Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1738 หมูหมากาไก่

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1738 หมูหมากาไก่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ด้วยตราประทับเดียวนี้ ลัวยองก็ต้องถึงกับบาดเจ็บปางตาย!

ด้วยพลังบ่มเพาะของเย่หยวนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พลังที่ตรานิพพานแสดงออกมาได้มันก็ยิ่งเติบโตตาม

ตอนนั้นที่เย่หยวนยังอยู่แค่ต้นๆ ของอาณาจักรวายุพระเจ้าสามดาว เขาก็มีพลังฝีมือที่มากพอจะจัดการราชันพระเจ้าหกดาวอย่างเซียโหหยุนได้

ตอนนี้เขายิ่งพัฒนามาถึงยอดของอาณาจักรวายุพระเจ้าสามดาวแล้ว พลังฝีมือที่เขาแสดงออกมามันจึงเหนือล้ำกว่าลัวยองอย่างที่ไม่ต้องเทียบกันเลย

สิ่งที่น่าขำที่สุดก็คือเขาคนนี้กลับกล้าที่จะก่อกวนเย่หยวนมาตลอดทาง

เมื่อถูกตรานิพพานเข้าไป ลัวยองก็ค่อยๆ บาดเจ็บและใกล้ตายลงทุกที ดวงตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

เขารู้ดีว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนที่สู้กับราชาแมลงนั้นเขาจะยังไม่ได้ใช้พลังฝีมือที่มีออกมาทั้งหมด!

ผู้ฝึกฝนร่างกาย?

บ้าบอสิ้นดี!

เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนั้นเย่หยวนต้องสู้อย่างมีข้อจำกัด? ข้อจำกัดที่ว่าเขาไม่สามารถสังหารราชาแมลงลงได้จนกว่าจะเจอสมุนไพรแก้พิษ

แน่นอนว่าสิ่งที่แสดงออกไปตอนนั้นย่อมไม่ใช่พลังฝีมือทั้งหมดของเย่หยวน

ตอนนี้อีกฝ่ายก็หยุดมือลงทันทีพร้อมหันมามองเขาเป็นตาเดียว

ฉีตงอี่นั้นมีหน้าที่เหยเกอย่างถึงที่สุด ดาบของเขาไม่สามารถที่จะแตะต้องได้แม้แต่ชายเสื้อของเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ

แนวคิดแห่งห้วงมิติ!

เด็กคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดเรอะ?

เขาไปฝึกฝนแนวคิดที่น่ากลัวอย่างแนวคิดแห่งห้วงมิติได้อย่างไร?

“พ-พี่ฉี ช-ช่วยข้าด้วย!” ลัวยองใช้แรงเฮือกสุดท้ายร้องตะโกนออกมา

ฉีตงอี่หน้าเปลี่ยนสีไปทันทีและตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล “เจ้าสารเลว กล้ามาหลอกข้าได้! ไปตายเสีย!”

พูดจบฉีตงอี่ก็เหวี่ยงดาบวงแหวนออกไปสุดแรงจนมันกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป

ร่างอันน่าสมเพชของลัวยองถูกผ่าครึ่งออก

ก่อนจะตายไป เขายังคิดอยากให้ฉีตงอี่ช่วย ใครจะไปคาดฝันว่าคนที่ปลิดชีวิตของเขาจะกลับกลายเป็นฉีตงอี่เอง

ฉีตงอี่นั้นสังหารลัวยองด้วยดาบเดียวและยกมือขึ้นมาคารวะเย่หยวนแทนด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ น้องชาย เรื่องนี้ล้วนเข้าใจผิดกัน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งสิ้น! ลัวยองคนนี้มันหลอกใช้ข้าต่างหาก หวังว่าน้องชายจะไม่เก็บมันใส่ใจ”

เรื่องราวตรงหน้ามันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็วจนคนที่เหลือได้แต่ทำหน้างง

ฉีตงอี่คนนี้มันจะหน้าไม่อายไปหน่อยไหม?

แต่ในเทือกเขาเทพอสูรนี้ เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมเกิดขึ้นได้เป็นปกติ หลังจากหายตกใจพวกเขาทั้งหลายจึงเริ่มเบาใจลง

เพราะในที่แห่งนี้มันมีแต่คำว่าผลประโยชน์ ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร

ด้วนเผิงเองก็ถอนหายใจยาวออกมา ไม่นึกไม่ฝันเช่นกันว่าฝีมือของเย่หยวนนั้นมันจะแข็งแกร่งมากมายจนจัดการลัวยองได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนี้

ดูแล้ว ฉีตงอี่เองก็คงตื่นกลัวไม่น้อยจนต้องถอนตัวอย่างแทบไม่ทัน

เย่หยวนดูภาพตรงหน้ามาตลอด เห็นการกระทำของฉีตงอี่ทุกอย่างโดยไม่คลาดสายตา

แต่เย่หยวนกลัวยิ้มออกมา “เข้าใจผิด? ข้าว่าไม่มีอะไรเข้าใจผิดกันหรอก! หากฝีมือของข้าต่ำต้อยกว่านี้คนที่นอนตายตรงนั้นก็คงเป็นข้าแทนใช่ไหม?”

ฉีตงอี่ทำหน้าเหยเกทันที “เรื่องนี้…นี่…มันเข้าใจผิดกันจริงๆ! น้องชายจงอย่าได้ไปใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ วันหน้าฉีตงอี่ผู้นี้จะผูกมิตรเป็นสหายกับเจ้าเอง!”

เย่หยวนมองดูฉีตงอี่ด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นชา “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสภาพตัวเองนะ! เป็นสหายกับข้า? เจ้ามีค่าพอ?”

ฉีตงอี่หน้าถอดสีและบ่นออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “เด็กน้อย วันหน้าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันอีก! ในเทือกเขาเทพอสูรนี้ทุกคนต่างเคยได้พบเจอกันทั้งสิ้น เจ้าอยากจะสู้กันจนตายไปตรงนี้จริงๆ? เจ้านั้นมีฝีมือจริง แต่เรามียอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวสี่คน หากเราสู้กันจนตายจริง เจ้าก็ไม่รู้หรอกว่าใครกันแน่ที่จะอยู่จะตาย!”

เมื่อเย่หยวนได้ยิน เขาก็ยิ้มออกมา “เจ้านี่มั่นใจจริงๆ นะ!”

ฉีตงอี่ยิ้ม “มั่นใจ? พ่อเจ้าคนนี้เดินทางหากินในเทือกเขาเทพอสูรนี้มาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี หากไม่มีความมั่นใจใดแล้วข้าจะยังอยู่ได้จนถึงวันนี้? หวังเสี่ยว ดูเหมือนน้องชายท่านนี้จะอยากลองมือเราหน่อย มาช่วยกันโจมตี!”

คำสั่งนั้นทำให้ยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาวอีกสามคนเดินเข้ามาร่วมวงทันที

ด้วนเผิงนั้นได้แต่ถอนหายใจ ทั้งๆ ที่เรื่องมันน่าจะจบได้แล้วแท้ๆ แต่เขาไม่นึกเลยว่าเย่หยวนจะเป็นฝ่ายที่สานต่อไม่ยอมจบ!

แม้ว่าเย่หยวนจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรการสู้หนึ่งต่อสี่มันก็คงเกินมือ

แต่ตอนนี้ทางเลือกเดียวของเขาก็คือการยืนข้างเย่หยวน

เย่หยวนกลับบอกออกมา “หัวหน้าด้วน ท่านดูไปเถอะ แค่หมูหมากาไก่เช่นนี้นายน้อยคนนี้ไม่ต้องเอาจริงเสียด้วยซ้ำ”

คำพูดนั้นทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง ฉีตงอี่หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆๆ หมูหมากาไก่เรอะ! พ่อเจ้าคนนี้ล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าฝีมือเจ้ามันดีเท่าปากไหม!”

เย่หยวนชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าออกมา “ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร?”

พูดไปคลื่นดาบอันรุนแรงก็พุ่งขึ้นสะท้านฟ้า ก่อนที่ร่างของเย่หยวนจะค่อยๆ เบลอไป

ฉีตงอี่ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ผสานแนวคิด!”

แต่ว่ามันก็ไม่มีเวลาเหลือให้เขาได้ตกใจใดๆ แล้ว เพราะเย่หยวนพุ่งเข้ามาหาเขาแล้วเรียบร้อย

เย่หยวนที่ใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติ ร่างกายของเขานั้นจะเร็วได้ถึงขั้นไหน?

เขาไม่ต้องใช้วิชาดาบวิญญาณลับเลยด้วยซ้ำ แค่ผสานแนวคิดธรรมดาๆ มันก็มากพอจะกำจัดศัตรูเช่นนี้แล้ว

เย่หยวนพุ่งเข้าไประหว่างกลางคนทั้งสี่ราวกับเสือร้ายโดดเข้ากลางฝูงแกะน้อย กดดันพวกเขาทั้งสี่ไว้จนโงหัวไม่ขึ้น

ในพริบตานั้น ร่างกายของคนทั้งสี่ต่างได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน

เย่หยวนใช้ช่องว่างแทงดาบออกไปพุ่งตรงเข้าใส่หัวใจของฉีตงอี่

ฉีตงอี่ตื่นตกใจอย่างมาก คิดอยากที่จะหลบแต่มันก็สายเกินไป เขาจึงยกดาบวงแหวนในมือขึ้นมากันการโจมตีนั้นแทน

เคร้ง!

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นพร้อมๆ กับดวงตาของฉีตงอี่ที่เบิกกว้าง พลังชีวิตของเขาค่อยๆ จางหายไป

เพราะดาบของเย่หยวนนั้นหักดาบของฉีตงอี่ออกเป็นสองท่อน และพลังของมันก็ยังไม่เสื่อมลงพุ่งแทงทะลุหัวใจฉีตงอี่ไป

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นหมูหมากาไก่ไหมล่ะ?” เย่หยวนถาม

คนที่เหลือทั้งสามหายใจเข้าแรง ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยพร้อมดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

ราชันพระเจ้าสามดาวคนนี้มันจะเก่งเกินไปแล้ว!

เก่งจนทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง!

ด้วนเผิงมองดูภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว “ดาบแหวนใหญ่ราชันผีของฉีตงอี่นั้นเป็นถึงสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นกลาง มัน…มันกลับถูกฟันขาดสองท่อน!”

แม้ว่าดาบของเย่หยวนจะเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นสูงก็ตาม แต่การจะทำลายสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำชั้นกลางลงแบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นกัน

แค่นี้มันก็แสดงได้อย่างดีแล้วว่าดาบที่เย่หยวนแทงออกไปนั้นมันรุนแรงแค่ไหน!

เย่หยวนเก็บดาบยาวลง ทิ้งร่างไร้วิญญาณของฉีตงอี่ลงกับพื้น

เห็นแบบนั้นแล้วพวกหวังเสี่ยวจะยังมีแรงใดไปกล้าสู้? พวกเขาคุกเข่าลงในทันทีพร้อมพูดด้วยสีหน้าสุดหวาดกลัว “น-นายใหญ่ ไว้ชีวิตเราด้วย! ข้าน้อย…ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่! ขอนายใหญ่โปรดไว้ชีวิตเราด้วย!”

เย่หยวนไม่คิดสนใจและหันไปบอกด้วนเผิง “หัวหน้าด้วน ท่านจัดการคนพวกนี้ต่อด้วย”

เรื่องแบบนี้ปล่อยให้หัวหน้าด้วนที่เชี่ยวชาญที่สุดน่าจะดีกว่า

เขายึดของที่คนเหล่านั้นนำติดตัวเข้าเขามาด้วยและปล่อยพวกเขาไปยังทิศทางที่จะหลงได้ง่ายๆ

เมื่อเย่หยวนปล่อยให้เขาจัดการ มันย่อมหมายความว่าเขาไม่คิดที่จะฆ่าใครอีก

ด้วนเผิงเองก็มีชีวิตมานานแสนนาน เขาจึงพอที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้

กลุ่มของฉีตงอี่นั้นล่าสมบัติมาได้หลายชิ้น พวกเขาน่าจะเอาไปขายได้ราคาสูง

แน่นอนว่าเหล่าสมบัติธรรมชาติเหล่านี้ด้วนเผิงย่อมให้เย่หยวนได้ดูก่อนว่าต้องการอะไรไหม

ถ้าเป็นสมุนไพรแล้วเย่หยวนย่อมยินดีรับทุกสิ่งอย่างไว้ เขาจึงเลือกสิ่งที่อยากได้และปล่อยให้พวกเขาทั้งหลายเอาที่เหลือไปแบ่งกัน

เมื่อเสร็จเรื่องราวเหล่านี้ พวกเขาทั้งหลายจึงถอนหายใจออกมาได้อย่างเต็มปอด สายตาที่พวกเขามองไปยังเย่หยวนนั้นแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

แม้แต่ด้วนเผิงเองก็มองดูเย่หยวนด้วยความกลัว

“เอาล่ะ น่าจะได้เวลาแล้ว ผลภูติดินปีกเงินน่าจะใกล้สุกแล้ว พวกวานรอสูรตาม่วงก็คงทนทานไว้ไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปข้าจะเข้าไปล่อวานรอสูรตาม่วงออกมา พวกท่านเข้าไปเก็บผลภูติดินปีกเงินและดอกเครือเขียวตาข่ายหยกออกมา เอาผงนี้ไปด้วย หากพวกค้างคาวพิษรัตติกาลมันเข้ามาโจมตีพวกท่านก็จงใช้มันเสีย พวกค้างคาวพิษรัตติกาลไม่กล้าเข้าใกล้แน่”

พูดไปเย่หยวนก็โยนผงโอสถหลายถุงให้แก่พวกเขาทั้งหลาย

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด