Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1529 ขุมพลังแห่งโถงบัลลังก์ม่วง!

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1529 ขุมพลังแห่งโถงบัลลังก์ม่วง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อวี้หาน ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ! ตอนนี้ข้าต้องถูกมาที่นี่พร้อมกับเจ้า!”

จ้าวทัพปีศาจสุดแกร่งกร้าวเอ่ยปากประชดประชันเสียดสีอวี้หานไม่หยุดหย่อน

อวี้หานท่าทียังคงเฉยเมนไม่สนใจหรือแม้แต่โต้ตอบหักล้างใดๆ

นางทราบดีว่ายามนี้เอ่ยกล่าวอะไรไปล้วนต้องผิดไปหมด

แต่เรื่องนี้กลับโทษนางได้หรือไม่?

แม้แต่ท่านดาราสวรรค์และท่านติงเอ๋อก็ยังไม่สามารถมองผ่านตัวตนที่เก็บงำได้ออก แล้วนับประสาอะไรกับนาง?

ใครจะไปรู้ว่ามนุษย์จะสามารถหลอมตัวเป็นปีศาจได้สมบูรณ์แบบปานนี้?

โม่หานจับจ้องภาพฉากนี้พร้อมใบหน้าเศร้าหมองมืดมนมิใช่น้อย

เขาเองก็ขออาสาอยู่ที่นี่ต่อไปเช่นกัน

ความไม่พอใจของโม่หานที่มีต่อเย่หยวนค่อนข้างร้าวรานแตกลึก ยามนึกถึงท่าทีอันหยิ่งผยองของเย่หยวน เขาพลันรู้สึกเดือดดาลขึ้นทันทีอย่างบอกไม่ถูก

ในที่สุดเขาก็สามารถลงมือจัดการอีกฝ่ายได้ คราวนี้เย่หยวนจักต้องคุกเข่าขอความเมตตาต่อแทบเท้าเขา!

ดังนั้นแล้วโม่หานจะปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ให้หลุดมือได้อย่างไร?

“เอาล่ะ จื้อเฉิน เจ้าเลิกบ่นได้แล้ว หากกล่าวว่าใครในตอนนี้เกลียดไอ้เด็กเหลือขอนั้นสุดคงเป็นน้องอวี้หาน ใช่หรือไม่น้องอวี้หาน?”

จู่ๆโม่หานก็เอ่ยปากกล่าวขึ้น

อวี้หานเหลือบมองโม่หานเจือประหลาดใจ ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า

“สิ่งที่พี่โม่หานกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าในตอนนี้หวังที่จะกะซวกเนื้อสดของมันกินทั้งแบบนั้น เพื่อล้างชำระความเกลียดชังภายในใจนี้! ตราบใดที่ไอ้เด็กเหลือขอนั้นออกมา ข้าจะแสดงให้มันเห็นเองว่า ความน่ากลัวที่แท้จริงเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย!”

ขณะที่นางเอ่ยกล่าว อวี้หานพลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนหันขวับจับจ้องไปทางซากโบราณสถานทันที

โม่หานอุทานลั่นตกใจยิ่ง

“ค่ายกลมัน…หายไปแล้ว!”

ทีแรกทั้งสามสะดุ้งเฮือกชั่วขณะ ก่อนเผยสีหน้าแสนสุขใจในทันที

ภายในซากโบราณสถานแห่งนี้จักต้องเก็บซ่อนขุมสมบัติไว้มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ภายในนั้นจะมีสมบัติจ้าวปีศาจเลิศล้ำเพียงอย่างเดียว แต่นี่นับว่าเป็นกำไรก้อนโต!

ทันทีทันใดอวี้หานขมวดคิ้วแน่น นางเอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“นี่ไม่ถูกต้อง! ก่อนหน้านี้ค่ายกลยังทำงานปกติดี ไฉนจู่ๆถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย? หรือนี่…จะเป็นกับดัก?”

โม่หานก็รู้สึกได้เช่นกันว่าสถานการณ์นี้ดูแปลกพิกล คล้อยหลังครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาพลันสว่างไสวขึ้นกล่าวว่า

“มีความเป็นไปได้ว่ามรดกภายในซากโบราณสถานแห่งนี้จะตกเป็นของบรรพกาลราตรีแล้ว นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ค่ายกลหายไป”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ระเบิดหัวร่อน้ำเสียงเหี้ยมโหดลั่นสนั่น

“ตราบใดที่เราสามารถจับเจ้าเด็กนั่นได้ สมบัติทั้งหมดจะตกเป็นของเรา!”

ดวงตาอีกสองคู่พลันสว่างวาบฉายแววโลภในทันใด

พวกเขาทราบแล้วว่า ก่อนหน้านี้ที่ติงฟานผ่านด่านไปได้แปดรอบก็ได้รางวัลเป็นถึงสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำระดับต่ำแล้ว

ดังนั้น…เย่หยวนที่สามารถผ่านควบทั้งสิบแปดรอบ ทั้งยังอยู่ภายในนั้นเป็นเวลานานถึงสามเดือน รางวัลที่อีกฝ่ายได้รับจะเหนือจินตนาการเพียงใด! แค่คิดก็ทำให้พวกเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

ทันใดนั้น อวี่หานกล่าวขึ้นว่า

“ท่านพี่ทั้งสอง กล่าวตามตรง หากภายในนั้นมีสมบัติน้อยกว่าที่คาด อวี่หานกลับไม่ต้องการอะไรมาก ขอเพียงสมบัติจ้าวปีศาจเลิศล้ำสักชิ้นมาประดับคู่กายข้างก็พอ ที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นของท่านพี่ทั้งสอง ว่าอย่างไรบ้าง?”

อวี่หานนางนี้ค่อนข้างฉลาดหัวไว นางข้อทำข้อตกลงเป็นประกันไว้ล่วงหน้าทันที

นางถึงขั้นลดความคาดหวังของตนเองลงเพื่อขอสมบัติจ้าวปีศาจเลิศล้ำเพียงชิ้นเดียว คำขอเช่นนี้มิอาจปฏิเสธลงได้จริงๆ

มิฉะนั้นหากทั้งสามทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ ในท้ายที่สุดนางอาจไม่ได้อะไรกลับไปเลยสักชิ้น

โม่หานกับจื้อเฉินสบตากันเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า

“ไม่มีปัญหา! หากภายในนั้นมีสมบัติไม่มากจริงๆ คงต้องทำเช่นนั้น แต่หากมีจำนวนมากมาย ก็ต้องแบ่งสันปันส่วนให้ดี และอย่าลืมเก็บเข้ากระเป๋าพวกเราเป็นการส่วนตัว”

“เช่นนั้นแล้ว…ไยไม่รีบเข้าไปกัน?”

จื่อเฉินโพล่งกล่าวขึ้นทันที

โม่หานยิ้มและกล่าวว่า

“รีบเข้าไปเพื่ออันใด? นั่งรอพักผ่อนอยู่ที่นี่ไม่ดีกว่ารึ? เมื่อไอ้เด็กเหลือขอนั้นได้รับมรดกสมบัติมาแล้ว เป็นไปได้ไหมที่มันจะไม่กลับออกมา?”

แววประกายสาดสะท้อนผ่านนัยน์ตาของจื่อเฉิน เขายิ้มกล่าวว่า

“เข้าท่านัก!”

ทั้งสามสบสายตากันพร้อมคลี่ยิ้มกว้างเบิกบานใจ ก่อนหายวับไปจากจุดที่เคยยืนอยู่

หลังจากนั้นไม่นานพลันปรากฏร่างหนึ่งก้าวแช่มออกมาบริเวณทางเข้าซากโบราณสถาน นั่นจะเป็นใครไปมิได้นอกจากเย่หยวน

คล้อยหลังที่เย่หยวนปรากฏตัวออกมา เขาก็เรียกดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าขึ้นกระชับมืออย่างระแวดระวัง

เมื่อพวกอวี่หานทั้งสามเห็นดังนั้นยังรอช้าอยู่ไย? พวกเขาเผยตัวจากที่ซ่อนออกมาโดยตรง!

“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี ไม่ได้พบกันเสียนาน!”

โม่หานเอ่ยทักทายขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม

แต่อวี่หานคำรามเสียงเยียบเย็นขึ้นลั่นว่า

“บรรพกาลราตรี เจ้าหลอกข้า! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!”

สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนแปรเปลี่ยนไปในทันที ก่อนเคลื่อนร่างไสววูบเร่งตรงเข้าในซากโบราณสถาน

รอยยิ้มอันแสนเย็นชาเย้ยหยันกระตุกขึ้นบนมุมปากของอวี่หาน

“คิดหนี? ขอดูเสียว่าจะวิ่งไปได้แค่ไหน!”

ขณะลั่นวาจาเอ่ยกล่าวอวี่หานก็โบกมือสะบัดโจมตีใส่ พลังปฐพีสุดไร้เทียมทานขุมใหญ่เข้าห่อหุ้มร่างของเย่หยวนในทันที

นางมั่นใจอย่างยิ่งว่า เย่หยวนไม่มีทางต้านทานพลังปฐพีอันไร้เทียมทานนี้ได้แน่นอน

แต่ใครจะไปทราบ แท้จริงแล้วเย่หยวนกลับมิได้รับผลของพลังปฐพีนี้แต่อย่างใด และพุ่งหนีเข้าไปในซากโบราณสถานโดยตรง

สีหน้าการแสดงออกของทั้งสามพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่า เย่หยวนจะรับมือยากขนาดนี้

“ตามมันไป!”

ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่งก่อนตัดสินใจเคลื่อนไหวในทันที

ยามนี้ไม่มีค่ายกลคอยปกป้องซากโบราณสถานอีกแล้ว พวกเขายังต้องกลัวอะไรอีก?

วูบ!

วูบ!

วูบ!

ร่างทั้งสามปราดพุ่งไล่ตามเย่หยวนประชิดติด เข้าไปในซากโบราณสถานอย่างรวดเร็ว

แต่ทันใดนั้นภาพฉากเบื้องหน้าทั้งหมดพลันพร่ามัวต่อหน้าต่อตาพวกเขา รู้สึกฟื้นตัวอีกทีพวกเขาก็มาถึงโถงกว้างแห่งหนึ่งแล้ว

ภายในโถงกว้างแห่งนี้เป็นทางตัน เย่หยวนไม่เหลือที่ให้หนีอีกต่อไป!

อวี่หานระเบิดหัวเราะเยาะดังลั่น

“วิ่งสิ! วิ่งไปต่อ! เจ้าเก่งนักมิใช่รึเรื่องวิ่งหนี?”

โม่หานยังคงยิ้มเยาะกล่าวเสียดสีขึ้นว่า

“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี พวกเรามิได้พบพานตั้งสามเดือนมาแล้ว ไฉนไม่จับเข่านั่งลำลึกถึงวันวานกันหน่อย? จะวิ่งหนีไปเพื่ออันใด?”

อย่างไรก็ตาม สีหน้าการแสดงออกของจื่อเฉินกลับแสนมืดทมิฬนัก เขาคำรามขึ้นลั่น

“เจ้าหนู ส่งสมบัติทั้งหมดที่เจ้าได้รับมาเสีย ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างไม่ต้องทรมาน!”

แต่เมื่อเข้ามาถึงโถงกว้างแห่งนี้ สีหน้าการแสดงออกอันแสนตึงเครียดของเย่หยวนก่อนหน้าพลันหายวับไปไม่เหลือร่องรอย กลับเป็นความสงบนิ่งที่แทรกเข้ามาแทน

ความสงบย่อมสยบสรรพสิ่ง!

“หุหุ ชวนให้นึกถึงวันเก่าๆเสียจริง แต่นี่คงมิใช่วิธีปฏิบัติต่ออาคันตุกะชั้นสูงอย่างข้า ช่างเถอะ ในเมื่อทั้งสามมาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นมาสนทนาถึงวันวานกันเถอะ!”

เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้าประดับยิ้มบาง

สีหน้าการแสดงออกของทั้งสามพลันแปรเปลี่ยนทันที อวี่หานเอ่ยเสียงเย็นชืดขึ้นว่า

“เจ้าหมายความอย่างไร?”

“เหอะ พยายามแกล้งให้เราตกใจกลัวกระมัง? ไอ้เด็กเหลือขอ ระยะห่างเพียงเท่านี้ แค่พวกเราขยับนิ้วเจ้าก็ตายแล้ว!”

โม่หานแสยะยิ้มเย็นใส่

เย่หยวนเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้มว่า

“เช่นนั้นรึ? แต่ข้า…ไม่จำเป็นต้องขยับนิ้วด้วยซ้ำ พวกเจ้าก็…ตายได้!”

โม่หานที่ได้ยินแบบนั้นก็อดระเบิดหัวเราะลั่นมิได้ ก่อนเอ่ยกล่าวว่า

“เราประมุขโถงผู้นี้กลัวแล้ว! ฮ่าๆๆ เช่นนั้นขอดูหน่อยเสียว่าจะเป็นข้าหรือเจ้าที่ตายก่อนกัน!”

เย่หยวนในยามนี้ดูไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เขากล่าวตอบเจือน้ำเสียงสบายอารมณ์ไปว่า

“หากเช่นนั้น ความหมายของเจ้าคือ…ไม่อยากระลึกเรื่องในวันวานกันแล้วรึ?”

ทันทีทันใดสีหน้าการแสดงออกของโม่หานพลันทวีความดุร้ายขึ้นหลายส่วน เขากรนคำรามสุดโกรธกร้าวลั่น

“ระลึกบิดาเจ้าเถอะ! ประมุบโถงผู้นี้จะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”

เอ่ยกล่าวจบ รัศมีกลิ่นอายปีศาจของโม่หานพลันปะทุเดือดขึ้นทันที พร้อมชี้นิ้วเข้าใส่เย่หยวน

แต่ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ พลันปรากฏรัศมีแรงกดดันอันไร้เทียมทานขึ้นทั่วทุกมุมโถงกว้าง

ลำแสงทั้งสามสายยักษ์พวยพุ่งผ่าสะบั้นลงมาใส่ร่างทั้งสามโดยตรง!

พลังปฐพีของโม่หานยังไม่ทันระดมเสร็จสิ้นดี ภายใต้ลำแสงยักษ์อันทรงพลังนี้ เขากลับไม่มีอำนาจต้านทานแม้แต่น้อยก่อนสูญสลายหายไปโดยไม่มีโอกาสได้ร้องขอชีวิตใดๆ

จ้าวทัพปีศาจทั้งสามผู้ยิ่งใหญ่ถูกกำจัดไปโดยโถงบัลลังก์ม่วงในพริบตา

เย่หยวนจับจ้องภายในแววตาช่างไร้คลื่นอารมณ์ความรู้สึกใด พร้อมถอนหายใจกล่าวว่า

“เฮ้ออ… ผลึกปราณเทวะหนึ่งร้อยห้าสิบล้านก้อนซื้อสมุนไพรวิญญาณได้ไม่รู้เท่าไหร่! ช่างเถอะ…ปล่อยให้พวกมันอยู่นานเกินไปกลับเป็นอันตราย กันไว้ดีกว่าแก้”

ตึงงง…

ซากโบราณสถานขนาดมหึมาหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว ผลส่งให้เกิดแผ่นดินไหวชั่วขณะ

ในที่สุดโถงบัลลังก์ม่วงก็ย่อตัวเล็กกลายเป็นเม็ดฝุ่น และพวยพุ่งเดินทางออกไปทางดินแดนของเผ่ามนุษย์

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด