Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1826 สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1826 สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ ตอนนี้ศิษย์ทั้งหกสิบสี่จากนิกายเหล่านั้นกำลังมารวมกันที่ลานกว้างโดยเป้าสายตาที่ทุกผู้คนมองมาก็คือเย่หยวน

อี้ชิงเซียงรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาเหล่านั้นมันเปี่ยมไปด้วยความประสงค์ร้ายทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมา

“ผู้อาวุโสซู่ ทำไม… ทำไมพวกเขาทั้งหลายจึงมองเราเช่นนี้กัน?

ผู้อาวุโสซู่ตอบกลับ “การไปอยู่สวนป่าบนด้วยพลังฝีมือระดับพวกเรามันย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจ เพราะอย่างไรเสียสวนป่าบนนั้นก็ไม่เปิดรับแม้กระทั่งนิกายสว่างชัด จากนี้ไปพวกเจ้าจงระวังตัวให้มากเถอะ”

อี้ชิงเซียงและเจียงเชอเหยียนหน้าถอดสีไปทันที เวลาหลายวันมานี้พวกเขาทั้งหลายได้รับผลประโยชน์เพิ่มพลังการบ่มเพาะไปมากจากการพักอยู่ในสวนป่าบน

แต่ประโยชน์นี้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย

การต้อนรับที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของตนนั้นมันมักทำให้เกิดความอิจฉาไม่พอใจจากรอยข้างเสมอ

นี่คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายลืมเลือนไป

“นี่มัน… มันความผิดเย่หยวน!” เจียงเชอเหยียนบอก

อี้ชิงเซียงเองก็บ่นตาม “ใช่ ไอ้หมอนี่มันช่างชอบยืนอยู่ท่ามกลางความสนใจจริงๆ!”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะ

นี่แหละคือมนุษย์ เวลาได้ผลประโยชน์ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พอมีปัญหาใดๆ มันก็ล้วนเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งสิ้น

แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับสวนขึ้น “วันที่พวกเจ้าได้เข้าไปอยู่ยังเป็นตื่นเต้นดีใจกันจนตัวสั่น หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนพวกเราทั้งหลายคงได้ไปนอนอยู่ในโรงฟืน! ในฐานะศิษย์นิกายระดับเทพถ่องแท้พวกเจ้าคิดว่ามันเหมาะสมหรืออย่างไร?”

จากนั้นตงน้อยที่กำลังกอดเจ้าหมูสมบัติอยู่ก็พูดเสริมขึ้นด้วยเสียงใสๆ แต่วางท่าราวปรมาจารย์ “พวกเจ้ายังมียางอายอยู่ไหม? เย่หยวนได้ไปกราบขอร้องให้พวกเจ้าเข้าพักหรือ? หรือพวกเจ้าคิดว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเจ้านั้น หากไม่โดนหมายหัวแล้วจะสามารถผ่านเข้าเป็นศิษย์ในวิหารได้?”

คนทั้งสองแทบสำลักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น มารน้อยตัวนี้มันช่างด่าได้ไม่ไว้หน้าผู้คนเสียจริงๆ

คนทั้งสองหันหน้ามามองกันก่อนจะเงียบปากลงไป

เพราะสิ่งที่ตงน้อยว่ามามันก็ไม่ผิด ด้วยพลังฝีมือของพวกเขาแล้วมีหรือที่จะได้สิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ของวิหาร

ตอนที่เขาได้ยินว่าเย่หยวนจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ตงน้อยก็เกิดสนใจและขอตามติดมาดูด้วยให้ได้

ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่แต่ละครั้งมันจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมที่ตายตัวคือหกสิบสี่คน

ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการส่งคนเข้านั้นมันจะแตกต่างกันไปแล้วแต่พลังอำนาจที่นิกายต่างๆ มี

สิทธิ์ของแต่ละนิกายนั้นไม่แน่ชัด แต่ในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ที่ผ่านๆ มานิกายสว่างชัด นิกายปรารถนาและเหล่ายอดนิกายทั้งหลายจะได้รับสิทธิ์ส่งศิษย์เข้างานประมาณเจ็ดถึงแปดคน

ส่วนิกายที่อ่อนแอลงมาก็จะได้รับสิทธิ์ที่น้อยลงตาม

นิกายเงาจันทร์นั้นได้รับสิทธิ์เข้าร่วมมาสี่ที่ มันไม่นับว่ามากมายนักเพราะฉะนั้นจึงจัดได้อยู่ในกลุ่มไร้ความหวัง

เพราะอย่างไรเสียคนทั้งหกสิบสี่นี้ ผู้จะเข้าวิหารได้จริงๆ มันก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น

ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด การชุมนุมจะจัดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน บางครั้งก็อาจยาวนานเป็นปี

เหล่าศิษย์ที่ได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่จะต่อสู้กันทุกวัน แต่วันละห้าคู่จนกว่าศิษย์ทั้งหลายจะได้สู้กันจนครบ

สุดท้ายผู้ที่ได้รับชัยชนะรวมสูงสุดก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าสู่วิหารไป

การต่อสู้ที่หนักหน่วงเช่นนี้เป็นความท้าทายของเหล่าศิษย์ แต่ก็ยังเป็นโอกาสสำคัญด้วย

เพราะเหล่าศิษย์ที่มาร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นี้ได้ย่อมเป็นยอดศิษย์ของแต่ละนิกาย ไม่มีศิษย์ธรรมดาๆ หลุดเข้ามาได้แน่

แม้จะเป็นพวกนิกายที่อ่อนแอก็ไม่แน่ว่าจะแพ้เสมอไป

ในการชุมนุมที่ผ่านๆ มามันมีให้เห็นหลายครั้งที่ศิษย์จากนิกายเล็กๆ จะกลับสามารถชนะศิษย์จากนิกายใหญ่ได้

ที่สำคัญในเวลาหลายเดือนที่การชุมนุมดำเนินไปนี้หลายต่อหลายคนจะเริ่มเรียนรู้และนำจุดแข็งของคู่ต่อสู้มาปรับใช้กับตัว ทำให้ฝีมือพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดดจนสุดท้ายอาจขึ้นไปติดห้าอันดับแรก

เรื่องเช่นนี้เองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

ตู้หรูเฟิงนั้นยกจารึกหยกขึ้นมากล่าวด้วยเสียงดังชัด “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหลายตอนนี้จงปล่อยปราณเทวะของตนออกมาใส่จารึกหยกนี้ จารึกหยกนี้จะทำการช่วยพวกเจ้าทั้งหลายจับคู่แข่งขันให้เอง”

ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นก็คือเขาเอง

เมื่อเหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ปล่อยปราณเทวะออกมาตามๆ กัน

ตอนนี้ปราณเทวะหลากสีกำลังถูกปล่อยออกมาทั่วทุกหนแห่งจนมืดฟ้ามัวดิน ก่อนจะค่อยๆ ไหลเข้าไปสู่จารึกหยกนั้น

เมื่อทุกคนใส่ปราณเทวะเข้าไปแล้วเจ้าจารึกหยกก็ค่อยๆ เปล่งแสงออกมาอย่างสว่างจ้า

จากนั้นบนจอแสงนั้นก็มีชื่อของทุกผู้คนพร้อมหมายเลขปรากฏขึ้น

เย่หยวนมองหาอยู่นิดหน่อยก็พบว่าหมายเลขของตัวเขานั้นอยู่อันดับสุดท้าย ที่หกสิบสี่

ในฝูงชนมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ฮ่าๆๆ อัจฉริยะที่ได้อยู่สวนป่าบนกลับได้หมายเลขหกสิบสี่ น่าขันเสียจริง!”

“หน้าไม่อายจริงๆ! พลังแค่นี้กลับกล้าไปอยู่สวนป่าบนได้ หากเป็นข้า ข้าคงหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว!”

ด้วยเสียงหัวเราะหนึ่งที่ดังขึ้น เสียงหัวเราะอื่นก็เริ่มดังตาม

คำพูดเหล่านั้นมันเป็นการดูถูกเย่หยวนอย่างเต็มที่

ทุกคนรู้ดีว่าการที่นิกายเงาจันทร์ได้เข้าไปอยู่สวนป่าบนมันเป็นเพราะว่าเย่หยวนที่ไปตีสนิทเข้าหมูตัวนั้นเข้าได้

จริงๆ แล้วพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีศิษย์ใดๆ ที่จะไปอยู่สวนป่าบนเลย!

เย่หยวนมึนงงไม่น้อยก่อนจะหันมาถามซู่เหยียน “หมายเลขหกสิบสี่มันน่าขำตรงไหนหรือ?”

ซู่เหยียนยังไม่ทันบอกอะไรแต่ตงน้อยก็แทรกขึ้นมาก่อน “เจ้าไม่ได้มาจากโลกภายนอกใช่ไหมเนี่ย? ถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้? จารึกหยกนั้นคือจารึกอาณาจักรล้ำมันสามารถวัดอาณาจักรบ่มเพาะของเจ้าได้จากปราณเทวะที่เจ้ามี เจ้าได้หมายเลขหกสิบสี่ หมายความว่าเจ้านั้นมีอาณาจักรบ่มเพาะต่ำที่สุดในหมู่ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดหกสิบสี่คน! เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขำไหมล่ะ?”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที เป็นเวลานี้เองที่เขาได้รู้ถึงพลังของจารึกหยกนี้

สิ่งนี้มันคือกระจกส่องวิญญาณโดยแท้ เปิดเผยทุกอย่างโดยไม่มีการปกปิด!

แม้จะเป็นนภาสวรรค์ขั้นต้นเหมือนๆ กันแต่ว่าคนเราก็ย่อมมีพื้นฐานการบ่มเพาะที่แตกต่างกัน

อาณาจักรบ่มเพาะหนาแน่นกว่า บ่มเพาะมามากกว่าหนึ่งวัน มันก็ย่อมมีโอกาสมากกว่าที่จะมีพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่า

แน่นอนว่าด้วยวรยุทธบ่มเพาะที่ใช้และพรสวรรค์ในการบ่มเพาะ ความเร็วของแต่ละคนมันย่อมแตกต่างกันไป

จู่ๆ จอแสงนั้นก็ปรากฏตัวอักษรหนาขึ้นมาอีกครา

ตู้หรูเฟิงบอก “การจับคู่ของพวกเจ้าทั้งหลายจะขึ้นแสดงที่นี่ ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นนับว่าเริ่มขึ้นในวันนี้! หากเจ้าไม่คิดสู้ในศึกนั้นเจ้าก็สามารถไม่ขึ้นต่อสู้ได้ และหากเจ้าไม่ได้มาถึงสังเวียนในเวลาจะนับว่าเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ไป!”

พูดจบตู้หรูเฟิงก็หันมามองเย่หยวน

จนมีคนกล่าวขึ้น “เอ๋ ไอ้เด็กคนนั้นได้สู้วันพรุ่งนี้ คู่ต่อสู้ของมันคือ… เหอหยวนแห่งนิกายสว่างชัด!”

ตัวตนของเย่หยวนนั้นมันมีชื่อและผู้คนให้ความสนใจมากเสียยิ่งกว่าหยางเชินแห่งนิกายสว่างชัดหรือหลัวเจินแห่งนิกายปรารถนาเสียอีก

ทำให้ตอนนี้ทุกผู้คนต่างมองหาและพบว่าใครคือคู่ต่อสู้ของเย่หยวน สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายต่างแสดงความเย้ยเยาะออกมาตามๆ กัน

“หึ ไอ้เด็กคนนี้มันช่างดวงซวย ไปเจอเหอหยวนตั้งแต่รอบแรกเช่นนี้!”

“แม้ว่าเหอหยวนจะเป็นอันดับสุดท้ายของนิกายสว่างชัดแต่เขาเองก็เป็นนภาสวรรค์ขั้นสุดคนหนึ่ง ที่สำคัญกำลังฝีมือของเขานั้นยังเก่งกาจกว่าคนรุ่นเดียวกันในนิกายอื่นๆ ด้วย!”

ระหว่างที่ทุกคนเริ่มทำการวิเคราะห์และพูดคุยก็มีชายในชุดม่วงคนหนึ่งเดินออกมายืนต่อหน้าเย่หยวนพร้อมอมยิ้ม “ยอดอัจฉริยะแห่งสวนป่าบน วันพรุ่งนี้ข้าคงต้องขอให้เจ้าชี้แนะหน่อยแล้ว! อย่าเพิ่งรีบยอมแพ้เร็วไปล่ะ ไม่เช่นนั้นทุกคนคงเสียใจแย่ เอาเป็นว่า… สามกระบวนท่าว่าอย่างไร?”

“ฮ่าๆๆ…” เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมาทันที

ชายหนุ่มคนนี้ย่อมเป็นเหอหยวนแล้วไม่ผิดแน่

เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขาไม่ได้มาทักทาย แต่มาเพื่อเย้ยหยันเย่หยวน

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1826 สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1826 สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งสิบสี่ ตอนนี้ศิษย์ทั้งหกสิบสี่จากนิกายเหล่านั้นกำลังมารวมกันที่ลานกว้างโดยเป้าสายตาที่ทุกผู้คนมองมาก็คือเย่หยวน

อี้ชิงเซียงรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาเหล่านั้นมันเปี่ยมไปด้วยความประสงค์ร้ายทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมา

“ผู้อาวุโสซู่ ทำไม… ทำไมพวกเขาทั้งหลายจึงมองเราเช่นนี้กัน?

ผู้อาวุโสซู่ตอบกลับ “การไปอยู่สวนป่าบนด้วยพลังฝีมือระดับพวกเรามันย่อมทำให้ผู้คนไม่พอใจ เพราะอย่างไรเสียสวนป่าบนนั้นก็ไม่เปิดรับแม้กระทั่งนิกายสว่างชัด จากนี้ไปพวกเจ้าจงระวังตัวให้มากเถอะ”

อี้ชิงเซียงและเจียงเชอเหยียนหน้าถอดสีไปทันที เวลาหลายวันมานี้พวกเขาทั้งหลายได้รับผลประโยชน์เพิ่มพลังการบ่มเพาะไปมากจากการพักอยู่ในสวนป่าบน

แต่ประโยชน์นี้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย

การต้อนรับที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของตนนั้นมันมักทำให้เกิดความอิจฉาไม่พอใจจากรอยข้างเสมอ

นี่คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายลืมเลือนไป

“นี่มัน… มันความผิดเย่หยวน!” เจียงเชอเหยียนบอก

อี้ชิงเซียงเองก็บ่นตาม “ใช่ ไอ้หมอนี่มันช่างชอบยืนอยู่ท่ามกลางความสนใจจริงๆ!”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะ

นี่แหละคือมนุษย์ เวลาได้ผลประโยชน์ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พอมีปัญหาใดๆ มันก็ล้วนเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งสิ้น

แต่ไป่หลี่ชิงหยานกลับสวนขึ้น “วันที่พวกเจ้าได้เข้าไปอยู่ยังเป็นตื่นเต้นดีใจกันจนตัวสั่น หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนพวกเราทั้งหลายคงได้ไปนอนอยู่ในโรงฟืน! ในฐานะศิษย์นิกายระดับเทพถ่องแท้พวกเจ้าคิดว่ามันเหมาะสมหรืออย่างไร?”

จากนั้นตงน้อยที่กำลังกอดเจ้าหมูสมบัติอยู่ก็พูดเสริมขึ้นด้วยเสียงใสๆ แต่วางท่าราวปรมาจารย์ “พวกเจ้ายังมียางอายอยู่ไหม? เย่หยวนได้ไปกราบขอร้องให้พวกเจ้าเข้าพักหรือ? หรือพวกเจ้าคิดว่าด้วยพลังฝีมือของพวกเจ้านั้น หากไม่โดนหมายหัวแล้วจะสามารถผ่านเข้าเป็นศิษย์ในวิหารได้?”

คนทั้งสองแทบสำลักทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น มารน้อยตัวนี้มันช่างด่าได้ไม่ไว้หน้าผู้คนเสียจริงๆ

คนทั้งสองหันหน้ามามองกันก่อนจะเงียบปากลงไป

เพราะสิ่งที่ตงน้อยว่ามามันก็ไม่ผิด ด้วยพลังฝีมือของพวกเขาแล้วมีหรือที่จะได้สิทธิ์เข้าเป็นศิษย์ของวิหาร

ตอนที่เขาได้ยินว่าเย่หยวนจะไปเข้าร่วมงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ตงน้อยก็เกิดสนใจและขอตามติดมาดูด้วยให้ได้

ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่แต่ละครั้งมันจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมที่ตายตัวคือหกสิบสี่คน

ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการส่งคนเข้านั้นมันจะแตกต่างกันไปแล้วแต่พลังอำนาจที่นิกายต่างๆ มี

สิทธิ์ของแต่ละนิกายนั้นไม่แน่ชัด แต่ในชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ที่ผ่านๆ มานิกายสว่างชัด นิกายปรารถนาและเหล่ายอดนิกายทั้งหลายจะได้รับสิทธิ์ส่งศิษย์เข้างานประมาณเจ็ดถึงแปดคน

ส่วนิกายที่อ่อนแอลงมาก็จะได้รับสิทธิ์ที่น้อยลงตาม

นิกายเงาจันทร์นั้นได้รับสิทธิ์เข้าร่วมมาสี่ที่ มันไม่นับว่ามากมายนักเพราะฉะนั้นจึงจัดได้อยู่ในกลุ่มไร้ความหวัง

เพราะอย่างไรเสียคนทั้งหกสิบสี่นี้ ผู้จะเข้าวิหารได้จริงๆ มันก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น

ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด การชุมนุมจะจัดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน บางครั้งก็อาจยาวนานเป็นปี

เหล่าศิษย์ที่ได้เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่จะต่อสู้กันทุกวัน แต่วันละห้าคู่จนกว่าศิษย์ทั้งหลายจะได้สู้กันจนครบ

สุดท้ายผู้ที่ได้รับชัยชนะรวมสูงสุดก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าสู่วิหารไป

การต่อสู้ที่หนักหน่วงเช่นนี้เป็นความท้าทายของเหล่าศิษย์ แต่ก็ยังเป็นโอกาสสำคัญด้วย

เพราะเหล่าศิษย์ที่มาร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นี้ได้ย่อมเป็นยอดศิษย์ของแต่ละนิกาย ไม่มีศิษย์ธรรมดาๆ หลุดเข้ามาได้แน่

แม้จะเป็นพวกนิกายที่อ่อนแอก็ไม่แน่ว่าจะแพ้เสมอไป

ในการชุมนุมที่ผ่านๆ มามันมีให้เห็นหลายครั้งที่ศิษย์จากนิกายเล็กๆ จะกลับสามารถชนะศิษย์จากนิกายใหญ่ได้

ที่สำคัญในเวลาหลายเดือนที่การชุมนุมดำเนินไปนี้หลายต่อหลายคนจะเริ่มเรียนรู้และนำจุดแข็งของคู่ต่อสู้มาปรับใช้กับตัว ทำให้ฝีมือพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดดจนสุดท้ายอาจขึ้นไปติดห้าอันดับแรก

เรื่องเช่นนี้เองก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

ตู้หรูเฟิงนั้นยกจารึกหยกขึ้นมากล่าวด้วยเสียงดังชัด “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหลายตอนนี้จงปล่อยปราณเทวะของตนออกมาใส่จารึกหยกนี้ จารึกหยกนี้จะทำการช่วยพวกเจ้าทั้งหลายจับคู่แข่งขันให้เอง”

ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นก็คือเขาเอง

เมื่อเหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ปล่อยปราณเทวะออกมาตามๆ กัน

ตอนนี้ปราณเทวะหลากสีกำลังถูกปล่อยออกมาทั่วทุกหนแห่งจนมืดฟ้ามัวดิน ก่อนจะค่อยๆ ไหลเข้าไปสู่จารึกหยกนั้น

เมื่อทุกคนใส่ปราณเทวะเข้าไปแล้วเจ้าจารึกหยกก็ค่อยๆ เปล่งแสงออกมาอย่างสว่างจ้า

จากนั้นบนจอแสงนั้นก็มีชื่อของทุกผู้คนพร้อมหมายเลขปรากฏขึ้น

เย่หยวนมองหาอยู่นิดหน่อยก็พบว่าหมายเลขของตัวเขานั้นอยู่อันดับสุดท้าย ที่หกสิบสี่

ในฝูงชนมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ฮ่าๆๆ อัจฉริยะที่ได้อยู่สวนป่าบนกลับได้หมายเลขหกสิบสี่ น่าขันเสียจริง!”

“หน้าไม่อายจริงๆ! พลังแค่นี้กลับกล้าไปอยู่สวนป่าบนได้ หากเป็นข้า ข้าคงหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว!”

ด้วยเสียงหัวเราะหนึ่งที่ดังขึ้น เสียงหัวเราะอื่นก็เริ่มดังตาม

คำพูดเหล่านั้นมันเป็นการดูถูกเย่หยวนอย่างเต็มที่

ทุกคนรู้ดีว่าการที่นิกายเงาจันทร์ได้เข้าไปอยู่สวนป่าบนมันเป็นเพราะว่าเย่หยวนที่ไปตีสนิทเข้าหมูตัวนั้นเข้าได้

จริงๆ แล้วพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีศิษย์ใดๆ ที่จะไปอยู่สวนป่าบนเลย!

เย่หยวนมึนงงไม่น้อยก่อนจะหันมาถามซู่เหยียน “หมายเลขหกสิบสี่มันน่าขำตรงไหนหรือ?”

ซู่เหยียนยังไม่ทันบอกอะไรแต่ตงน้อยก็แทรกขึ้นมาก่อน “เจ้าไม่ได้มาจากโลกภายนอกใช่ไหมเนี่ย? ถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้? จารึกหยกนั้นคือจารึกอาณาจักรล้ำมันสามารถวัดอาณาจักรบ่มเพาะของเจ้าได้จากปราณเทวะที่เจ้ามี เจ้าได้หมายเลขหกสิบสี่ หมายความว่าเจ้านั้นมีอาณาจักรบ่มเพาะต่ำที่สุดในหมู่ผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดหกสิบสี่คน! เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขำไหมล่ะ?”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที เป็นเวลานี้เองที่เขาได้รู้ถึงพลังของจารึกหยกนี้

สิ่งนี้มันคือกระจกส่องวิญญาณโดยแท้ เปิดเผยทุกอย่างโดยไม่มีการปกปิด!

แม้จะเป็นนภาสวรรค์ขั้นต้นเหมือนๆ กันแต่ว่าคนเราก็ย่อมมีพื้นฐานการบ่มเพาะที่แตกต่างกัน

อาณาจักรบ่มเพาะหนาแน่นกว่า บ่มเพาะมามากกว่าหนึ่งวัน มันก็ย่อมมีโอกาสมากกว่าที่จะมีพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่า

แน่นอนว่าด้วยวรยุทธบ่มเพาะที่ใช้และพรสวรรค์ในการบ่มเพาะ ความเร็วของแต่ละคนมันย่อมแตกต่างกันไป

จู่ๆ จอแสงนั้นก็ปรากฏตัวอักษรหนาขึ้นมาอีกครา

ตู้หรูเฟิงบอก “การจับคู่ของพวกเจ้าทั้งหลายจะขึ้นแสดงที่นี่ ชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นนับว่าเริ่มขึ้นในวันนี้! หากเจ้าไม่คิดสู้ในศึกนั้นเจ้าก็สามารถไม่ขึ้นต่อสู้ได้ และหากเจ้าไม่ได้มาถึงสังเวียนในเวลาจะนับว่าเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ไป!”

พูดจบตู้หรูเฟิงก็หันมามองเย่หยวน

จนมีคนกล่าวขึ้น “เอ๋ ไอ้เด็กคนนั้นได้สู้วันพรุ่งนี้ คู่ต่อสู้ของมันคือ… เหอหยวนแห่งนิกายสว่างชัด!”

ตัวตนของเย่หยวนนั้นมันมีชื่อและผู้คนให้ความสนใจมากเสียยิ่งกว่าหยางเชินแห่งนิกายสว่างชัดหรือหลัวเจินแห่งนิกายปรารถนาเสียอีก

ทำให้ตอนนี้ทุกผู้คนต่างมองหาและพบว่าใครคือคู่ต่อสู้ของเย่หยวน สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายต่างแสดงความเย้ยเยาะออกมาตามๆ กัน

“หึ ไอ้เด็กคนนี้มันช่างดวงซวย ไปเจอเหอหยวนตั้งแต่รอบแรกเช่นนี้!”

“แม้ว่าเหอหยวนจะเป็นอันดับสุดท้ายของนิกายสว่างชัดแต่เขาเองก็เป็นนภาสวรรค์ขั้นสุดคนหนึ่ง ที่สำคัญกำลังฝีมือของเขานั้นยังเก่งกาจกว่าคนรุ่นเดียวกันในนิกายอื่นๆ ด้วย!”

ระหว่างที่ทุกคนเริ่มทำการวิเคราะห์และพูดคุยก็มีชายในชุดม่วงคนหนึ่งเดินออกมายืนต่อหน้าเย่หยวนพร้อมอมยิ้ม “ยอดอัจฉริยะแห่งสวนป่าบน วันพรุ่งนี้ข้าคงต้องขอให้เจ้าชี้แนะหน่อยแล้ว! อย่าเพิ่งรีบยอมแพ้เร็วไปล่ะ ไม่เช่นนั้นทุกคนคงเสียใจแย่ เอาเป็นว่า… สามกระบวนท่าว่าอย่างไร?”

“ฮ่าๆๆ…” เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมาทันที

ชายหนุ่มคนนี้ย่อมเป็นเหอหยวนแล้วไม่ผิดแน่

เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขาไม่ได้มาทักทาย แต่มาเพื่อเย้ยหยันเย่หยวน

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “สามกระบวนท่ามันมากไป แค่กระบวนท่าเดียวก็พอ!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+