Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1515 ลูกพลัมอ่อนจำต้องอ่อนจริงๆ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1515 ลูกพลัมอ่อนจำต้องอ่อนจริงๆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นิกายบัลลังก์ม่วง? คืออะไรกัน?”

“ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน! มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้มีนิกายชื่อนี้ด้วยงั้นรึ?”

“ซากโบราณสถานแห่งนี้แปลกจริงๆ!”

…………….

บนมหาพิภพแห่งนี้ไม่เคยมีกลุ่มอำนาจใดเป็นนิกายมาก่อนเลย

กลุ่มอำนาจทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองนั้นๆ ซึ่ง ณ จุดนี้จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจน

ทันทีที่ชื่อนิกายบัลลังก์ม่วงปรากฏมา กลุ่มอัจฉริยะเหล่านี้ต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก

แต่สุ้มเสียงกึกก้องนั้นหาได้สนใจว่าผู้คนโดยรอบจะคิดเห็นอย่างไร มันกล่าวต่อขึ้นเองว่า

“แท่นวงแหวนทั้งสิบสองคือลานประลองยุทธ์ แต่ละคนจะมีโอกาสขึ้นท้าทายกันเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ ผู้แพ้จักต้องถูกกำจัด ตอนนี้สามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้อย่างอิสระ ในตอนท้าย สิบสองคนที่เหลืออยู่จะได้รับรางวัลมากมายจากนิกายบัลลังก์ม่วง”

ในขณะที่สุ้มเสียงจางหายไป ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในโถงอีกครั้ง

วูบ! วูบ! วูบ!

เหล่านักสู้หลายคนมีปฏิกิริยาตอบสนองแสนรวดเร็ว ทุกคนต่างวิ่งตรงทะยานไปหาวงแหวนที่เย่หยวนยืนอยู่ทันที

ปัง!

เมื่อจำนวนผู้คนในวงแหวนของเย่หยวนมีมากถึงยี่สิบสี่คน เหล่านักสู้ที่ติดสอยอยู่ท้ายหลังที่ตรงเข้ามาก็ราวกับวิ่งชนกำแพงที่มองไม่เห็นโดยตรง พวกเขาเหล่านั้นมิสามารถเข้าไปได้มากกว่านี้แล้ว

“โอ๊ย!”

เสียงร้องชวนเวทนาดังขึ้นเล็กน้อย

เมื่อพบเห็นภาพฉากนี้ คนอื่นๆต่างอดเสียใจเจือโกรธเกรี้ยวมิได้

เห็นได้ชัดว่าบนวงแหวนของเย่หยวนคนเต็มแล้ว และสายเกินไปที่จะขึ้นท้าทาย

ทุกคนล้วนเห็นเป็นประจักษ์ว่า เย่หยวนเปรียบเสมือนลูกพลัมอ่อนเพียงลูกเดียวในบรรดาสิบสองวงแหวนทั้งหมด ซึ่งง่ายต่อการจัดการที่สุดแล้ว

ในขณะที่อีกสิบเอ็ดวงแหวนที่เหลือ ล้วนแต่เป็นจอมทัพปีศาจครึ่งขั้นเป็นอย่างต่ำ

หากต้องการคว้าชัยกลับไป จำต้องใช้ความพยายามมิใช่น้อย

“เฮ้ออ ไอ้พวกหลานเต่ามันรู้จักวิธีใช้ประโยชน์จริงๆ ในพริบตาเดียวพวกมันก็เข้าเต็มในวงแหวนแล้ว!”

“ลูกพลัมอ่อนน่าเด็ดกินเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีโอกาสแล้ว!”

“ดูเหมือนว่าวงแหวนนี้จะง่ายที่สุดแล้ว!”

“อะไรก็ได้ขอเพียงไม่ต้องเจอกับหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะเป็นพอ! ไม่เช่นนั้น…ตายแน่!”

ด้านล่างลานประลองวงแหวนมีเสียงสนทนาเอ่ยดังเจื้อยแจ้ว เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาค่อนข้างไม่พอใจนักกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ในขณะเดียวกัน หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะเองต่างก็เลือกวงแหวนที่ต้องการ และค่อยๆย่างก้าวขึ้นไป

เมื่อทุกคนพบเห็นภาพฉากนี้ แต่ละคนต่างสั่นเทาด้วยความยำเกรง

ในบรรดาทั้งหมดมีระดับชั้นจอมทัพปีศาจเต็มขั้นทั้งหมดแปดคน

ทั้งแปดล้วนเข้าใจกันโดยปริยาย จึงแยกกันไปในแปดวงแหวน

ดังนั้นแล้วอีกสามวงแหวนที่เหลือจึงเป็นที่นิยมต่างแย่งกันเข้าไปกันเป็นอย่างมาก

ยามนี้เห็นเพียงธารฝูงชนที่หลั่งไหลเข้าไปยังสามวงแหวนที่เหลือ แย่งกันพุ่งข้าไป

ปัง! ปัง! ปัง!

คนที่เหลือแทบระเบิดเผากระท่อม สู้กันเพื่อแย่งชิงที่นั่งในวงแหวนทั้งสามแห่งนี้

ชั่วขณะนั้นเอง พลังปราณปีศาจปะทุเดือดพัลวันไม่หยุดหย่อน จนทั่วสารทิศห้องโถงสั่นสะเทือนรุนแรง

ในไม่ช้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่แผดดัง วงแหวนทั้งสามก็เต็มในท้ายที่สุด

คนที่เหลือต่างร้องคร่ำครวญอย่างแสนเวทนานัก

บางคนเริ่มลังเลที่จะขึ้นไปยังลานประลองวงแหวนที่เหลือ

“อ๊ากก!”

ทันทีทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องระทมก็แผดดังขึ้น ชั่วพริบตาต่อมา พลันปรากฏเปลวไฟสีดำแผดเผาร่างของเหล่าอัจฉริยะที่ยังมิได้เข้าวงแหวนไป

เพียงพริบตาเดียว เขาผู้นั้นก็ถูกแผดเผาจนเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า!

“นี่พวกเราติดพันธสัญญาเลือดโดยไม่รู้ตัว! เรา…เราต้องรีบขึ้นวงแหวนแล้ว!”

“แล้วจะเอาอะไรไปสู้? หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะหาใช่สิ่งที่เราจะสามารถต่อกรได้เลย!”

“ลืมๆมันไปซะจะเลือกตายอยู่ตรงนี้หรือลองสู้ดู?”

การที่พวกเขาลังเลไม่กล้าคิดลานประลองวงแหวนเช่นนี้ มันเทียบเท่ากับว่าละเมิดสัญญาเลือด

เมื่อละเมิดสัญญาเลือดเท่ากับมีโทษ ซึ่งนั้นหมายถึงความตายอย่างเลี่ยงมิได้

ดังนั้นแล้วทุกคนจึงไม่มีทางเลือก พร้อมตรงไปยังวงแหวนที่ยังเหลือทันที

หลังจากที่ทุกคนเลือกเสร็จสิ้น สุ้มเสียงโบราณก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ในแต่ละลานประลองวงแหวนจะเป็นการสัประยุทธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ผู้ท้าทายขึ้นประลองตามลำดับความเหมาะสม ผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้รับสิทธิ์เข้าสู่รอบต่อไป การประลองเริ่มขึ้นได้”

“ฮ่าๆๆๆ ทุกคน เจ้าเด็กนี่ ข้าปู่เจ้อขอขึ้นท้าทายก่อน!”

เขาคนนี้ชิงเสี้ยวโอกาสเร่งขึ้นไปก่อนทันทีเป็นคนแรก พลางระเบิดหัวเราะเอ่ยดัง เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างพอใจมิน้อยกับการขึ้นท้าทายเป็นลำดับแรก

เมื่อคนอื่นๆเห็นดังนั้นก็อดกัดฟันเกลียดชังมิได้

“ปฏิกิริยาของเจ้านั้นไวนัก เขาคิดคว้าโอกาสนี้ไปก่อน!”

“หึ! คิดว่าจะจบลงโดยง่าย? ยังไม่แน่หรอกว่าใครที่จะได้หัวเราะในตอนจบ!”

“ช่างน่ารังเกียจนัก มัวเมากับความสำเร็จ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนดังด่าจากทุกคนที่ไม่พอใจ ปู่เจ้อก็ดูท่าจะมิได้สนใจแม้แต่น้อย กวาดสายตามองไปที่เย่หยวน เขาเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีผู้นั้นใช่หรือไม่? นี่หาใช่ห้องหลอมกลั่นโอสถ ไฉนท่านถึงต้องมาที่นี่ หรือเพื่อเสาะหาความตื่นเต้นระทึกใจกัน? แต่ในเมื่อท่านมาแล้ว ก็นับเป็นการมอบของขวัญชิ้นใหญ่แก่ข้าผู้นี้ ฮ่าๆๆ ข้าขอรับด้วยความเต็มใจ!”

เย่หยวนช้อนสายตามองอีกฝ่ายประหนึ่งกำลังมองคนโง่ และเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า

“ดูเหมือนพวกเจ้าทุกคนคงปฏิบัติราวกับข้าเป็นลูกพลัมอ่อน ต้องการบีบคั้นรังแกข้ากระมัง?”

ปู่เจ้อระเบิดหัวเราะกล่าวว่า

“ก็หาใช่เช่นนั้นรึ? ลูกพลัมอ่อนย่อมตระหนักเรื่องตนเองดีที่สุด”

มุมปากเย่หยวนกระตุกเชิดขึ้นเล็กน้อย พลางหัวเราะเยาะกล่าวเย้ยขึ้นว่า

“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาล้วนถูกต้อง ลูกพลัมอ่อนย่อมตระหนักเรื่องตนเองดีที่สุด!”

“ฮ่าๆ เช่นนั้นคงทราบในอีกไม่ช้า…”

ปู่เจ้อยังไม่ทันกล่าวจบดี จู่ๆสุ้มเสียงของเขาก็ขาดช่วงไปทันใดพร้อมถูกซัดกระเด็นร่วงไปจากวงแหวน

“ก็กล่าวไปแล้วว่าการประลองเริ่มขึ้นแล้ว แต่เจ้านี่ยังมีอารมณ์หัวเราะสบายใจ”

เย่หยวนส่ายหัวเล็กน้อยพลางถอนหายใจเสียงยาว

“ฮ่าๆๆๆ”

คลื่นเสียงหัวเราะดังกึกก้องเข้ามา เมื่ออีกยี่สิบสามคนที่เหลือเห็นภาพฉากนี้ พวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

ขึ้นลานประลองแล้วแท้ๆแต่ยังทำตัวประมาทจนถูกกำจัดโดยตรง

ปู่เจ้อคลานขึ้นมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ พลางชี้นิ้วไปที่เย่หยวนคำรามด่าขึ้นว่า

“ไอ้เด็กเหลือขอที่น่ารังเกียจนัก! แอบลอบโจมตีข้า! หากเจ้ามีความสามารถก็จงต่อสู้อย่างเปิดเผย!”

เย่หยวนกวาดสายตาเหลียวมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไยดีพลางเอ่ยสบถขึ้นว่า

“ไอ้โง่!”

“เจ้านี่มันโง่จริงๆ!”

เย่หยวนแสยะยิ้มเล็กน้อย

“ฮ่าๆๆๆ”

เสียงหัวเราะเยาะคำรามลั่นอีกระลอกหนึ่ง

ปู้เจ้อเดือดจัดแทบระเบิดลง เขาคำรามใส่เย่หยวนด้วยความเกรี้ยวโกรธลั่นว่า

“สารเลว! ข้าขอสู้กับเจ้าใหม่อีกครั้ง!”

ทันทีที่กล่าวจบ มันก็พยายามกระโจนขึ้นมาบนวงแหวนอีกครั้ง

ปัง!

ร่างของปู้เจ้อคล้ายวิ่งชนกำแพงหนา จนกระเด็นถอยออกไปไกล

เห็นได้ชัดว่าวงแหวนแห่งนี้ไม่ให้โอกาสที่สองแก่มัน

“ต่อไป!”

เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส

อัจฉริยะหนุ่มคนที่สองก้าวย่างขึ้นมาบนลานประลอง พร้อมจับจ้องเย่หยวนอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ข้าไม่มีทางเหมือน…”

บูมมม!

เขากำลังจะกล่าวว่า เขาไม่มีทางเหมือนปู่เจ้อที่ประมาทโง่ๆแบบนั้นแน่นอน!

ทว่าท้ายที่สุดนี้กลับตามรอยกันไป ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นออกไปก่อนจะกล่าวจบเสียอีก

ยามนี้ทุกสายตาที่จับจ้องเขาพลันจริงจังขึ้นทันตา ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบแล้วว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

‘ลูกพลัมอ่อนที่ว่า’ตอนนี้ดูท่าจะค่อนข้างแข็งไม่น้อย!

กระบวนโจมตีก่อนหน้านี้ของเย่หยวนรวดเร็วไม่น่าเชื่อ กล่าวตามตรงพวกเขาไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเย่หยวนด้วยซ้ำ

ทั้งสองที่พ่ายลงเมื่อครู่ปรากฏว่ามิได้เกี่ยวข้องกับที่เย่หยวนลอบโจมตีแต่อย่างใด

ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถตอบสนองการโจมตีของเย่หยวนได้ทัน!

เหล่าผู้ที่มา ณ ที่แห่งนี้ได้ล้วนมีแต่เหล่าอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะทั้งสิ้น

ครั้งแรกยังสามารถกล่าวได้ว่าบังเอิญ แต่เกิดขึ้นซ้ำสอง…กลับหาใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป

“ต่อไป!”

ในยามนี้สุ้มเสียงเย่หยวนที่เอ่ยดังออกมาราวกับเสียงเรียกแห่งความตายเปล่งดังผ่านแก้วหูของพวกเขา

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด