Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1364 พลังสวรรค์

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1364 พลังสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อืม ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมาบ้าง แต่นั่นกลับเป็นเพียงเศษส่วนเดียว!”

เซี่ยะจิ่งอวี๋จงใจกล่าวทิ้งท้ายเพื่อทำให้ดูน่าติดตาม

“โปรดชี้แนะ!”  เย่หยวนกล่าว

เขาทราบกันดีว่าการทดสอบจะมีทั้งหมดสามรอบคือ พลังสวรรค์,สังหารปฐพีและมายาลวงตา แต่ละด่านมีความสามารถเปี่ยมล้นในการกวาดล้างผู้คนจำนวนมากตกรอบได้ แต่สำหรับรายละเอียดเชิงลึกกลับมิทราบ  ไม่ว่าจะเป็นเซียวเฟิ้งหรือหยางรุยก็ตาม โดยมิทราบว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทว่าพวกเขากลับหลีกเลี่ยงที่จะอธิบายในจุดนี้

เย่หยวนตระหนักดีว่า พวกเรามีแรงจูงใจอย่างไรถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ ซึ่งเขาเองก็มิได้บังคับเช่นกัน

“ในการทดสอบแต่ละรอบจะสามารถคัดคนนับล้านได้อย่างไร? ตัวกรองชั้นแรกที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง ด่านพลังสวรรค์! คนที่สามารถผ่านรอบนี้ไปได้ล้วนแต่ต้องเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ!”

อันที่จริงแล้ว ผู้ที่มีคุณสมบัติส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบ แต่เดิมก็ล้วนเป็นอัจฉริยะอยู่แล้วในโลกภายนอก  แต่การทดสอบแรกอย่างด่านพลังสวรรค์ ถูกจัดขึ้นเพื่อคัดกรองและกวาดล้างเหล่าอัจฉริยะที่ด้อยประสิทธิภาพ!

ภายในใจของเย่หยวนปั่นป่วนขึ้นทันควันและกล่าวว่า

“จำนวนผู้ตกรอบนี้มีประมาณเท่าไหร่?”

เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดขมขื่นว่า

“มากกว่าเก้าในสิบส่วน! โดยทั่วไปแล้ว หลังเสร็จจากรอบนี้ไป กลุ่มคนที่ผ่านการทดสอบล้วนแต่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระชั้นปลาย หรือไม่ก็อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดไปเลย! ส่วนที่เหลืออย่าหวังที่จะผ่านไปได้”

เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดเลยว่า แค่อุปสรรคแรกจะหฤโหดได้ขนาดนี้แล้ว!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายหุ่นท้วมคนนี้บอกว่า ตัวเขากับเย่หยวนมาที่นี่เพื่อเป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น

“เช่นนั้นแล้ว…ท่านจะยอมแพ้หรือไม่?”  เย่หยวนเอ่ยถาม

ตะลึงก็ส่วนตะลึง แต่ความแน่วแน่ของเย่หยวนยังคงมั่นคงหนักแน่นเช่นเดิม

สุดท้ายนี้ เขาก็ยังคงมั่นใจอย่างมาก…ว่าตนจะสามารถผ่านด่านแรกไปได้แน่นอน!

ชื่อด่านว่า พลังสวรรค์ ฟังดูอาจจะน่ากลัว แต่อาณาจักรพลังของผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกคนจะถูกบีบให้เท่าเทียมกัน แต่นั่นก็ยังมีช่องว่างความแตกต่างบ้างเล็กน้อย

ภายใต้กฎเกณฑ์ในข้อนี้ ในสายตาของเย่หยวนจึงไม่ต่างอะไรกับสนามเด็กเล่นเลย!

ไม่ว่าเมืองหลวงหวู่เมิ่งจะทรงอานุภาพน่ากลัวเพียงใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าในวัยเท่านี้โผล่ออกมา

เย่หยวนที่ได้ดูดซับเต๋าจากหุบเขาถงเทียนจำลองมาโดยตรง ลืมยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าไปได้เลย ต่อให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ ในแง่ของความล้ำลึกของเต๋า เขาเองก็ไม่ลังเลที่จะเทียบเคียงเช่นกัน

ดังนั้นแล้ว นี่คือความมั่นใจที่สุดที่เขายึดเหนี่ยวไว้!

เว้นเสียแต่ว่า เย่หยวนจะพยายามฝ่าฟันด้วยตนเองเสียก่อน หากเกิดเหตุอันใดที่ทำให้เขาตกสู่สถานการณ์จนมุมจริงๆ ยามนั้นค่อยเรียกใช้ขุมพลังของหุบเขาถงเทียนจำลองก็ยังไม่สาย

หากเขาไม่สามารถเอาชนะมันได้ด้วยตนเอง คงจำเป็นต้องโกง

เพราะเย่หยวนทราบดี หากเขาตกรอบในครั้งนี้ จะไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว

เย่หยวรรู้สึกได้ว่าชายหุ่นท่วมคนนี้ค่อนข้างเป็นมิตรและน่าสนใจยิ่ง จึงเป็นเหตุให้เอ่ยถามแบบนี้ขึ้นมา

“แน่นอนว่าข้าไม่คิดที่จะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่แม้ความแข็งแกร่งของข้าจะสูงกว่าเจ้าเล็กน้อย ทว่าโอกาสผ่านเข้ารอบกลับแทบไม่มีในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม…ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด!”

เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าวขึ้นอย่างไม่ท้อถอย

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ด่านพลังสวรรค์มีการจำกัดอาณาจักรพลังเอาไว้ แต่นี่ก็มิได้หมายความว่าทุกคนจะเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ หากผู้ใดไร้ซึ่งความมุ่งมั่นคิดประมาทกลับพ่ายลงโดยง่ายเช่นกัน! ข้าคิดว่าจุดประสงค์ที่สถานศึกษาหวูเมิ่งสร้างด่านทดสอบนี้ขึ้นมา กลับมิได้เฟ้นหาแค่คนเก่ง แต่ต้องการคนที่ไม่ย้อท้อต่อความสิ้นหวัง! เพราะผู้เข้าร่วมทดสอบโดยส่วนใหญ่กลัวตายและพ่ายแพ้ จึงไม่กล้าทุ่มพลังท้าทายสวรรค์ นี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเขาถูกกำจัดทิ้งไป มิฉะนั้นด่านนี้จะมีชื่อว่า พลังสวรรค์ได้อย่างไร?”

เซี่ยะจิ่งอวี๋จับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยความประหลาดใจ ร่องรอยสีหน้าของความสิ้นหวังค่อยๆจางหายไป เขาไม่คิดเลยว่า คำกล่าวเหล่านี้จะออกมาจากปากของเย่หยวนจริงๆ

เยาวชนน้อยคนนี้มีอาณาจักรพลังต่ำกว่าของเขา แต่กลับรับรู้และเข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่าง!

“สิ่งที่เจ้ากล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว! ข้าจะไม่ยอมแพ้! และไม่คิดเช่นนั้นอีกแล้ว! ข้าจะพิสูจน์ให้ซิ่วเอ๋อเห็นว่า ข้าผู้นี้คือสุภาพบุรุษที่แท้จริง!”

เซี่ยะจิ่งอวี๋กล่าวขึ้นพร้อมเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นที่ลุกโชกช่วง

ได้ฟังปณิธานเช่นนี้ เล่นเอาเย่หยวนเสียศูนย์ชั่วขณะ มิทราบจะร้องไห้หรือเสียใจดี

ในเวลานั้นเอง ชายชราผู้หนึ่งเดินขึ้นเวทีให้หน้าลานจัตุรัสกว้าง พร้อมตะโกนเสียงดังฟังชัดออกมาหนึ่ง

“เงียบ!”

เสียงนี้ช่างทรงพลังประดุจสายฟ้าฟาด ทำเอาผู้คนนับล้านในจัตุรัสสงบปากสงบคำในทันใด

“การทดสอบรอบที่หนึ่ง พลังสวรรค์ กำลังจะเริ่มแล้ว รอบนี้คือการทดสอบศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเจ้า! พลังสวรรค์จะหลั่งไหลเข้าสู่กายผ่านที่นั่งดอกบัว หากใครไม่สามารถทนนั่งได้ไหวก็จงบีบป้ายไม้ในมือเจ้าให้แตก และเจ้าจะถูกส่งกลับไปยังที่เจ้ามาทันที แน่นอนหากฝืนเกินกำลังอาจทำให้ตายได้เช่นกัน! อาณาจักรพลังจะถูกจำกัดอยู่ในค่าเฉลี่ย พลังสวรรค์จะคงอยู่ในร่ายกายเจ้าเป็นเวลาสามสิบวันโดยไม่มีหยุดพัก นอกจากนี้ยิ่งเวลาผ่านไปพลังสวรรค์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ! เอาล่ะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หากใครคิดว่าตนเองไม่ไหวแน่นอนก็จงบีบป้ายไม้ได้เลยในตอนนี้! มิฉะนั้น…อาจถึงตาย!”

คำกล่าวของชายชราผู้นี้คล้ายค้อนยักษ์หนักพันล้านตันทุบเข้าใส่กลางใจของทุกคน

โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย คำเสียงเน้นหนักยิ่งบีบคั้นหัวใจผู้คนจนแทบหายใจไม่ออก

พลังสวรรค์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อนานวันเข้า หากใครฝืนเกินกำลัง จนไม่สามารถทนทานต่อพลังสวรรค์ได้ไหว นั้นอาจทำให้ถึงตายได้เลย

ดังนั้นทุกคำพูดของชายชราผู้นี้จึงมิได้เกินจริงแต่อย่างใด

พลังสวรรค์ที่ว่าทรงอนุภาพเทียบเคียงกับอาณาจักรราชันพระเจ้า การจะกำจัดนักสู้ระดับต่ำเหล่านี้ด้วยร่องรอยพลังเพียงเล็กน้อย ช่างง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือเดียว

“รอบพลังสวรรค์เริ่มต้นนับบัดนี้!”

ทันทีที่เสียงของชายชราผู้นั้นสิ้นสุดลง ขุมพลังมากปริมาณมหาศาลก็พวยพุ่งเข้าสู่กายาของทุกคนในจัตุรัสดั่งน้ำป่าไหลบ่า

ความรู้สึกเจ็บปวดโฉบแล่นผ่านทั่วกายา ดั่งถูกกระแสน้ำเดือดระอุกัดเซาะอย่างบ้าคลั่ง

กระนั้นเองกระแสน้ำเดือดในคราเริ่มแรกมิได้กล้าแกร่งอะไรมากนัก นอกเหนือจากผู้เข้าร่วมการทดสอบที่มีอาณาจักรพลังต่ำ ที่เหลือกลับสามารถรับมือได้อย่างสบายๆ

เพียงว่ากระแสน้ำเดือดนี้ยังคงโคจรไหลเวียนต่อเนื่องไม่หยุด ความน่ากลัวกลับหาใช่ชั่วขณะ แต่เป็นเช่นนี้และทวีความรุนแรงมากขึ้นตลอดจนวันที่สามสิบ

ความรู้สึกชนิดนี้คล้ายกับการถือกระเป๋า ช่วงต้นอาจยังไม่รู้สึกหนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่เพียงน้ำหนักของมันจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความอ่อนล้าสะสม นี่กลับยิ่งทวีความทรมาน

เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ก็เริ่มมีใครหลายคนไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป

เกณฑ์การเข้าทดสอบมีไม่กี่ข้อ หนึ่งคืออายุต้องไม่เกินสองร้อยปี และสองต้องเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นขึ้นไป ซึ่งผู้เข้าร่วมการทดสอบโดยส่วนมากล้วนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นกันทั้งสิ้น

บางคนเพิ่งอายุร้อยปีต้นๆ จุดประสงค์เพื่อมาทดลองเสี่ยงโชค สร้างประสบการณ์ประดับชั่วชีวิต

คนเหล่านี้ยังมีโอกาสที่สองให้แก้ตัวได้ในการทดสอบครั้งต่อไป

ร้อยปีถัดไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมพัฒนาขึ้นไม่มากก็น้อย

“พร๊วดดด!”

“พร๊วดดด!”

“พร๊วดดด!”

ณ ลานจัตุรัส มีผู้คนกระอึกพ่นเลือดออกมาต่อเนื่องไม่หยุด ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะอันตรธานหายวับไปในเวลาต่อมา

เย่หยวนยังคงนั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งดอกบัวโดยหาได้ไหวติงใดๆไม่

แม้เขาจะมิได้หยิบยืมขุมพลังจากหุบเขาถงเทียนจำลองมาใช้ แต่พลังสวรรค์เพียงแค่นี้กลับไม่สามารถทำอะไรเย่หยวนได้เลย

ตลอดเส้นทางชีวิตที่เย่หยวนประสบพบเจอมา เขาผ่านความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

หากมองข้ามเส้นทางการผจญภัยที่ผ่านมาในดินแดนพฤกษานิรันดร์ แค่เพียงเผชิญหน้ากับห้วงอวกาศสุดบ้าคลั่งนั้น มันก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะจินตนาการได้แล้ว

พลังสวรรค์ที่ใช้สำหรับทดสอบเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ไม่มีทางทรงพลังอะไรขนาดนั้นได้เลย

เย่หยวนประเมินตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ในแง่ของประสบการณ์ เย่หยวนมิได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะพวกนี้เลย!

วันเวลาค่อยๆเลยผ่าน ประเดิมชั่วยามแรกของวันที่สอง พลังสวรรค์ที่ไหลเวียนทั่วร่างกายของทุน จู่ๆ ก็ทวีความแกร่งกร้าวดุร้ายขึ้นกะทันหัน

ภายใต้ผลกระทบในครั้งนี้ เสมือนคลื่นความโกลาหลขนาดยักษ์ถาโถมเข้าใส่กลางจัตุรัสทันที

อีกหลายพันหมื่นร่างอันตรธานหายไปในพริบตาต่อมา

อย่างไรก็ตาม นี่กลับเป็นเพียงกลเด็กเช่นในสายตาเย่หยวน

คลื่นความโกลาหลนี้ยังกระหน่ำซ้ำ กวาดล้างเหล่าผู้เข้าทดสอบอย่างต่อเนื่องจวบจนวันที่ห้าและหก!

ห้าวันแรกของการทดสอบ ก็มีผู้ตกรอบมากถึงสองแสนคนแล้ว!

ส่วนสีหน้าของคนที่ยังเหลือรอดกลับเริ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก ยามนี้หาได้สบายๆดั่งวันแรก

วันที่หกมาถึง เม็ดเหงื่อชโลมชุ่มทั่วทั้งหน้าผากของเซี่ยะจิ่งอวี๋มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด เพียงวันที่ห้าหรือหกมันก็ถึงขีดกำจัดของเขาแล้ว

“ลองหวนนึกถึงให้ดี! เหตุใดท่านถึงอยากแข็งแกร่ง! จงยึดมั่นสลักจำในสาเหตุนั้นไว้ อุปสรรคแค่นี้ ท่านกลับยอมแพ้แล้วรึ?”

ทันใดนั้นเองกลับมีสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของเซี่ยะจิ่งอวี๋

เมื่อเขาเหลือบมองไปทางต้นเสียง ปรากฏว่ามันคือเสียงของเย่หยวน

เสียงนี้ของเย่หยวนเปรียบเสมือนกับระฆังเตือนใจเข้าปลอบโยนจิตใจของเซี่ยะจิ่งอวี๋ ความตึงเครียดและกดดันก่อนหน้าพลันคลายอ่อนลงในทันใด

อิสตรีผู้งดงามนามซิ่วเอ๋อผุดขึ้นที่กลางใจของเขา

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด