Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1752 อ่านโดยไม่เข้าใจ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1752 อ่านโดยไม่เข้าใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เมื่อกี้ดูอย่างไรก็เป็นฉีเฟิงที่เหนือกว่า ทำไมจู่ๆ เขาถึงกลายเป็นฝ่ายแพ้ไปเล่า?”

“ใช่ ข้าเห็นแค่ว่าเจ้าเด็กนั่นมันถูกไล่ไปทั่ว แต่จู่ๆ คิ้วของฉีเฟิงก็ติดไฟขึ้นมาเสียอย่างนั้น”

“หรือว่าเจ้าเด็กนี่มันจะโชคดีและบังเอิญชนะได้?”

การพ่ายแพ้ของฉีเฟิงเมื่อสักครู่นี้ ดูอย่างไรทีแรกก็เป็นเขาที่ได้เปรียบแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แพ้พ่ายไปเสียอย่างนั้น?

ไม่ใช่แค่เขา ตอนนี้คนอื่นๆ ที่มองดูอยู่เองก็ไม่เข้าใจและแสดงสีหน้ามึนงงสับสนออกมาตามๆ กัน

มีแค่คนเดียว มีเพียงแค่ชายชราหัวขาวคนนั้นเท่านั้นที่มองไปยังเย่หยวนด้วยความตื่นตกใจ

การลงมือของเย่หยวนเมื่อสักครู่นี้มันแยบยลมาก เขาเปลี่ยนทิศไฟของฉีเฟิงสองอันพุ่งเข้าไปเผาคิ้วอีกฝ่ายด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติ

เพียงแค่ว่าการลงมือนี้ของเย่หยวนมันแสนจะแยบยล ด้วยพลังสายตาของผู้คนทั้งหลายที่มองดูอยู่ตอนนี้มันจึงไม่มีใครที่จะมองออกได้เลย

“ศิษย์พี่ฉีเฟิง แข่งกับมันอีก! นักบวชอย่างเราๆ จะไปแพ้นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำได้หรือ?” ในฝูงชนมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น

ฉีเฟิงเองก็ทำหน้านิ่งและบอกออกมา “ได้! ข้าจะวางห้าร้อยแต้ม หากเจ้าแพ้เจ้าต้องเสียทั้งผลปั้นจั่นอายุและสามร้อยแต้มที่มีให้ข้า! เจ้ากล้ารับคำท้าไหม?”

เย่หยวนยักไหล่ตอบ “เจ้านี่มันหน้าไม่อายจริงๆ สองร้อยแต้มก็คิดจะเอามาเทียบกับผลปั้นจั่นอายุของข้าแล้ว แต่…ทำไมข้าจะไม่กล้ารับล่ะ? เจ้าลงมือเลย!”

ฉีเฟิงกำลังคิดจะลงมือแต่ก็หยุดตัวเองไว้ก่อน “เมื่อรอบก่อนข้านั้นลงมือไปแล้ว ตอนนี้เจ้าลงมือก่อนบ้าง!”

เย่หยวนยิ้ม “เจ้าอยากให้ข้าลงมือก่อนจริง? หากข้าลงมือก่อนเจ้าคงไม่มีปัญญาจะชนะได้แล้ว”

ฉีเฟิงยิ้ม “เมื่อกี้เจ้ามันก็แค่โชคดีเท่านั้น เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจปานนั้น? นอกจากผู้อาวุโสแล้วยังไม่มีใครกล้าพูดจาขนาดนี้ต่อหน้าข้าเลย เจ้านี้มันช่างอวดอ้างอย่างไม่ประมาณตน”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยหน้าเหนื่อยๆ “หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็จะขอลงมือก่อนล่ะ เจ้าเตรียมตัว”

คราวนี้ฉีเฟิงไม่คิดที่จะประมาทศัตรูอีกต่อไปแล้ว เขาพร้อมตั้งรับอย่างเต็มที่ สายตาจับจ้องไปยังเย่หยวน

เขาตัดสินใจที่จะทำให้เย่หยวนต้องร้องขอชีวิต

ให้เขาได้รู้ว่านักบวชนั้นไม่ใช่ตัวตนที่จะมาลบหลู่กันได้!

ตอนนี้เองที่เย่หยวนค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมา มือของเขากำแน่นโดยมีแค่นิ้วชี้และนิ้วกลาวที่ยื่นออกมา

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉีเฟิง มือทั้งสองข้างเตรียมการวาดตราไว้ พร้อมที่จะเรียกไฟศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาอีกครั้ง

เย่หยวนขยับนิ้วทั้งสองเล็กน้อย!

ฟุบ!

พรึ่บ!

โดยที่ยังไม่มีใครทันตั้งแต่ก็เกิดไฟลุกขึ้นท่วมสูง

ฉีเฟิงเรียกไฟดาวอนันต์ออกมาอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว

ในฝูงชนมีคนตะโกนขึ้น “ศิษย์พี่ฉีเฟิง ผมท่าน! ผมของท่าน!”

ฉีเฟิงนิ่งไปและบ่นขึ้นมา “ผม?”

จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะ เป็นตอนนี้เองที่เขาเริ่มตื่นตัวขึ้นมา

“อ่า! อ้าก! ผมข้า! ไหม้แล้ว! ผมไหม้แล้ว!”

ฉีเฟิงตะโกนร้องออกมาพร้อมกระโดดไปมาไม่หยุด ราวกับเป็นกระต่ายที่ตื่นตูม เป็นท่าทางที่แสนน่าขบขัน

แต่ไฟบนหัวของเขานั้นกลับรุนแรงอย่างมากและไม่มีทีท่าจะดับลงแม้แต่น้อย

ชายชราผมขาวได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างตื่นตกใจ

ทักษะการควบคุมไฟของคนทั้งสองนี้มันห่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิงเลย

ทักษะของเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะง่ายแต่แสนซับซ้อน

ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ถึงขั้นนี้

นี่มันนักบวชฝึกหัดหน้าใหม่ไม่ใช่หรือ?

ทำไมยอดอัจฉริยะระดับนี้ถึงได้มาอยู่ระดับล่างได้?

“อ่า มือข้า! ข้า…ข้ายอมแพ้! ข้าขอยอมแพ้! รีบดับไฟให้ข้าเร็ว!”

มือของฉีเฟิงนั้นไม่สามารถจะจับศีรษะของตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเย่หยวนนั้นมันพัฒนาไปถึงยอดระดับสี่มานานมากแล้ว มีพลังที่ไร้สิ้นสุด

หากเย่หยวนไม่คิดที่จะดับมัน ไฟนี้ก็คงไม่มีวันมอดดับเป็นแน่

เย่หยวนยิ้มออกมาและยื่นมือเข้าไปเก็บก้อนไฟนั้นเข้ามาไว้

แต่ระหว่างที่ดวลกันนั้นเส้นผมของฉีเฟิงก็ไหม้จนดำสนิท เป็นภาพที่แสนตลกติดอยู่บนหัวของเขา

เมื่อทุกคนได้เห็นมันแล้วพวกเขาต่างก็ได้แต่ต้องกลั้นขำอย่างสุดชีวิต

แต่กับฉีเฟิงแล้วภาพในตอนนี้มันยิ่งเสียกว่าการเสียหน้า

เย่หยวนเองก็พยายามกลั้นขำไว้และยกมือขึ้นคารวะ “ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งนี่สมชื่อจริงๆ เย่หยวนได้เรียนรู้มากมาย!”

“ดูท่าไอ้เด็กคนนี้มันจะไม่ได้แค่โชคดีเสียแล้ว!”

“โชคก็บ้าแล้ว! เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าฉีเฟิงเจ้าลองไปโชคดีให้ข้าดูสักทีสองทีสิ!”

“นี่เขาเป็นแค่นักบวชฝึกหัดจริงๆ หรือ? ข้าไม่สามารถเข้าใจทักษะการควบคุมไฟของเขาได้เลยแม้แต่นิด!”

หลังจากหายขำแล้วสิ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนๆ กันตอนนี้ก็คือความตื่นตะลึง

ในที่นี้มีนักบวชอยู่มากมายหลายคน แต่คนที่จะมองทักษะการควบคุมไฟของเย่หยวนออกนั้นมันกลับไม่มีเลยสักคน!

นักบวชฝึกหัดที่มีทักษะการคุมไฟถึงขั้นนี้มันจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ?

แต่เย่หยวนก็ไม่คิดที่จะสนใจพวกเขา เพราะเป้าหมายของเขาแต่แรกมันก็คือการหาแต้มความดี เมื่อตอนนี้เขารู้ถึงมันแล้วเขาย่อมคิดที่จะเข้าศาลาสวรรค์หลวงเพื่อหาความรู้!

เมื่อถ่ายโอนแต้มเสร็จ เย่หยวนก็หันไปบอกกับชายชราผมขาว “ผู้อาวุโสข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”

ชายชราตอบกลับมา “ย่อมได้ ตอนนี้ระดับของเจ้าเข้าไปได้แค่ศาลาสวรรค์หลวงชั้นหนึ่ง สองชั่วโมงต่อห้าแต้ม ค่ายกลของศาลาจะตัดแต้มเจ้าเอง เพราะฉะนั้นเจ้าจงกะเวลาของตัวเองให้ดี!”

เย่หยวนทำหน้าเหยเกออกมาเมื่อได้ยิน “สองชั่วโมงห้าแต้ม นี่มันจะไม่แพงไปหน่อยรึ?”

ชายชราตอบกลับมาด้วยท่าทางดุดัน “พูดจาไร้สาระอีกเฒ่าคนนี้จะตบหน้าเจ้าให้ตายคาที่เลย!”

เย่หยวนแลบลิ้นออกมาและเดินเข้าไปด้านใน

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้พวกเขาทั้งหลายต่างมึนงง

ชายชราคนนี้มันเป็นแค่คนแก่ที่ดูแลศาลาสวรรค์หลวงเองไม่ใช่หรือ?

เจ้าเด็กคนนี้มันทำตัวอวดดีกับฉีเฟิงถึงขนาดนั้น แต่กลับแสดงท่าทีเคารพต่อชายแก่คนนี้?

ชายแก่คนนี้ดูไม่มีพิษภัยต่อผู้คนหรืออสูร คลื่นพลังจากร่างของเขานั้นก็ไม่ได้รุนแรงมากมาย

นักบวชและนักบวชฝึกหัดที่มายังศาลาสวรรค์หลวงต่างก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจเขามากนัก

ส่วนชายแก่ก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเดินหน้ากลับเข้าไปในศาลาสวรรค์หลวงอีกครั้ง

เมื่อเข้ามาในศาลาสวรรค์หลวงชั้นแรกแล้วเขาก็พบว่านี่มันเป็นอีกโลกหนึ่ง

มันราวกับว่าเย่หยวนได้เดินเข้ามาในมหาสมุทรแห่งจารึกศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราววิธีการต่างๆ ล้วนถูกบันทึกและแสดงขึ้นมาบนจอแสง

ได้เห็นเช่นนั้น เย่หยวนก็ต้องเบิกตาโต

สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในตอนนี้ย่อมเป็นศาสตร์หลอมอสูร เพราะมันคือพื้นฐานของการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

ในชั้นหนึ่ง เย่หยวนเจอหมวดความรู้เกี่ยวกับศาสตร์หลอมอสูรและเริ่มศึกษามันอย่างจริงจัง

ความเข้าใจในวิถีโอสถของเย่หยวนในตอนนี้มันย่อมเหนือล้ำกว่าที่จะมีใครเทียบได้

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเหล่านักบวชฝึกหัด

แต่กับเย่หยวนแล้ว เขาแค่ต้องลองอ่านผ่านๆ ตาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที

เมื่อเย่หยวนเริ่มเก็บตัวเรียนรู้อยู่ด้านใน เวลากว่าสิบวันก็ผ่านไปได้ในพริบตา

จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลดีดร่างของเย่หยวนออกมาจากศาลาสวรรค์หลวงชั้นหนึ่งทันที

“โอ้ย! อะไรกันเนี่ย?”

เย่หยวนร่วงลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด

“แต้มความดีของเจ้าหมดแล้ว ค่ายกลจึงส่งเจ้าออกมาด้านนอก” ชายชราผมขาวที่มาอยู่ด้านหลังเย่หยวนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ช่วยตอบกลับไป

เย่หยวนนั้นพูดอะไรไม่ออก “นี่หรือเรียกว่าส่ง? ดูอย่างไรก็เตะออกมาชัดๆ”

ชายชราหัวเราะขึ้น “เจ้าคิดว่าแต้มความดีมันหาง่ายจึงไม่คิดที่จะรักษามันสินะ? เวลาหลายวันนี้เจ้าอ่านไปโดยที่ไม่เข้าใจอะไร ทำแบบนั้นมันจะช่วยอะไรเจ้าได้กัน?”

เย่หยวนนั้นมึนงงเมื่อได้ยิน “ท่านผู้อาวุโสมองดูข้าอยู่ตลอดช่วยหลายวันนี้เลย?”

ชายชราไม่คิดจะตอบเย่หยวนและพูดออกมาด้วยความโกรธเหมือนเวลาที่เด็กๆ ไม่สามารถทำตามความคาดหวังของคนแก่ได้ “เด็กน้อย เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่มากล้น แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้มันคงยากที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้!”

เขานั้นจับตามองดูเย่หยวนมาตลอดหลายวัน แต่เขากลับเห็นว่าเย่หยวนเปิดอ่านความรู้ผ่านๆ ตากว่าห้าร้อยเรื่องในช่วงเวลาแค่สิบวันนี้

และเรื่องราวห้าร้อยอย่างนี้ แต่ละอย่างมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากกว่าหลายสิบปี

ทำเช่นนี้มันจะไม่ใช่การล้อเล่นอีกหรือ?

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด