Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1513 มุ่งหน้าสู่ซากโบราณสถาน

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1513 มุ่งหน้าสู่ซากโบราณสถาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หน้าประตูตระกูลฟาง ฟางหลิน ฟางอวี้และหลี่จีต่างเดินออกมาส่งเย่หยวน

“ต้องขอบคุณท่านประมุขตระกูลอย่างยิ่ง! สำหรับการดูแลที่ผ่านมาทั้งหมด!”

เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมประสานมือกำหมัดแน่น

ฟางหลินคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีกล่าวอันใดเยี่ยงนี้? ต้องเป็นตระกูลฟางของเรามากกว่าที่ต้องขอบคุณท่าน!”

หลายปีที่ผ่านมานี้ อาจกล่าวได้ว่าตระกูลฟางเปรียบดั่งดวงสุริยันยามเที่ยงวัน กระทั่งฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองยังมิอาจเทียบรัศมีได้

นอกจากนี้ ตระกูลฟางยังทะยานขึ้นมาเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงคาโปน เนื่องจากติดต่อมีสายสัมพันธ์กับโถงโลหิตปรโลกอย่างแนบแน่น

ฟานหลินย่อมเข้าใจดีกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นและสรรพสิ่งอย่างล้วนต้องขอบคุณเย่หยวนยิ่งกว่าสิ่งใด

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ท่านประมุขตระกูลฟางสุภาพเกินไปแล้ว ข้ารับเงินเดือนท่านย่อมนับเป็นภาระหนึ่งของเจ้าบ้าน เนื่องจากข้าเป็นแขกของตระกูลฟาง ดังนั้นข้ามิอาจปฏิเสธได้ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของตระกูลฟางเช่นกัน”

ฟางหลินกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ฟางคนนี้ทราบดีว่าเงินเดือนที่ตระกูลฟางให้ท่านนั้นช่างน้อยนิด เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องน่าอายของเรา แต่การที่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรียังมีความตั้งใจที่จะอยู่ตระกูลฟางต่อจวบจนวันนี้ เราฟางหลินรู้สึกขอบพระคุณท่านไม่รู้จบ! หลี่จี ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีกำลังจะไปแล้ว ไฉนเจ้าถึงไม่ออกไปส่งเขา?”

ขณะที่เขาเอ่ยขึ้นเช่นนี้ก็พลันขยิบตาส่งสัญญาณให้หลี่จีเช่นกัน

เมื่อนางทราบข่าวว่าเย่หยวนกำลังจะจากไปแล้ว หลี่จีเองก็กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน

หัวใจของนางมอบให้เย่หยวนมาโดยตลอดจวบจนวันนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่า แค่พริบตาเดียวเย่หยวนก็กลายมาเป็นการดำรงอยู่ที่แม้แต่นางก็มิอาจเอื้อมถึงไปเสียแล้ว

ช่องว่างระหว่างทั้งสองยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ณ ตอนนี้ เย่หยวนกำลังจะจากไปแล้ว ภายในใจหลี่จีมีแต่ความเศร้าโศกและกระวนกระวายใจยิ่ง

“บะ-บรรพกาลราตรี…ขอให้…ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”

หลี่จีพยายามข่มกลั้นอารมณ์และบีบกลั่นประโยคนี้เพียงประโยคเดียวเป็นเวลานาน

ทันทีทันใดนางพบว่า ตนไม่รู้จริงๆว่าควรเอ่ยเรียกเย่หยวนในตอนนี้ว่าอย่างไรดี

เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า

“แม่นางหลี่จีโปรดดูแลตัวเอง ธารน้ำหุบเขาบรรพตยังมีวันบรรจบ บางทีอาจมีสักวันที่เราได้พบกันอีก ยามนี้สายมากแล้ว ถึงเวลาที่ต้องลาจาก บรรพกาลราตรีขอลา”

เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็พาหลงซานหันหลังและจากไปทันที

ด้วยสถานะปัจจุบันของเย่หยวน การที่เขาจะนำทาสออกไปด้วยสักคนกลับหาใช่เรื่องอันใดเลย

หลี่จีได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังของเย่หยวนอย่างโง่งมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ฟางหลินเฝ้ามองภาพฉากนี้พลางถอนหายใจเอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“ลูกสาวตัวน้อยของข้า เจ้าอยู่ในโลกที่แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง เขาเปรียบดั่งดวงสุริยันที่เฉิดฉายบนท้องนภา ผู้คนเดินดินไม่สามารถทำได้แม้แต่เงยมอง ในขณะที่เราก็คือคนธรรมดาเหล่านั้น”

แม้ว่าเรื่องปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าที่เย่หยวนเรียกขึ้นมาได้จะมิได้รั่วไหลออกไป แต่สำหรับเขาที่สามารถสั่งสอนเหล่านักปรุงโอสถปีศาจระดับสูงจากเมืองหลวงหลายร้อยแห่งได้ สิ่งนี้เป็นที่บ่งชี้แล้วว่า ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของเขาเกินจินตนาการของผู้คนไปไกลแล้ว

มีเพียงเมืองจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถรองรับความยิ่งใหญ่ของเย่หยวนได้

“ฮ่าๆ น้องบรรพกาลราตรี ปรากฏว่าเจ้ามิได้นำสาวน้อยตระกูลฟางนางนั้นมาด้วยจริงๆ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกนัก!”

เมื่อเห็นเย่หยวนมาคนเดียว ดาราสวรรค์ก็รีบตรงเข้ามาต้อนรับแต่ก็เจือความประหลาดใจเช่นกัน

ความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างเย่หยวนกับหลี่จี ดาราสวรรค์เองย่อมประจักชัดแจ้งดี

ทีแรกเขายังหลงคิดไปด้วยซ้ำว่า เย่หยวนน่าจะพาหลี่จีเดินทางไปกับตนด้วย ถึงอย่างไรแล้ว สาวน้อยนางนั้นก็มีเสน่ห์ล้นเหลือจริงๆ

“สำหรับข้าแล้ว การบ่มเพาะพลังฝึกปรือฝีมือคือสิ่งที่สำคัญที่สุด คนอื่นรอบกายล้วนแล้วแต่กวนใจข้าเท่านั้น”

เย่หยวนเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ดาราสวรรค์ที่ได้ยินเช่นนั้นอดตกใจมิได้ สำหรับเย่หยวนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้ เขาตระหนักชัดแจ้งแล้วว่า เด็กหนุ่มคนนี้มิได้พึ่งพาแค่พรสวรรค์!

ตามความเข้าใจของเขา เย่หยวนควรเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษมาเป็นเวลาตลอดทั้งชีวิต สิ่งเดียวที่สนใจคงมีแต่เรื่องบ่มเพาะพลังขัดเกลาฝีมือ

“ฮ่าๆ น้องชายคนนี้ทำให้ข้ารู้สึกอับอายโดยแท้! ไม่น่าแปลกใจเลยที่น้องชายประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย!”

เย่หยวนคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าเครื่องแต่งกายในยามนี้ของดาราสวรรค์กลับแปลกไป ไม่สิกล่าวได้แปลกตายิ่ง เพราะนั้นเป็นชุดแต่งกายของพวกคนรับใช้!

นอกจากนี้ดาราสวรรค์ยังปกปิดระดับพลังของตน ต่อให้ใครมาเห็นต่างความไม่แตกมิอาจถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย

“ท่านอาวุโสดาราสวรรค์ ท่าน…”

เย่หยวนเอ่ยกล่าวแฝงความอึ้งตะลึงงันกลางจิตใจ

ดาราสวรรค์ยิ้มตอบว่า

“แม้การเดินทางไปยังซากโบราณสถานครั้งนี้ จะมีโถงโลหิตปรโลกของเรานำไปด้วย แต่คราวนี้ร้อนพันปลามังกรมารวมตัวกัน กลุ่มอิทธิพลจากทั่วสารทิศเข้าร่วมเดินทาง และการดำรงอยู่ของเจ้าก็มีความสำคัญต่อโถงโลหิตปรโลกอย่างยิ่ง ดังนั้น หากทราบว่าข้าออกโรงเป็นการส่วนตัวขนาดนี้ เกรงว่าฝักฝ่ายอื่นอาจคาดเดากันไปมากมายและเกิดอันตรายได้”

ทันทีที่เย่หยวนได้เช่นนั้นเขาก็เข้าใจในทันที

อวี้หานมิกล้าประมาท ทั้งยังให้เขาจบชีวิตไคซินเพื่อเลือกเขาเป็นตัวแทน

ดังนั้นแล้ว การเดินทางเข้าสู่ซากโบราณสถานครั้งนี้ ล้วนมีแต่อัจฉริยะระดับหัวกะทิจากเมืองหลวงต่างๆ

พวกคนที่อ่อนแอที่สุดคงเป็นระดับคนอย่างไคซิน

เพราะอัจฉริยะโดยส่วนมากล้วนแต่เป็นจอมทัพปีศาจกันหมดแล้ว

สำหรับโถงโลหิตปรโลก เสียค่าใช้จ่ายมากมายมหาศาลปานนี้ ดูเหมือนว่าการเดินทางเข้าสู่ซากโบราณสถานจะไม่ธรรมดา!

เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“ไปกันเถอะ หลงซาน เจ้าเดินทางล่วงหน้าไปยังเมืองจักรพรรดิก่อน ช่วยจัดการธุระจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย”

หลงซานโค้งคำนับและกล่าวขึ้นว่า

“รับทราบนายท่าน”

หลงซานในตอนนี้ทะลวงผ่านปัญหาคอขวดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยามนี้ได้ขึ้นกลายมาเป็นเซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าในท้ายที่สุด

แท้จริงแล้ว เย่หยวนมิได้สั่งให้หลงซานเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ จุดประสงค์ของคำกล่าวเหล่านี้เพื่อให้ดาราสวรรค์ที่อยู่ข้างๆสบายใจไร้ซึ่งข้อกังขาเท่านั้น

ก่อนหน้าที่เย่หยวนจะออกเดินทาง เขาสั่งให้หลงซานเดินทางอ้อมไปทางเมืองกระแสพิรุณ และเฝ้ารอเขาอยู่แถวหุบเขาอัญเชิญปีศาจเพื่อขอเย่หยวนดำเนินการต่อไป

เย่หยวนจะเดินทางไปพบเขาหลังจากที่ตนสลัดดาราสวรรค์และอวี้หานหลุดแล้ว

แน่นอนว่า ดาราสวรรค์ที่ได้ยินวาจาคำกล่าวของเย่หยวนเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาก็ดูโล่งใจขึ้นมาก

หลงซานเป็นเพียงทาส โดยปกติสถานะชนชั้นต่ำเช่นนี้ เขาไม่เหลียวแลสนใจอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คือทัศนคติของเย่หยวนต่างหาก

ดูเหมือนว่าหม้อหลอมพิสุทธิ์มณีเหลืองจะซื้อใจของเย่หยวนได้จริงๆ ตอนนี้เขายอมรับโถงโลหิตปรโลกแล้วด้วยจริงใจ

หลังจากที่หลงซานจากไป พวกเขาก็ขึ้นเรือเหาะ

เย่หยวนที่เห็นเรือเหาะถึงกับตื่นตระหนกไม่น้อยภายในใจ ความแกร่งกล้าของโถงงโลหิตปรโลกนับว่ายิ่งใหญ่โดยแท้ กระทั่งเรือเหาะยังเป็นถึงสมบัติเลิศล้ำชิ้นหนึ่ง

มันเป็นสมบัติจ้าวทัพปีศาจเลิศล้ำระดับกลาง เมื่อเริ่มบินออกไปความเร็วที่สุดเดินทางออกค่อนข้างสูงมาก

ระหว่างทางดาราสวรรค์เองก็ลอบจับจ้องเย่หยวนเป็นระยะ เย่หยวนไม่เพียงเก็บงำความไม่พอใจลงไปได้อย่างแนบสนิท แต่เขายังคงนั่งนิ่งดูสงบใจยิ่ง ภาพฉากนี้ทำให้ดาราสวรรค์มีความสุขไปกว่าครึ่งค่อนวัน

แม้ว่าขอบเขตของดาราสวรรค์จะสูงส่งมาก แต่ในแง่รากฐานความแข็งแกร่ง เย่หยวนค่อนข้างนำเขาไปหลายขุมนัก

เป็นเช่นนี้นานกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดทั้งสามก็เดินทางมาถึงสถานที่ตั้งของซากโบราณสถาน

ซากโบราณสถานแห่งนี้อยู่ใกล้กับเมืองธารแสงแห่งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ วันที่นัดหมายกำลังใกล้เข้ามา เหล่าบรรดาบุคคลชั้นสูงของแต่ละเมืองหลวงต่างกำลังรีบเร่งเดินทางมาเช่นกัน

เมื่อทั้งสามเดินทางมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับซากโบราณสถาน ก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามารวมตัวกัน

เย่หยวนกวาดสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มคนที่อยู่ใจกลาง

หกชายหนุ่มกลุ่มนั้นพกพารัศมีกลิ่นอายดูไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นเหล่ายอดฝีมือ

ทว่าหลังจากสัมผัสได้ว่า เย่หยวนกำลังมองพวกเขาอยู่ ทั้งหกก็เหลียวมองไปยังเย่หยวนจนเป็นตาเดียว

ก่อนจะพบว่าเย่หยวนเป็นเพียงจอมทัพปีศาจขั้นปลายเท่านั้น พวกเขาทั้งหมดก็หมดความสนใจไปในทันที

“สัมผัสของพวกนั้นไวมาก ข้าเพียงกวาดสายตาเหลือบมองเล็กน้อยก็สัมผัสเห็นข้าได้แล้ว”

เย่หยวนที่เห็นแบบนั้นก็แอบตกใจมิใช่น้อย

“ทั้งหกคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นหกบุตรสวรรค์แห่งกล้วยไม้อริยะ ความแกร่งกล้าขอลงพวกเขานับเป็นจุดสูงสุดของบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ พวกเราเองก็เหมือนกับไคซิน ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าและปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดจากกองซากศพและทะเลเลือด แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าไคซินมากนัก!”

อวี้หานเอ่ยตอบ

เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ทรัพยากรของเมืองจักรวรรดิหาใช่สิ่งที่เมืองหลวงสามารถเทียบเคียงได้”

แม้ว่าไคซินจะดูน่าเกรงขามยิ่งในเมืองหลวง แต่หากวางเขาอยู่ในเมืองจักรพรรดิ กลับไม่ควรค่าแม้กระทั่งเหลียวมองด้วยซ้ำ

ตอนนี้มีอัจฉริยะหนุ่มสาวอยู่ประมาณหนึ่งถึงสองร้อยคนเห็นจะได้ พวกเขาเหล่านี้มิได้อ่อนด้อยไปกว่าไคซินเลย

“โอ้? นี่หาใช่ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีหรอกรึ? หุหุ เป็นทั้งอัจฉริยะด้านโอสถและการต่อสู้ วิหคเพลิงอสูรคนนี้พบพานบุคคลสำคัญ จำต้องเข้าทักทายตามสมควร!”

……………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด