Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1492 สัญญาเลือด

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1492 สัญญาเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหา เมิ่งฉีจึงพาเย่หยวนไปยังโถงร้อนปัญญาด้วยตัวเอง

เมื่อเขาออกหน้าก้าวย่างเป็นการส่วนตัว ทุกอย่างก็ดูง่ายในพริบตา

ภายใต้การนำทางของผู้จัดการโถงร้อยปัญญา เย่หยวนเดินตรงเข้าไปยังโถงระดับสามได้โดยตรง สถานที่ในบริเวณนี้เป็นที่สำหรับแขกชนชั้นสูง

“นายท่านโปรดรอสักครู่ อีกไม่นานจะมีคนมารับท่านตรงนี้”

เมื่อผู้จัดการกล่าวเสร็จสิ้น เขาก็จากไป

โถงนี้ประดับประดาหรูหราอย่างยิ่ง กลิ่นสุคนธรสหอมอ่อน เข้ากระทบรูจมูกจนทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายเคลิ้มอ่อน

ชาหอมชงเสร็จเรียบร้อย เย่หยวนจิบเล็กน้อยพลางเอ่ยชมขึ้นว่า

“ชาของดี! หยาดน้ำค้างยามอรุณสีม่วงจากตะวันออก ยอดชาจากสายพิรุณวิญญาณ นับเป็นของหายากโดยแท้! สิ่งที่หาได้ยากกว่าทั้งคู่คือฝีมือคนชงอันน่าประทับใจนัก”

ทันทีทันใด ห้วงมิติพลันบิดเบี้ยว อิสตรีร่างงามเดินตรงออกมาจากห้วงแห่งความว่างเปล่า

ชุดเสื้อผ้าของอิสตรีนางนี้ช่างน้อยชิ้นนัก เผยให้เห็นผิวพรรณขาวนวลดุจหิมะ ริมฝีปากงามสีแดงสวย ความงามนางนี้กลับมิได้ด้อยไปกว่าหลี่จีเลย

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลี่จี อิสตรีนางนี้ดูจะร้อนแรงยิ่งกว่าดั่งไฟที่แผดเผาเหล่าบุรุษชายจนคลั่ง ทุกสายตาที่จับจ้องล้วนเปี่ยมล้นอารมณ์สุดเกินพรรณนา

“ท่านบรรพกาลราตรีกลับไม่ธรรมดา แท้ที่จริง มองผ่านอ่านความลึกล้ำของโถงนี้ได้เพียงหนึ่งปราดตา”

อิสตรีนางนี้ค่อยๆนั่งลงไม่ใกล้ไกลจากฝั่งเย่หยวนนัก

หญิงสาวผู้ฝึกเคล็ดวิชามหาเสน่ห์นางนี้มีชื่อว่า อวี้หาน นางได้บรรลุจุดสูงสุดของเคล็ดวิชานี้แล้ว ทุกอากัปกิริยาหากคิดประมาทไม่ระวัง อาจทำให้บุรุษเพศผู้นั้นถูกล่อลวงได้อย่างไม่ยาก

กระทั่งเย่หยวนที่คิดว่าจิตแข็งพอแล้ว ยังมีชั่วขณะที่ความคิดของเขาเลยเถิดออกไปเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่า แค่ดื่มชาเขาก็พลันรู้สึกคอแห้งขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น

ความแน่วแน่มั่นคงภายในใจแห่งเต๋าของเย่หยวน นั้นหาได้ยากยิ่งในผืนพิภพ

หากผู้ใดต้องการใช้เคล็ดวิชามหาเสน่ห์ให้เย่หยวนเพื่อสร้างความสับสนภายในใจ เรื่องเช่นนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้

“บรรพกาลราตรีมาที่นี่เพื่อสอบถามข้อมูลบางอย่าง ไม่ว่างเล่นกับแม่นางอวี้หาน โปรดเรียกบุคคลสอบถามมาเถิด”

เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ

เมื่ออวี้หานเห็นว่าเย่หยวนจิตแข็งมุ่งความสนใจกับสิ่งจำเป็นได้ดีมาก นางก็อดสะดุ้งมิได้อย่างลับๆ

ภายในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ การจะหาบุรุษชายที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชามหาเสน่ห์ของนางได้นับได้ว่าหายากยิ่ง!

อวี้หานคลี่ยิ้มหวานขณะกล่าวขึ้นว่า

“ท่านบรรพกาลราตรี หาได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นไม่ หรือเป็นไปได้ไหมว่า ในสายตาของท่าน อวี้หานคนนี้มิอาจเทียบเทียมหลี่จี?”

สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนผันแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นในทันใด เขากล่าวว่า

“อย่าเล่นโดยไม่มีเหตุผล มิฉะนั้นอย่าตำหนิว่าข้าไม่สุภาพ!”

ทว่าอวี้หานกลับเอ่ยตอบโดยหาไม่สนใจเลยว่า

“เช่นนั้นคนต่ำต้อยคนนี้อยากเห็นเสียจริงว่า ท่านจะไม่สุภาพอย่างไร?”

ขณะที่นางแผดเสียงหวานกล่าว เรียวมือสวยของนางก็พลันซุกซนลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเย่หยวนในทันที

เย่หยวนกรนเสียงเย็นคำหนึ่งและใช้นิ้วชี้สัมผัสเข้าบริเวณหัวไหล่ของอวี้หานด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ทว่าใครจะทราบ ร่างของอวี้หานไสวหลบออกไปได้อย่างน่าประหลาด นางหลบเลี่ยงการโจมตีนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด

เย่หยวนใจหายวาบจมลึกในบัดดล พร้อมตระหนักได้ทันทีว่า อวี้หานนางนี้ปกปิดพลังที่แท้จริงของนางเอาไว้

เมื่อกระบวนโจมตีล้มเหลว เย่หยวนเร่งรุดถอยห่างปราดออกไปจากอวี้หานทันทีอย่างระมัดระวัง

“ท่านบรรพกาลราตรีไม่รู้จักวิธีทำตัวอ่อนโยนต่อหน้าหญิงสาวหรืออย่างไร! จู่โจมรุนแรงเช่นนี้หรือคิดถึงขั้นเอาชีวิตผู้ต่ำต้อยคนนี้เลยกระมัง?”

อวี้หานหัวเราะคิกคักเอ่ยกล่าว

เย่หยวนกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“เจ้าเป็นใครกันแน่? ไยคิดกลั่นแกล้งกัน?”

อวี้หานยิ้มกล่าวว่า

“คนต่ำต้อยคนนี้คิดกลั่นแกล้งท่านได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าท่านคิดจะบดดขยี้บุปผางามอย่างไร้ความปรานีกลับเป็นอวี้หานมากกว่าที่อยากรู้ว่าท่านเป็นใครกันแน่? ทักษะฝีมือหลอมกลั่นโอสถเนื้อชั้นนัก หลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจได้ด้วยปลายนิ้ว แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งห้ายังต้องร่วมมือ จัดเรียกลูกศิษย์เข้าศึกษา โถงโลหิตปรโลกมีหูตา แต่กลับไม่สามารถตรวจสอบภูมิหลังของท่านได้เลย”

เย่หยวนใจหายวาบเป็นคำรบสอง พลางแอบคิดไปว่าโถงร้อยปัญญาสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ทั้งหมด

ในเวลานี้เย่หยวนมิอาจปฏิบัติกลับอวี้หานดั่งหญิงสาวธรรมดาทั่วไปได้อีกต่อไป ความแข็งแกร่งของนางน่าจะเหนือชั้นกว่าตัวเขามาก

แม้แต่หวูเฉินเองก็ยังไม่สามารถหยั่งรู้ถึงตัวอวี้หานได้เช่นกัน

แม้ว่าความแกร่งกล้าของหวูเฉินยังไม่ฟื้นตัวถึงจุดยอดภายใต้อาณาจักรราชันพระเจ้า แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีสิ่งใดที่หลบหนีไปจากการตรวจสอบทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้

แต่อวี้หานนางนี้กลับเป็นข้อยกเว้น

ดวงตาของเย่หยวนเริ่มหรี่แคบลง เขาเอ่ยกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำขึ้นว่า

“เราผู้นี้อาศัยอยู่กับท่านอาจารย์ในดินแดนไกลโพ้นตั้งแต่ยังเด็ก ยอมเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวดังกล่าว นี่หาใช่เรื่องแปลกจริงหรือไม่?”

เย่หยวนไม่ยอมพลาดท่าง่ายๆเช่นนี้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงกุเรื่องต้นกำเนิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมาทันที

อวี้หานยิ้มและกล่าวว่า

“เป็นเช่นนั้น ท่านหาได้ตกใจไป พวกเรามานั่งคุยกันหน่อยดีหรือไม่?”

เย่หยวนพยักหน้าเล็กน้อย และกลับไปนั่งที่อีกครั้ง เขาเอ่ยปากวาจาเรียบนิ่งขึ้นว่า

“หากต้องการจะเอ่ยถามเกี่ยวกับท่านอาจารย์ข้า ท่านเก็บคำไว้หายใจเสียดีกว่า”

ร่องรอยความประหลาดใจพลันทอประกายผ่านนัยน์ตาของอวี้หาน พลางคิดกับตนเองไปว่า นี่เป็นวาจาคำกล่าวที่น่าสะพรึงยิ่งนัก

นางกำลังจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขากลับลั่นวาจาสกัดกั้นนางมิให้ถามในทันใด

หากท่านอาจารย์ของเย่หยวนเป็นพวกปรมาจารย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ชอบความสันโดษ เขาไม่เต็มใจแน่นอนที่จะยอมเปิดเผยชื่อแซ่

อวี้หานยิ้มบางกล่าวขึ้นว่า

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นท่านบรรพกาลราตรีมาที่เมืองหลวงคาโปนเพียงเพื่อสืบสวนบางอย่าง?”

เย่หยวนพยักหน้ากล่าวตอบว่า

“ถูกต้องแล้ว! แม่นางอวี้หาน บรรพกาลราตรีสงสัยว่าข้าสามารถเอ่ยถามได้แล้วรึยัง?”

อวี้หานกล่าวขึ้นว่า

“ท่านรู้กฎของโถงร้อยปัญญาของเราหรือไม่?”

เย่หยวนพลันตะลึงเล็กน้อยก่อนส่ายหัวกล่าวว่า

“มิทราบ”

อวี้หานหัวเราะคิกคักและกล่าวขึ้นว่า

“ท่านเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ กล้าเข้ามาสอบถามข้อมูลโดยไม่ทราบกฎของโถงร้อยปัญญา”

เย่หยวนเคยได้ฟังมาอยู่ก่อนแล้วว่า ข้อมูลภายในโถงร้อยปัญญาหาใช่เรื่องง่ายที่จะสอบถาม แต่เขากลับไม่รู้รายละเอียดจำเพาะ

เมื่อพินิจมองรูปการณ์ยามนี้ เขาตระหนักได้แล้วว่า ตนคิดง่ายเกินไป

“โปรดชี้แจง!”

เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็นชา

อวี้หานกล่าวขึ้นว่า

อวี้หานกล่าวอธิบายว่า

“โถงร้อยปัญญาของเราแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ข้อมูลในสามระดับแรก ตราบใดที่มีผลึกปราณปีศาจนำจ่ายเพียงพอ ย่อมเข้าถึงข้อมูลได้ แต่ระดับสี่ถึงระดับเก้า นอกจากผลึกปราณปีศาจที่มีราคานำจ่ายสูงลิบลิ่วแล้ว ผู้ใช้บริการจำต้องทำบางอย่างให้กับโถงร้อยปัญญาอีกด้วย”

เย่หยวนเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“เช่นนั้นหมายความว่า ข้าต้องติดหนี้บุญคุณต่อพวกเจ้า?”

อวี้หานกล่าวตอบ

“จะเรียกแบบนั้นก็ไม่ผิด”

เย่หยวนพยักหน้า

“หากข้าไม่ทำล่ะ?”

อวี้หานยิ้มและตอบว่า

“ท่านจะต้องทิ้งสัญญาเลือดให้แก่ทางเรา และทำจนกว่าเรื่องที่เราปรารถนาจะสำเร็จลุล่วงได้ มิฉะนั้นท่านจะถึงแก่ความตายโดยสัญญาเลือดนั้น”

ภายในใจเย่หยวนเย็นสะท้านจับขั้วในทันใด โถงโลหิตปรโลกนี้เป็นกลุ่มอำนาจที่ลึกลับอย่างมาก และดูเหมือนว่าภูมิหลังของพวกเขาจะใหญ่โตมากจริงๆ

เย่หยวนกล่าวถามขึ้นต่อว่า

“แล้วถ้าหากพวกเจ้าต้องการให้ข้าตาย ข้าก็ต้องทำตามกระมัง?”

อวี้หานยิ้มและกล่าวว่า

“โถงโลหิตปรโลกของเรายึดถือความซื่อสัตย์และเท่าเทียมไม่ว่าผู้อาวุโสลายครามหรือเด็กผู้เยาว์ เพียงว่าบางเรื่องที่เราไม่สะดวกหรือเกินความสามารถของเราจริงๆ ดังนั้นจึงต้องทำสัญญาเอาไว้เพื่อขอความช่วยเหลือในอนาคต บางคนเราไม่เคยไปรบกวนหรือทวงสัญญาเลือดเลยจนเขาถึงวาระสุดท้าย ในสัญญาเลือดค่อนข้างมากฎข้อจำกัดยิบย่อยมากมายระบุไว้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น เราเขียนสัญญาเลือดร้องขอให้ท่านตายไม่ได้ แต่หากท่านทำงานให้เราไม่สำเร็จ ท่านจะได้รับผลที่ต้องแบกรับเองโดยธรรมชาติ”

เย่หยวนพลันตกตะลึงไม่น้อยภายในใจ นี่เท่ากับว่าตราบใดที่มีผู้คนสอบถามข้อมูลระดับสี่ขึ้นไป ทั้งหมดจะถูกบังคับให้เป็นหนี้บุญคุณของโถงโลหิตปรโลกทันที

ด้วยการสะสมสัญญาเลือดเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้คนที่ติดหนี้บุญคุณของโถงโลหิตปรโลกมีมากขึ้น สำหรับภายนอกนี่เป็นกลุ่มอำนาจที่น่ากลัวยิ่งยวด

ในบรรดาคนที่ทำสัญญาอาจมีการดำรงอยู่ที่ทรงพลังยิ่งอยู่ เพียงว่าพวกเขามิได้ปรากฏตัวออกมาก็เท่านั้น

ตราบใดที่โถงโลหิตปรโลกยังเก็บสัญญาเลือดเหล่านี้ไว้อยู่ มันเท่ากับว่าพวกเขาสามารถเรียกใช้ผู้คนได้ตลอด!

ไม่ว่าแปลกใจเลยว่าเหตุใด แม้แต่ตำหนักเจ้าเมืองยังไม่กล้ายั่วยุล้ำเส้นโถงโลหิตปรโลกมาก่อน อาศัยเพียงสัญญาเลือดนี้ก็หาใช่ที่กลุ่มอำนาจทั่วไปจะรุกรานได้แล้ว

เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“ได้ แต่ข้าขอดูเนื้อหาสัญญาก่อน”

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด