัวพันที่น่าหลงใหลผ่านพ้นไป ทั้งคู่ก็เดินออกจาห้องมาพร้อมกัน เนื่องจากเหตุผลที่ว่าจางลี่เฉินกลัวว่าแม่ของเขาจะไปที่ศูนย์สุขภาพแอปเปิ้ลไอส์แลนด์เพื่อรับเขากลับบ้านในวันออกจากโรงพยาบาลเขาจึงขอตัวกลับบ้านก่อนโดยไม่ได้ร่วมทานอาหารกลางวันด้วยกัน

 

ไม่กี่วันต่อมา ชาวอเมริกันทั้งหมดต่างดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแห่งความสุขของช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จางลี่เฉินจะขัดความสุขในตอนนี้โดยการขอกลับประเทศจีน ดังนั้นเขาจึงยังอยู่ในนิวยอร์กเพื่อให้แต่ละวันผ่านไป

 

เขาไม่ได้มีความกระตือรือร้นกับวันหยุดของฝั่งตะวันตกเช่นวันคริสต์มาสเท่าไหร่นัก นอกเหนือจากการไปเจอกับทีน่า ตรวจดูรอบ ๆ โรงงานแล้วเขาก็เริ่มคิดที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของจีน

 

โรงฝึกวิชาศิลปะป้องกันตัวที่เขาจะไปคือสถานที่ที่แมดดี้เคยกล่าวถึงซึ่งเป็นของดร.ซ่งที่เคยยืดกระดูกให้เขามาก่อน เขาจะสอนกังฟูทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์เพื่อลูกชายที่กำลังตกงาน

 

จางลี่เฉินยังจำชายชราชาวอเมริกันเชื้อสานจีนที่อ้วนเตี้ยกับผมบางคนนั้นได้ดี ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขายังชื่นชมเทคนิคศัลยกรรมกระดูกที่มีประสิทธิภาพของเขาอีกด้วย ที่ประเทศจีน ทักษะการแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพและศิลปะการต่อสู้ไม่เคยจะแยกออกจากกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์แผนจีนมักจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเจาะเส้นเลือดของมนุษย์ พลังงานที่สำคัญและเลือดจึงเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่นี่

 

เมื่อแมดดี้เสร็จสิ้นการสอบของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กก็ได้พาจางลี่เฉินไปยังร้านอาหารไก่เผ็ดที่ไชน่าทาวน์อีกครั้งในช่วงบ่ายของวันเสาร์

 

เมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปในร้านอาหารสไตล์จีนที่แปลกตา คนที่พวกเขาเห็นไม่ใช่ชายชราร่างอ้วนเตี้ยของอย่างดร.ซ่งแต่อย่างใด แต่เป็นหญิงวัยกลางคนที่สง่างามและผอมบางที่สวมชุดกี่เพ้า

 

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเป็นแมดดี้เธอก็ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะทักทายเธอไปด้วยรอยยิ้ม “แมดดี้ เธอนี่เอง อยากกินอะไรสั่งมาได้เลยนะ! ได้ข่าวว่าไปทำงานในสำนักงานใหญ่เลยหรอ! นอกจากนี้ยังได้เงินเดือน100,000 ดอลลาร์ต่อปีอีกใช่ไหม! … เธอพอจะแนะนำดายองพี่ใหญ่ของเธอให้ไปทำงานในที่ดี ๆ แบบนั้นบ้างจะได้ไหม เขาจะได้มีรายได้ที่มั่นคง…”

 

“ฉันไม่ได้มาเพื่อทานอาหารหรอกค่ะป้าคอนนี่ ฉันมาหาดร.ซ่งเพื่อจะเรียนกังฟู”

 

“โอ้ เรียนกังฟูงั้นเหรอ? งั้นก็พาเพื่อนของเธอขึ้นไปชั้นบนได้เลย ตอนนี้ลุงซ่งของเธอกำลังสอนอยู่น่ะ ถ้าเพื่อนของเธอต้องการเรียนกังฟูจริง ๆ ฉันสามารถขอให้เขามอบส่วนลดให้เธอได้นะ” คอนนี่กล่าวด้วยความเป็นมิตรและหลักแหลมอย่างที่ไม่เหมือนใครของหญิงชาวเมืองจีน

 

“ขอบคุณค่ะ งั้นพวกเราขอขึ้นไปข้างบนก่อน” จากนั้นแมดดี้ก็รีบดึงจางลี่เฉินตรงขึ้นไปที่ชั้นสองผ่านบันไดในทันที

 

ชั้นสองและชั้นหนึ่งของร้านอาหารไม่ได้มีขนาดแตกต่างกันมากนัก เดิมทีชั้นสองเคยเป็นห้องอาหารแต่ตอนนี้มันได้รับการทำความสะอาดและปกคลุมด้วยเสื่อทาทามิหนาเพื่อกลายเป็นห้องโถงสำหรับโรงฝึกวิชาศิลปะการป้องกันตัวไป

 

ที่ชั้นสองมีคนประมาณ 10 คนที่ต่างช่วงวัยกันเพื่อมาเข้าเรียน โดยมีตั้งแต่เด็กรุ่น ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่วัย 30 พวกเขากำลังยืนฟังชายชราอ้วยเตี้ยงที่กำลังตะโกนเสียงดัง “สิ่งที่ฉันจะสอนต่อไปนี้ก็คือทักษะดั้งเดิม – กำปั้น พวกเธอจะได้เรียนรู้กันแบบจริงจังและฉันจะไม่ยอมให้พวกเธอทุกคนใช้เงินไปอย่างไร้ค่า ก่อนหน้านี้ฉันเคยเป็นนักเรียนคนแรกของมหาวิทยาลัยแพทย์ตะวันตกเฉียงใต้ในสาขาวิทยาศาสตร์การนวดจีน ฉันศึกษากับมิสเตอร์ซ่งจิ๋นฟ้าและเขาศึกษาก็ได้กับมิสเตอร์หวางโบเนี่ยนซึ่งเป็นรุ่นที่เจ็ดของตระกูลหมัดทะลวงยุคออร์โธดอกซ์ ฉันเคยพูดมาแล้วว่าหมัดทะลวงนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์จีไจ๋ในช่วงต้นราชวงศ์ชิงซึ่งได้รวมกับความคิดของเส้าหลินเข้าด้วยกันเป็นรวมรูปแบบหอกปรองดองทั้งหกเข้ากับระบบศิลปะการต่อสู้ของเยว่อู๋ก่อนที่จะเปลี่ยนจากเทคนิคหอกมาเป็นเทคนิคกำปั้น …”

 

“อาจารย์กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ?” เด็กบางคนในหมู่นักเรียนถามออกมาเสียงดังเป็นภาษาอังกฤษพร้อมส่งเสียงหัวเราะ

 

ถ้าเป็นโรงฝึกมืออาชีพใหญ่ ๆ คงไม่มีนักเรียนคนใดจะกล้าทำตัวให้เป็นปัญหา อย่างไรก็ตามสำหรับโรงฝึกในหมู่บ้านที่เปิดอยู่ด้านบนของร้านอาหารมันเป็นเรื่องธรรมดาที่นักเรียนจะมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น

 

ดร.ซ่งหน้าแดงด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกถึงหลานชายที่ต้องการเงินอยู่ตลอดเวลาเขาจึงบังคับตัวเองให้ต้องอดทน “ฉันเคยพูดมาก่อนแล้วว่าหมัดทะลวงมีองค์ประกอบ 5 อย่างซึ่งก็คือ สับ, เจาะ, บด, ปะทุ และไขว้

 

วิถีทางแบบสัตว์ 10 ตัวอย่างมังกร เสือ… เหยี่ยวและนกนางแอ่น …การเคลื่อนไหวของมือเป็นสไตล์การต่อสู้ขั้นพื้นฐานและเพื่อให้มีฐานที่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือท่ายืน…”

 

“แต่ท่ายืน ‘ชานติชี่’ มันเหนื่อยเกินไป! เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่อต้องยืนด้วยท่านี้”

 

“ศีรษะเอียง คอหด ท่าที่ไม่ถูกต้อง … จุดศูนย์ถ่วงไม่สมดุล จังหวะเท้าช้า นี่เป็นข้อผิดพลาด 10 อันดับแรกในการฝึกมวยจีน” หลังจากดร. ซ่งพูดหลายคำออกไปด้วยความเวทนาเขาก็อดไม่ได้ที่จะแผดเสียงไปว่า “หากพวกเธอยังยืนด้วยท่าที่ผ่อนคลาย พวกเธอก็จะกลายเป็นพวกหัวแตงโม**แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันสิ้นโลกก็ตาม!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น เหล่านักเรียนอายุมากที่เข้าใจความหมาย ‘หัวแตงโม’ ที่เป็นคำหยาบคายก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันที “มิสเตอร์ซ่ง! มันไม่เหมาะที่คุณจะพูดแบบนั้นนะ! ไม่แปลกใจที่คุณไม่มีนักเรียนระยะยาวทุกครั้งที่คุณเปิดสอนศิลปะการต่อสู้! ช่างเป็นการศึกษาที่หยาบคายและล้าหลัง … ”

 

“จริงอยู่ที่ว่าฉันไม่มีนักเรียนระยะยาว แต่บอกฉันมาสิ ว่ามีนักเรียนคนไหนที่ตั้งใจฟังฉันแล้วไม่สามารถต่อสู้หรือแม้แต่ทะยานได้ หลังผ่านไป 2 – 3 เดือน มันก็เป็นเพราะพวกเขาเองที่ไม่มีความพยายามในการฝึกฝนมากพอ และถ้าฉันไร้ประโยชน์จริง ๆ พวกเธอก็คงไม่จ่ายเงินเพื่อเข้ามาเรียนกับฉัน … “

 

เมื่อจางลี่เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังชายชราเห็นที่ว่าเขาโกรธมากถึงขั้นใช้คำว่า “แม้แต่ทะยาน” ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา

 

“ใครหัวเราะ? ใครกัน?” เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านหลัง ดร.ซ่งซึ่งกำลังดิ้นรนต่อความอัปยศอดสูก็ได้หันกลับไปมองและคำราม

 

“ฉันเองลุง ยังจำฉันได้ใช่ไหม? คนที่มาให้คุณยืดกระดูกให้เมื่อปีที่แล้ว” จางลี่เฉินตอบกลับเป็นภาษาจีนกลาง

 

“โอ้ เธอนั่นเองพ่อหนุ่ม” ดร.ซ่งยังจำได้ว่าแมดดี้พาเพื่อนคนนี้มาหาเขาในตอนกลางคืน ใบหน้าของเขาเริ่มแต่งแต้มไปด้วยสีอีกครั้ง “แล้วมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ฉันอยากเรียนกังฟู”

 

“โอ้ เธอดูเหมือนจะไม่มีกล้ามเนื้อเลยนะ ดี ๆ ควรฝึกศิลปะการต่อสู้บ้าง แต่ฉันขอบอกตรง ๆ ว่าการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้นยากมาก…”

 

“ไม่ต้องห่วงเลยลุง ฉันมีความอดทนที่สูงมาก”

 

“อยากเข้าคลาสไหนล่ะ? ระยะยาวหรือ…”

 

“ฉันไม่อยากเรียนร่วมคลาสกับใคร ฉันต้องการเรียนแบบตัวต่อตัวและฉันก็หวังว่าลุงจะสามารถสอนกังฟูที่แท้จริงได้ด้วยใจจริง ตอนนี้ฉันมีเวลาว่างแค่ 4 – 5 วันเท่านั้น แล้วฉันจะจ่ายให้ลุง 10,000 ดอลลาร์ต่อวัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด