Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1889 ผู้ตรวจการ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1889 ผู้ตรวจการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าไม่ควรปล่อยพวกมันไป!”

หลังจากทุกผู้คนจากไปแล้วจอมเทพนิรันดร์ที่ใกล้จางหายไปก็ได้พูดขึ้นพร้อมถอนหายใจยาว

ที่เย่หยวนทำนั้น เขาไม่ได้คิดจะหยุด

และแน่นอนว่าถึงจะคิดอยากมันก็คงไม่มีทางหยุดได้

เย่หยวนในตอนนี้ได้แทนที่ตัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบกลายเป็นเจ้าผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ไปอย่างสิ้นเชิง

สถานที่แห่งนี้มันไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว

ตอนนี้ร่างกายของจอมเทพนิรันดร์กำลังค่อยๆ แตกออกเป็นจุดแสงสลายหายไปเรื่อยๆ

ฝั่งหวู่เฉินเองก็ปรากฏร่างออกมาด้วยใบหน้าท่าทางแสนเดียวดาย

เย่หยวนหันไปมองจอมเทพนิรันดร์ “ข้านั้นทำอะไรมีขอบเขตที่ไม่คิดจะล้ำเส้น พวกเขาทั้งหลายนั้นแค่มาเพื่อหาสมบัติไม่ได้มีความแค้นใดๆ กับข้า การสังหารพวกเขาทั้งหลายลงนั้นมันผิดกับหลักการของข้า”

เมื่อได้เห็นใบหน้านั้นของเย่หยวนจอมเทพนิรันดร์ก็ได้แต่ทำหน้าหนักใจ

เขารู้ได้ทันทีว่าเย่หยวนยังคงโกรธแค้นไม่พอใจกับเรื่องที่เขาทำ

การที่เขาจะวางแผนแก้แค้นนั้นมันมิใช่ปัญหา ปัญหาคือเขาทำให้ชีวิตนับล้านๆ บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ดับสูญไป

เหล่าชีวิตทั้งหลายนี้มันไร้ค่าใดๆ ในสายตาของจอมเทพนิรันดร์ แต่กับเย่หยวนแล้วทุกชีวิตบนดินแดนนี้มันล้วนมีค่าไม่สมควรจะต้องตายเปล่าลงเช่นนี้

จอมเทพนิรันดร์ถอนหายใจยาว “เด็กน้อย ใจอ่อนๆ ของเจ้านั้นมันจะทำให้เจ้าต้องเจอเรื่องอันตรายเข้าสักวัน!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากท่านทำตัวแสนโหดร้ายไม่มีจิตใจมันจะต่างจากสัตว์หน้าขนอย่างไรกันเล่า!”

“ฮ่าๆ! เป็นเด็กที่แปลกดีจริง! เด็กน้อย ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นไม่ชอบใจที่ข้าใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการล้างแค้นครั้งนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดที่สืบวิชาความรู้ข้าไป! ถึงตอนนี้เจ้าจะปฏิเสธเรื่องนั้นมันก็คงไม่ได้แล้ว!” จอมเทพนิรันดร์หัวเราะขึ้นมา

เย่หยวนไม่คิดยิ้มตอบ “หากไม่เป็นเช่นนั้นมีหรือที่ข้าจะยังยืนคุยกับท่านอยู่อย่างใจเย็นเช่นนี้?”

นั่นทำให้จอมเทพนิรันดร์แสดงใบหน้าดำมืดออกมาด้วยความไม่พอใจ “เด็กน้อย ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่เจ้าก็ได้สืบทอดความรู้จากจอมเทพนิรันดร์คนนี้ไป เจ้าไม่รู้จักการเคารพรับคำสั่งบ้างหรือ?”

แต่ตอนนั้นเองที่หวู่เฉินที่ยืนเงียบมาตลอดกลับพูดขึ้นมาแทรก “แท้จริงแล้ว… จะเรียกเย่หยวนว่าเป็นคนที่สืบทอดความรู้วิชาของท่านได้ไหมนั้นมันก็พูดยาก เพราะเขานั้นได้ไข่มุกสยบวิญญาณและศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปจากท่านจริงๆ แต่สมบัติทั้งสองอย่างนี้ท่านเองก็เป็นคนทิ้งขว้างมันเองกับมือ ส่วนเรื่องวรยุทธบ่มเพาะและวิชาฝีมือของเขานั้น เย่หยวนได้มันมาจากเขาน้อยแห่งถงเทียนทั้งสิ้นไม่ได้สืบทอดวิชาใดๆ จากท่านเลย”

นั้นทำให้จอมเทพนิรันดร์เบิกตากว้าง “เขา… ไม่ได้บ่มเพาะวรยุทธที่จอมเทพนิรันดร์ผู้นี้เหลือทิ้งไว้หรือ?”

หวู่เฉินส่ายหัวออกมา “เป้าหมายของเขานั้นสูงกว่าของท่าน พลังความรู้ของเขาเองก็เช่นกัน! วรยุทธบ่มเพาะที่เย่หยวนสร้างขึ้นมานี้มันจะต้องสั่นสะท้านทั้งมหาพิภพถงเทียนในวันหน้า!”

ใบหน้าของจอมเทพนิรันดร์แข็งค้างไปพร้อมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

เขานั้นเป็นผู้มากพรสวรรค์ หากไม่เจอเหตุร้ายเสียก่อนเขาน่าจะขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ไม่ยากในวันหน้า

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากเขาน้อยแห่งถงเทียน

แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับสามารถหลอมเขาน้อยแห่งถงเทียนได้ กลายเป็นเจ้านายที่แท้จริงของมัน

จอมเทพนิรันดร์นั้นเข้าใจหวู่เฉินได้ทันที เขานั้นไม่ได้กล่าวพูดเรื่องราวทั้งหลายนี้ออกมาด้วยความเกลียดชังใดๆ เขาแค่เห็นค่าของเย่หยวนมากขนาดนั้น

และหากมันเป็นไปอย่างที่หวู่เฉินบอกจริงๆ เช่นนั้นเย่หยวนก็อาจจะก้าวขึ้นไปได้เหนือล้ำกว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เสียอีก?

เรื่องนั้นมัน…จะไม่ฟังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ?

และราวกับว่าเขามองออกว่าจอมเทพนิรันดร์กำลังคิดอะไรอยู่ในหัวเย่หยวนจึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าไม่พอใจ “เรื่องทั้งหลายบนโลกนี้มันล้วนไม่เกี่ยวข้องกับท่านอีกต่อไป ไปสู่สุคติเถอะ!”

จอมเทพนิรันดร์นั้นถึงขั้นใช้พลังจากวิญญาณที่เขาชุบเลี้ยงมากว่าล้านปีเพื่อการล้างแค้นในวันนี้และยังคิดใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้ให้ตกไปสู่ความหายนะ

หากไม่เห็นแก่เรื่องที่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้จอมเทพนิรันดร์เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเย่หยวนคงไม่มีทางปล่อยให้เขาได้ไหลไปตามวัฏสงสารเช่นนี้แน่

มุมมองของคนแต่ละคนมันก็แตกต่างกันไปอย่างมากมาย

แม้ว่าจอมเทพนิรันดร์นั้นจะมอบอะไรมากมายให้แก่เย่หยวน แต่ตอนนี้เย่หยวนก็แทบจะหมดความอดทนแล้ว

เขาและจอมเทพนิรันดร์นั้นได้มีศัตรูคนเดียวกัน การสังหารเจี่ยวชางให้มันก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุณคุณที่เหลือน้อยนิดนั้นมากพอแล้ว

จอมเทพนิรันดร์ย่อมเข้าใจเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นตามมาจากนี้เขาจึงค่อยๆ สลายหายไปอย่างวางใจ

เมื่อแสงนั้นจากหายไป โลกใบนี้มันก็ไม่มีจอมเทพนิรันดร์อยู่อีกต่อไปแล้ว

ตอนนี้ยอดฝีมือที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อก้องมหาพิภพถงเทียนตอนนี้ได้จากไปอย่างไม่มีทางกลับ

เย่หยวนมองดูที่จุดแสงที่ค่อยๆ จางหายไปเหล่านั้นด้วยจิตใจที่แสนสุดสับสน

ไม่ไกลออกมาคุนหวู่เองก็กำลังยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เปี่ยมอารมณ์

เด็กหนุ่มที่ฝืนบรรลุอาณาจักรของตนขึ้นมาเมื่อคราวก่อนนั้นได้เติบใหญ่คนค้ำจุนโลก!

ตอนนี้แค่เขาขยับมือครั้งเดียวแม้จะเป็นเทพสวรรค์ก็ยังไม่อาจรอดพ้นไปได้ มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือกว่าจะเชื่อได้

“เย่หยวน ให้เขาติดตามเจ้าไปเถอะ เฒ่าคนนี้เองก็ติดค้างจอมเทพนิรันดร์ไว้มาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยแผนการนี้” หวู่เฉินบอก

เขาย่อมรู้ดีว่าเย่หยวนคิดอะไร เพราะคุนหวู่นั้นนับได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับจอมเทพนิรันดร์

เย่หยวนพยักหน้าออกมาพร้อมมองไปทางคุนหวู่ “ผู้อาวุโสท่านเคยช่วยมารดาข้าไว้ แถมยังดูแลข้าอย่างดี หากท่านต้องการท่านก็สามารถติดตามข้าไปได้ แต่ท่านจะออกเดินทางไปกับข้าหรือไม่นั้นมันก็เป็นเรื่องที่ท่านสามารถเลือกได้เอง”

คุนหวู่ถอนหายใจยาวออกมา “ข้าขออยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน”

เย่หยวนพยักหน้ารับและไม่คิดจะสาวเรื่องให้ยืดยาวต่อ

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเรื่องราวนับหมื่นพันให้ต้องจัดการหลังศึก เย่หยวนจึงได้ไปสั่งการพวกฟางเทียนทั้งหลายก่อนจะพาเล้งชิวหลิงกลับมายังประตูปิดโลก

เรื่องของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้เย่หยวนไม่ได้คิดกังวลอีกต่อไปแล้ว

ตราบเท่าที่มันมิใช่จักรพรรดิเทพสวรรค์ที่บุกเข้ามา เขาก็สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยฝ่ามือเดียว

และแน่นอนว่ายิ่งเมื่อพลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มพูนขึ้น ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ก็คงจัดการได้ไม่ยากเย็น

ตอนนี้เขาจึงไม่เกรงกลัวเลยว่าจะมีใครเข้ามาก่อเรื่องในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีก

เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่โลกใบน้อยไม่มีค่าอะไรในสายตาพวกเขาทั้งหลาย

เมื่อนึกขึ้นมาถึงเรื่องราวเสี่ยงตายตอนที่ขึ้นไปครั้งแรกในคราวนั้นและได้เหลียงหวานหรูช่วยไว้มันก็ทำให้เย่หยวนรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวอันแสนนานโพ้นในอดีตราวกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อชาติปางก่อน

“ไม่รู้เลยว่าหวานหรูและเจ้าอ้วนเป็นอย่างไรบ้าง” เย่หยวนพูดขึ้นด้วยอารมณ์สุดแสนคิดถึง

หลังจบเรื่องราวในคราวนั้นเหลียงหวานหรูและเซี่ยะจิ้งอวี๋ได้เดินทางไปอยู่ยังดินแดนภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปาภายใต้คำสั่งของเซียวเฟิง

หลายปีผ่านมานี้เขาไม่ได้ยินข่าวคราวของทั้งคู่เลย

ตอนนี้ความทรงจำเก่าๆ ของเย่หยวนในสถานที่เดิมๆ ที่คุ้นเคยเริ่มกลับย้อนขึ้นมาในหัวอีกครั้งทำให้เขารู้สึกคิดถึงมันขึ้นมาจับใจ

“พี่ใหญ่ หากท่านอยากพบเจอพวกเขาก็ไปพบเสียสิ” อิ้งหมัวหู่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เย่หยวนพยักหน้าออกมา “เวลาหลายปีมานี้ข้าวุ่นวายกับการตามหาตัวพวกเจ้าอย่างมากจนไม่มีเวลาไปเจอพวกเขา หลังจากหาตัวลู่เอ๋อและลี่เอ๋อเจอเมื่อใดข้าก็คิดว่าจะเดินทางไปยังดินแดนหมื่นสมบัติอยู่”

สถานที่แห่งนี้มันนับว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์สักเท่าใด เย่หยวนจึงพาทุกผู้คนเดินทางมาถึงเมืองจักรพรรดิได้ในไม่ช้า

ตอนนั้นที่เขาจากเมืองจักรรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปตามหาพวกอิ้งหมัวหู่ และนับจากวันนั้นมันก็ผ่านมาได้นับร้อยๆ ปีแล้ว

เมื่อกลับมาถึงเมืองเย่หยวนก็รู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความคิดถึงที่สาดซัดในจิตใจ

แต่สภาพของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมันเต็มไปด้วยธงหลากสีประดับประดา ถนนของเมืองเต็มไปด้วยขนนกสีขาวปูไปทั่วจนถึงทางออกเมือง

ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือมากมายกำลังยืนเรียงกันอยู่ที่นอกประตูเมืองด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน

“นายใหญ่ หรือว่าท่านเจ้าเมืองจะรู้ล่วงหน้าว่าท่านจะกลับมาจึงได้ออกมาต้อนรับกัน?” หนิงเทียนปิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “หากเขามีพลังเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องลำบากเดินทางไปถึงเมืองจักรพรรดิเลิศประกายหรอก!”

“หึๆ ก็ใช่ สงสัยเหลือเกินว่าใครกันนะที่ทำให้ทั้งเมืองต้องต้อนรับถึงขนาดนี้ ช่างทำให้เสียอารมณ์จริงๆ!” หนิงเทียนปิงบอก

เย่หยวนหันไปมองที่มุมหนึ่งด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ นั่นไม่ใช่รึไง?”

หนิงเทียนปิงหันไปมองตามและไม่นานก็ได้เห็นรถม้าคันหนึ่งเลื่อนไหลลงมาจากท้องฟ้า

รถม้าเทวะนี้มันเจิดจ้าอย่างมาคลื่นพลังที่มันปล่อยออกมานั้นทำเอาผู้คนแทบลืมหายใจ แท้จริงแล้วมันเป็นถึงสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ!

เจ้ารถม้าเทวะนั้นเลื่อนตัวลงมาจอดบนพื้นดินก่อนจะเผยให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมา

โซชูเจียเดินขึ้นหน้ามาพร้อมๆ กับเหล่ายอดฝีมือนภาสวรรค์ทั้งหลายที่ก้มหัวลง “ข้าน้อยโซชูเจีย ผู้นำอินทรีสวรรค์ขอน้อมคารวะท่านผู้ตรวจการ!”

ชายหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าหยิ่งยโสดวงตาแฝงความดูถูก เขาไม่คิดสนใจพวกโซชูเจียและพวกก่อนจะเดินเข้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันที

โซชูเจียกำลังขยับเท้าคิดจะลุกเดินตามแต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับขมวดคิ้วแน่นตวาดขึ้น “ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าลุกแล้วหรือ?”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1889 ผู้ตรวจการ

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1889 ผู้ตรวจการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าไม่ควรปล่อยพวกมันไป!”

หลังจากทุกผู้คนจากไปแล้วจอมเทพนิรันดร์ที่ใกล้จางหายไปก็ได้พูดขึ้นพร้อมถอนหายใจยาว

ที่เย่หยวนทำนั้น เขาไม่ได้คิดจะหยุด

และแน่นอนว่าถึงจะคิดอยากมันก็คงไม่มีทางหยุดได้

เย่หยวนในตอนนี้ได้แทนที่ตัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบกลายเป็นเจ้าผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ไปอย่างสิ้นเชิง

สถานที่แห่งนี้มันไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว

ตอนนี้ร่างกายของจอมเทพนิรันดร์กำลังค่อยๆ แตกออกเป็นจุดแสงสลายหายไปเรื่อยๆ

ฝั่งหวู่เฉินเองก็ปรากฏร่างออกมาด้วยใบหน้าท่าทางแสนเดียวดาย

เย่หยวนหันไปมองจอมเทพนิรันดร์ “ข้านั้นทำอะไรมีขอบเขตที่ไม่คิดจะล้ำเส้น พวกเขาทั้งหลายนั้นแค่มาเพื่อหาสมบัติไม่ได้มีความแค้นใดๆ กับข้า การสังหารพวกเขาทั้งหลายลงนั้นมันผิดกับหลักการของข้า”

เมื่อได้เห็นใบหน้านั้นของเย่หยวนจอมเทพนิรันดร์ก็ได้แต่ทำหน้าหนักใจ

เขารู้ได้ทันทีว่าเย่หยวนยังคงโกรธแค้นไม่พอใจกับเรื่องที่เขาทำ

การที่เขาจะวางแผนแก้แค้นนั้นมันมิใช่ปัญหา ปัญหาคือเขาทำให้ชีวิตนับล้านๆ บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ดับสูญไป

เหล่าชีวิตทั้งหลายนี้มันไร้ค่าใดๆ ในสายตาของจอมเทพนิรันดร์ แต่กับเย่หยวนแล้วทุกชีวิตบนดินแดนนี้มันล้วนมีค่าไม่สมควรจะต้องตายเปล่าลงเช่นนี้

จอมเทพนิรันดร์ถอนหายใจยาว “เด็กน้อย ใจอ่อนๆ ของเจ้านั้นมันจะทำให้เจ้าต้องเจอเรื่องอันตรายเข้าสักวัน!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากท่านทำตัวแสนโหดร้ายไม่มีจิตใจมันจะต่างจากสัตว์หน้าขนอย่างไรกันเล่า!”

“ฮ่าๆ! เป็นเด็กที่แปลกดีจริง! เด็กน้อย ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นไม่ชอบใจที่ข้าใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการล้างแค้นครั้งนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดที่สืบวิชาความรู้ข้าไป! ถึงตอนนี้เจ้าจะปฏิเสธเรื่องนั้นมันก็คงไม่ได้แล้ว!” จอมเทพนิรันดร์หัวเราะขึ้นมา

เย่หยวนไม่คิดยิ้มตอบ “หากไม่เป็นเช่นนั้นมีหรือที่ข้าจะยังยืนคุยกับท่านอยู่อย่างใจเย็นเช่นนี้?”

นั่นทำให้จอมเทพนิรันดร์แสดงใบหน้าดำมืดออกมาด้วยความไม่พอใจ “เด็กน้อย ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่เจ้าก็ได้สืบทอดความรู้จากจอมเทพนิรันดร์คนนี้ไป เจ้าไม่รู้จักการเคารพรับคำสั่งบ้างหรือ?”

แต่ตอนนั้นเองที่หวู่เฉินที่ยืนเงียบมาตลอดกลับพูดขึ้นมาแทรก “แท้จริงแล้ว… จะเรียกเย่หยวนว่าเป็นคนที่สืบทอดความรู้วิชาของท่านได้ไหมนั้นมันก็พูดยาก เพราะเขานั้นได้ไข่มุกสยบวิญญาณและศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปจากท่านจริงๆ แต่สมบัติทั้งสองอย่างนี้ท่านเองก็เป็นคนทิ้งขว้างมันเองกับมือ ส่วนเรื่องวรยุทธบ่มเพาะและวิชาฝีมือของเขานั้น เย่หยวนได้มันมาจากเขาน้อยแห่งถงเทียนทั้งสิ้นไม่ได้สืบทอดวิชาใดๆ จากท่านเลย”

นั้นทำให้จอมเทพนิรันดร์เบิกตากว้าง “เขา… ไม่ได้บ่มเพาะวรยุทธที่จอมเทพนิรันดร์ผู้นี้เหลือทิ้งไว้หรือ?”

หวู่เฉินส่ายหัวออกมา “เป้าหมายของเขานั้นสูงกว่าของท่าน พลังความรู้ของเขาเองก็เช่นกัน! วรยุทธบ่มเพาะที่เย่หยวนสร้างขึ้นมานี้มันจะต้องสั่นสะท้านทั้งมหาพิภพถงเทียนในวันหน้า!”

ใบหน้าของจอมเทพนิรันดร์แข็งค้างไปพร้อมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

เขานั้นเป็นผู้มากพรสวรรค์ หากไม่เจอเหตุร้ายเสียก่อนเขาน่าจะขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ไม่ยากในวันหน้า

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากเขาน้อยแห่งถงเทียน

แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับสามารถหลอมเขาน้อยแห่งถงเทียนได้ กลายเป็นเจ้านายที่แท้จริงของมัน

จอมเทพนิรันดร์นั้นเข้าใจหวู่เฉินได้ทันที เขานั้นไม่ได้กล่าวพูดเรื่องราวทั้งหลายนี้ออกมาด้วยความเกลียดชังใดๆ เขาแค่เห็นค่าของเย่หยวนมากขนาดนั้น

และหากมันเป็นไปอย่างที่หวู่เฉินบอกจริงๆ เช่นนั้นเย่หยวนก็อาจจะก้าวขึ้นไปได้เหนือล้ำกว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เสียอีก?

เรื่องนั้นมัน…จะไม่ฟังดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ?

และราวกับว่าเขามองออกว่าจอมเทพนิรันดร์กำลังคิดอะไรอยู่ในหัวเย่หยวนจึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าไม่พอใจ “เรื่องทั้งหลายบนโลกนี้มันล้วนไม่เกี่ยวข้องกับท่านอีกต่อไป ไปสู่สุคติเถอะ!”

จอมเทพนิรันดร์นั้นถึงขั้นใช้พลังจากวิญญาณที่เขาชุบเลี้ยงมากว่าล้านปีเพื่อการล้างแค้นในวันนี้และยังคิดใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้ให้ตกไปสู่ความหายนะ

หากไม่เห็นแก่เรื่องที่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้จอมเทพนิรันดร์เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเย่หยวนคงไม่มีทางปล่อยให้เขาได้ไหลไปตามวัฏสงสารเช่นนี้แน่

มุมมองของคนแต่ละคนมันก็แตกต่างกันไปอย่างมากมาย

แม้ว่าจอมเทพนิรันดร์นั้นจะมอบอะไรมากมายให้แก่เย่หยวน แต่ตอนนี้เย่หยวนก็แทบจะหมดความอดทนแล้ว

เขาและจอมเทพนิรันดร์นั้นได้มีศัตรูคนเดียวกัน การสังหารเจี่ยวชางให้มันก็ถือว่าเป็นการตอบแทนบุณคุณที่เหลือน้อยนิดนั้นมากพอแล้ว

จอมเทพนิรันดร์ย่อมเข้าใจเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นตามมาจากนี้เขาจึงค่อยๆ สลายหายไปอย่างวางใจ

เมื่อแสงนั้นจากหายไป โลกใบนี้มันก็ไม่มีจอมเทพนิรันดร์อยู่อีกต่อไปแล้ว

ตอนนี้ยอดฝีมือที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อก้องมหาพิภพถงเทียนตอนนี้ได้จากไปอย่างไม่มีทางกลับ

เย่หยวนมองดูที่จุดแสงที่ค่อยๆ จางหายไปเหล่านั้นด้วยจิตใจที่แสนสุดสับสน

ไม่ไกลออกมาคุนหวู่เองก็กำลังยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เปี่ยมอารมณ์

เด็กหนุ่มที่ฝืนบรรลุอาณาจักรของตนขึ้นมาเมื่อคราวก่อนนั้นได้เติบใหญ่คนค้ำจุนโลก!

ตอนนี้แค่เขาขยับมือครั้งเดียวแม้จะเป็นเทพสวรรค์ก็ยังไม่อาจรอดพ้นไปได้ มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือกว่าจะเชื่อได้

“เย่หยวน ให้เขาติดตามเจ้าไปเถอะ เฒ่าคนนี้เองก็ติดค้างจอมเทพนิรันดร์ไว้มาก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยแผนการนี้” หวู่เฉินบอก

เขาย่อมรู้ดีว่าเย่หยวนคิดอะไร เพราะคุนหวู่นั้นนับได้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับจอมเทพนิรันดร์

เย่หยวนพยักหน้าออกมาพร้อมมองไปทางคุนหวู่ “ผู้อาวุโสท่านเคยช่วยมารดาข้าไว้ แถมยังดูแลข้าอย่างดี หากท่านต้องการท่านก็สามารถติดตามข้าไปได้ แต่ท่านจะออกเดินทางไปกับข้าหรือไม่นั้นมันก็เป็นเรื่องที่ท่านสามารถเลือกได้เอง”

คุนหวู่ถอนหายใจยาวออกมา “ข้าขออยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน”

เย่หยวนพยักหน้ารับและไม่คิดจะสาวเรื่องให้ยืดยาวต่อ

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเรื่องราวนับหมื่นพันให้ต้องจัดการหลังศึก เย่หยวนจึงได้ไปสั่งการพวกฟางเทียนทั้งหลายก่อนจะพาเล้งชิวหลิงกลับมายังประตูปิดโลก

เรื่องของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้เย่หยวนไม่ได้คิดกังวลอีกต่อไปแล้ว

ตราบเท่าที่มันมิใช่จักรพรรดิเทพสวรรค์ที่บุกเข้ามา เขาก็สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยฝ่ามือเดียว

และแน่นอนว่ายิ่งเมื่อพลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มพูนขึ้น ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ก็คงจัดการได้ไม่ยากเย็น

ตอนนี้เขาจึงไม่เกรงกลัวเลยว่าจะมีใครเข้ามาก่อเรื่องในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีก

เพราะสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่โลกใบน้อยไม่มีค่าอะไรในสายตาพวกเขาทั้งหลาย

เมื่อนึกขึ้นมาถึงเรื่องราวเสี่ยงตายตอนที่ขึ้นไปครั้งแรกในคราวนั้นและได้เหลียงหวานหรูช่วยไว้มันก็ทำให้เย่หยวนรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวอันแสนนานโพ้นในอดีตราวกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อชาติปางก่อน

“ไม่รู้เลยว่าหวานหรูและเจ้าอ้วนเป็นอย่างไรบ้าง” เย่หยวนพูดขึ้นด้วยอารมณ์สุดแสนคิดถึง

หลังจบเรื่องราวในคราวนั้นเหลียงหวานหรูและเซี่ยะจิ้งอวี๋ได้เดินทางไปอยู่ยังดินแดนภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปาภายใต้คำสั่งของเซียวเฟิง

หลายปีผ่านมานี้เขาไม่ได้ยินข่าวคราวของทั้งคู่เลย

ตอนนี้ความทรงจำเก่าๆ ของเย่หยวนในสถานที่เดิมๆ ที่คุ้นเคยเริ่มกลับย้อนขึ้นมาในหัวอีกครั้งทำให้เขารู้สึกคิดถึงมันขึ้นมาจับใจ

“พี่ใหญ่ หากท่านอยากพบเจอพวกเขาก็ไปพบเสียสิ” อิ้งหมัวหู่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เย่หยวนพยักหน้าออกมา “เวลาหลายปีมานี้ข้าวุ่นวายกับการตามหาตัวพวกเจ้าอย่างมากจนไม่มีเวลาไปเจอพวกเขา หลังจากหาตัวลู่เอ๋อและลี่เอ๋อเจอเมื่อใดข้าก็คิดว่าจะเดินทางไปยังดินแดนหมื่นสมบัติอยู่”

สถานที่แห่งนี้มันนับว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์สักเท่าใด เย่หยวนจึงพาทุกผู้คนเดินทางมาถึงเมืองจักรพรรดิได้ในไม่ช้า

ตอนนั้นที่เขาจากเมืองจักรรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปตามหาพวกอิ้งหมัวหู่ และนับจากวันนั้นมันก็ผ่านมาได้นับร้อยๆ ปีแล้ว

เมื่อกลับมาถึงเมืองเย่หยวนก็รู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความคิดถึงที่สาดซัดในจิตใจ

แต่สภาพของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นมันเต็มไปด้วยธงหลากสีประดับประดา ถนนของเมืองเต็มไปด้วยขนนกสีขาวปูไปทั่วจนถึงทางออกเมือง

ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือมากมายกำลังยืนเรียงกันอยู่ที่นอกประตูเมืองด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน

“นายใหญ่ หรือว่าท่านเจ้าเมืองจะรู้ล่วงหน้าว่าท่านจะกลับมาจึงได้ออกมาต้อนรับกัน?” หนิงเทียนปิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “หากเขามีพลังเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องลำบากเดินทางไปถึงเมืองจักรพรรดิเลิศประกายหรอก!”

“หึๆ ก็ใช่ สงสัยเหลือเกินว่าใครกันนะที่ทำให้ทั้งเมืองต้องต้อนรับถึงขนาดนี้ ช่างทำให้เสียอารมณ์จริงๆ!” หนิงเทียนปิงบอก

เย่หยวนหันไปมองที่มุมหนึ่งด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ นั่นไม่ใช่รึไง?”

หนิงเทียนปิงหันไปมองตามและไม่นานก็ได้เห็นรถม้าคันหนึ่งเลื่อนไหลลงมาจากท้องฟ้า

รถม้าเทวะนี้มันเจิดจ้าอย่างมาคลื่นพลังที่มันปล่อยออกมานั้นทำเอาผู้คนแทบลืมหายใจ แท้จริงแล้วมันเป็นถึงสมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำ!

เจ้ารถม้าเทวะนั้นเลื่อนตัวลงมาจอดบนพื้นดินก่อนจะเผยให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมา

โซชูเจียเดินขึ้นหน้ามาพร้อมๆ กับเหล่ายอดฝีมือนภาสวรรค์ทั้งหลายที่ก้มหัวลง “ข้าน้อยโซชูเจีย ผู้นำอินทรีสวรรค์ขอน้อมคารวะท่านผู้ตรวจการ!”

ชายหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าหยิ่งยโสดวงตาแฝงความดูถูก เขาไม่คิดสนใจพวกโซชูเจียและพวกก่อนจะเดินเข้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันที

โซชูเจียกำลังขยับเท้าคิดจะลุกเดินตามแต่ชายหนุ่มคนนั้นกลับขมวดคิ้วแน่นตวาดขึ้น “ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าลุกแล้วหรือ?”

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+