Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1926 โยนไข่ใส่หิน

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1926 โยนไข่ใส่หิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ร่างของชายหนุ่มผู้นี้

และไม่นานสายตาทั้งหลายก็เปลี่ยนเป็นความเย้ยหยัน

เมื่อมู่เต้าเฉิงได้เห็นเย่หยวนเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆ เจ้าหนู เจ้าคงยังไม่คุ้นที่ทางสินะ! ที่นี่มันสังเวียนเงิน เจ้าคงไม่ได้เดินขึ้นมาผิดสังเวียนหรอกใช่ไหม?”

แม้ว่าเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เงินนั้นจะมีจำนวนไม่น้อยแต่พวกเขาทั้งหลายนั้นก็ต่างคุ้นชินเคยเห็นหน้าตาของกันมาก่อนสิ้น ทำให้ทุกผู้คนต่างรู้ว่าใครเป็นใคร

ไม่เพียงแค่เย่หยวนจะหน้าไม่คุ้นแล้วแต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มแน่นอนว่าทุกผู้คนต่างคิดว่าเขานั้นเดินขึ้นมาผิดสังเวียน

มีหรือที่เด็กหนุ่มอย่างนี้จะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้?

ที่ด้านข้างทางกรรมการเองก็มองดูด้วยใบหน้าเหนื่อยใจ “เจ้าหนุ่ม ที่นี่คือสังเวียนเงิน ผู้ที่คิดจะขึ้นท้าประลองต้องมีเหรียญเงินก่อนจึงจะสามารถประลองได้”

ดูท่าแล้วเขาเองก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าเย่หยวนนั้นจะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้

เย่หยวนยิ้มและค่อยๆ ยื่นเหรียญนั้นที่ผู้อาวุโสผิงมอบให้นั้นออกมามอบแก่กรรมการ “นี่น่าจะเป็นเหรียญเงินใช่หรือไม่? ท่านผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบ”

นั่นทำให้คำดูถูกเหยียดหยามทั้งหลายเงียบเบาลงเหลือไว้เพียงความเงียบงัน

นักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่อายุน้อยขนาดนี้มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!

กรรมการผู้นั้นรับเหรียญไปและส่งจิตของตนลงไปภายใน และแน่นอนว่าไม่นานเขาก็ได้ทราบว่าเย่หยวนเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาจริงๆ

ชายแก่หันไปมองเย่หยวนอย่างตื่นตกใจ “เหรียญเงินของเจ้านี้เพิ่งถูกออกมาใหม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย หรือว่า…”

ชายหนุ่มที่มีความสามารถถึงขั้นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินเช่นนี้ต่อให้เขาจะถูกเลื่อนขึ้นมาจากระดับทองแดง มันก็ย่อมต้องมีชื่อเสียงผ่านหูเขามาบ้าง

เพราะฉะนั้นเหรียญนี้ของเย่หยวนจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ใช่การเลื่อนขั้นแต่เป็นการออกใหม่

เย่หยวนยิ้มพร้อมกล่าว “ผู้เยาว์เพิ่งจะผ่านการทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เมื่อสักครู่นี้”

‘หืม!’

“เลื่อนขึ้นมาถึงนักหลอมโอสถสวรรค์เงินในคราเดียว! เด็กคนนี้มันทำให้เกิดเก้าปะทุได้!”

“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? ครั้งสุดท้ายที่เกิดเก้าปะทุขึ้นมันก็ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้วนา?”

“ใช่ แต่เหล่าคนที่สามารถจะทำเก้าปะทุได้มันล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าจอมเทพโอสถหกดาวมากชื่อที่เพิ่งมาถึงศาลาโอสถสวรรค์ ไม่เคยมีจอมเทพโอสถห้าดาวคนไหนทำได้มาก่อน!”

การผ่านทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และขึ้นมาถึงระดับเงินได้ในทันทีนั้นมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

สายตาที่ทุกผู้คนมองมายังเย่หยวนมันจึงเปลี่ยนไปในทันที

นี่คือเด็กหนุ่มที่จะเป็นดาวดวงใหม่ของศาลาโอสถสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ทางกรรมการผู้นั้นเองก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาก่อนจะคืนเหรียญให้แก่เย่หยวนและบอก “คนหนุ่มสมัยนี้ประมาทไม่ได้เลยๆ!”

เย่หยวนกล่าวตอบ “ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติพอจะท้าทายเขาแล้วใช่หรือไม่?” พูดไปเย่หยวนก็หันหน้าไปหามู่เต้าเฉิง

กรรมการคนนั้นยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “หึๆ เจ้าหนุ่ม เจ้านั้นมีช่องให้พัฒนาอีกมากมาย แต่เจ้าจะดูถูกสังเวียนเงินมากจนเกินไปแล้ว! การประลองกับเขาในตอนนี้มันไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ กับเจ้าหรอก”

“อย่าสิ ผู้อาวุโสซิน! เขานั้นอุตส่าห์มอบตัวมาถึงหน้าประตูเช่นนี้แล้วผู้เฒ่าอย่างท่านก็อย่าได้มายุ่ง! เด็กคนนี้มันจะทำให้ข้าได้เหรียญทองมาอย่างแน่นอน!” เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินคำของกรรมการผู้นั้นเขาก็ร้องห้ามทันที

เพราะในวินาทีที่เขาเห็นเหรียญเงินของเย่หยวน นอกจากความตื่นตะลึงแล้วเขายังดีใจมากด้วย

เพราะตราบที่เขาสามารถชนะศึกต่อไปนี้ได้ เขาก็จะสามารถผ่านขึ้นไปถึงสังเวียนทองได้

การได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองนั้นมันย่อมจะทำให้ชื่อเสียงของเขาลื่อลั่นไปกว่าเดิมมาก เป็นเรื่องที่เขาฝันถึงมาหลายต่อหลายปี

ในสังเวียนเงินนี้การจะชนะให้ได้ถึงสิบครั้งมันมิใช่เรื่องง่ายๆ

และเมื่อเด็กใหม่เดินเข้ามามอบตัวต่อหน้าเขานี้เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

ในสังเวียนเงินนี้ตราบเท่าที่ไม่ได้คิดจะยอมแพ้โดยการล้มมวยแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถขึ้นท้าทายได้

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝน”

ได้ยินคำของเย่หยวนมู่เต้าเฉิงก็รีบพูดเสริมขึ้นทันที “ผู้อาวุโสซิน เห็นไหมว่าเขาเองก็ยอมรับแล้ว ดำเนินการต่อไปเช่นนี้เถอะ!”

ผู้อาวุโสซินหันไปมองเย่หยวนก่อนจะถอนหายใจยาว “เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ประลองกันได้”

เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินเขาก็แทบจะลุกขึ้นเต้น “ฮ่าๆ เจ้าหนู ข้าต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก! เมื่อชนะศึกนี้ได้ข้าก็จะกลายเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว”

เย่หยวนยิ้มตอบ “อย่าได้เกรงใจไปเลย แต่หากท่านคิดจะชนะข้านั้นมันคงมิใช่เรื่องง่ายนัก”

มู่เต้าเฉิงหัวเราะลั่นออกมา “เจ้าหนู เจ้าคิดว่าแค่ได้เหรียญเงินมาแล้วตัวเองจะเก่งกาจเหนือสวรรค์หรือ? ข้าขอบอกเลยว่าทุกผู้คนในที่นี้ต่างสามารถทำเก้าปะทุได้สิ้น! นักหลอมโอสถสวรรค์นั้นมีพลังฝีมือมากกว่าที่เจ้าคาดคิดนัก เจ้านั้นยังห่างชั้นไปมาก!”

เย่หยวนยิ้มออกมา “เช่นนั้นหรือ? อย่างนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”

ผู้อาวุโสซินร้องบอก “โอสถที่พวกเจ้าจะใช้ประลองหลอมกันคือโอสถพิรุณหวานชื่น”

ที่ด้านล่างสังเวียนคนทั้งหลายต่างมองดูภาพตรงหน้าอย่างอิจฉาริษยา

ไม่มีใครนึกใครฝันว่ามู่เต้าเฉิงจะเจอกับคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่โง่เง่าไม่รู้จักตนเช่นนี้

เท่านี้การได้เหรียญทองของมู่เต้าเฉิงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย

การประลองนี้มันไม่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแม้แต่น้อย

นักหลอมโอสถที่เพิ่งขึ้นสังเวียนเงินมา พวกเขานั้นย่อมมีพลังฝีมือที่ต่ำต้อย

มีเพียงแค่ต้องพ่ายแพ้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสามารถไปเรื่อยๆ เขาจึงจะสามารถเก่งกาจขึ้นมาได้

เย่หยวนที่เพิ่งมาถึงนี้ย่อมไม่มีใครคิดว่าเขาจะเก่งกาจไปกว่ามู่เต้าเฉิงที่เป็นเจ้าสังเวียนมานานไปได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมู่เต้าเฉิงคนนี้ก็มีความสามารถในระดับของนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว

เมื่อเริ่มการประลองขึ้นเมฆฟ้าดินก็เริ่มเปลี่ยนสี!

พลังของมู่เต้าเฉิงนั้นพุ่งทะยานขึ้นฟ้ากดดันเย่หยวนลงอย่างบ้าคลั่ง

บนสังเวียนในตอนนี้มันเปี่ยมไปด้วยคลื่นพลังจิตที่หนาแน่นจนแทบเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง

‘ปัง!’

ในวินาทีแรกพลังจิตของคนทั้งสองก็ได้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง

เว้นเสียแต่ว่าทางมู่เต้าเฉิงนั้นมีความรุนแรงที่เหนือกว่าส่วนทางเย่หยวนนั้นกลับดูเบาบางไร้แรงผลัก

“หึๆ เจ้าหนู ข้าจะสอนเจ้าเอง! ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าสังเวียนเงินนี้มันไม่ง่ายดาย!” มู่เต้าเฉิงร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะกระแทกพลังคลื่นจิตเข้าไป

การประลองเช่นนี้เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพลังเหนือกว่ามากจนเกินไปมันมักจะทำให้รู้ผลได้ตั้งแต่รอบแรกที่เริ่ม

ทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนต้องแพ้แล้ว

‘อึก!’

แต่จู่ๆ กลับเป็นฝ่ายมู่เต้าเฉิงที่ร้องออกมาพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนองปาก

ส่วนโอสถในหม้อหลอมตรงหน้าเขานั้นก็ส่งเสียงดังลั่นขึ้นก่อนจะส่งกลิ่นไหม้เหม็นไปทั่วสังเวียน

ดูท่าแล้วโอสถในหม้อหลอมของเขาคงไม่อาจใช้การได้แล้ว

ผู้อาวุโสซินเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึง

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“มู่เต้าเฉิง…แพ้?”

“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? เจ้าหนูนี่มันใช้เวทมนตร์ใด? มู่เต้าเฉิงได้เปรียบอย่างชัดเจน! เหตุใดเขาจึงแพ้ลงด้วยการปะทะเดียวเล่า?”

ที่ด้านล่างคนทั้งหลายต่างแสดงความเห็นออกมากันอย่างต่อเนื่อง

เพราะผลนั้นไม่ได้เกินความคาดหมาย เป็นชัยชนะที่ตัดสินกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ปะทะ

เพียงแค่ว่าผู้ชนะมันกลับมิใช่มู่เต้าเฉิง แต่เป็นเย่หยวน!

บนสังเวียนตอนนี้เย่หยวนกำลังใช้เวลาหลอมโอสถไปอย่างใจเย็นราวกับว่าไม่ได้รู้เลยว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้าง

มู่เต้าเฉิงมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้า… ข้าแพ้?”

ไม่กี่อึดใจก่อนเขายังบอกออกมาอย่างอวดดี คิดว่าตัวเองได้รับเหรียญมาอย่างแน่นอนแล้ว

ใครจะไปคิดว่าเขากลับแพ้ลงตั้งแต่การปะทะแรก!

เขาเองก็เหมือนกับคนดูอื่นๆ คิดว่าตัวเองต้องชนะอย่างแน่นอน

แต่เมื่อพลังจิตของเขาปะทะเข้ากับพลังจิตของเย่หยวนเขากลับรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนขุนเขาใหญ่ ส่วนตัวเขานั้นเป็นแค่ไข่ไก่ใบน้อย

และเมื่อเอาไข่ไก่ไปปะทะกับขุนเขา แน่นอนว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้

นี่หรือคือความหมายที่โบราณว่าไว้ว่าโยนไข่ใส่หิน?

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1926 โยนไข่ใส่หิน

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1926 โยนไข่ใส่หิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ร่างของชายหนุ่มผู้นี้

และไม่นานสายตาทั้งหลายก็เปลี่ยนเป็นความเย้ยหยัน

เมื่อมู่เต้าเฉิงได้เห็นเย่หยวนเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ฮ่าๆ เจ้าหนู เจ้าคงยังไม่คุ้นที่ทางสินะ! ที่นี่มันสังเวียนเงิน เจ้าคงไม่ได้เดินขึ้นมาผิดสังเวียนหรอกใช่ไหม?”

แม้ว่าเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์เงินนั้นจะมีจำนวนไม่น้อยแต่พวกเขาทั้งหลายนั้นก็ต่างคุ้นชินเคยเห็นหน้าตาของกันมาก่อนสิ้น ทำให้ทุกผู้คนต่างรู้ว่าใครเป็นใคร

ไม่เพียงแค่เย่หยวนจะหน้าไม่คุ้นแล้วแต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มแน่นอนว่าทุกผู้คนต่างคิดว่าเขานั้นเดินขึ้นมาผิดสังเวียน

มีหรือที่เด็กหนุ่มอย่างนี้จะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้?

ที่ด้านข้างทางกรรมการเองก็มองดูด้วยใบหน้าเหนื่อยใจ “เจ้าหนุ่ม ที่นี่คือสังเวียนเงิน ผู้ที่คิดจะขึ้นท้าประลองต้องมีเหรียญเงินก่อนจึงจะสามารถประลองได้”

ดูท่าแล้วเขาเองก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าเย่หยวนนั้นจะเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินไปได้

เย่หยวนยิ้มและค่อยๆ ยื่นเหรียญนั้นที่ผู้อาวุโสผิงมอบให้นั้นออกมามอบแก่กรรมการ “นี่น่าจะเป็นเหรียญเงินใช่หรือไม่? ท่านผู้อาวุโสโปรดตรวจสอบ”

นั่นทำให้คำดูถูกเหยียดหยามทั้งหลายเงียบเบาลงเหลือไว้เพียงความเงียบงัน

นักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่อายุน้อยขนาดนี้มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!

กรรมการผู้นั้นรับเหรียญไปและส่งจิตของตนลงไปภายใน และแน่นอนว่าไม่นานเขาก็ได้ทราบว่าเย่หยวนเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาจริงๆ

ชายแก่หันไปมองเย่หยวนอย่างตื่นตกใจ “เหรียญเงินของเจ้านี้เพิ่งถูกออกมาใหม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย หรือว่า…”

ชายหนุ่มที่มีความสามารถถึงขั้นนักหลอมโอสถสวรรค์เงินเช่นนี้ต่อให้เขาจะถูกเลื่อนขึ้นมาจากระดับทองแดง มันก็ย่อมต้องมีชื่อเสียงผ่านหูเขามาบ้าง

เพราะฉะนั้นเหรียญนี้ของเย่หยวนจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ใช่การเลื่อนขั้นแต่เป็นการออกใหม่

เย่หยวนยิ้มพร้อมกล่าว “ผู้เยาว์เพิ่งจะผ่านการทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์เมื่อสักครู่นี้”

‘หืม!’

“เลื่อนขึ้นมาถึงนักหลอมโอสถสวรรค์เงินในคราเดียว! เด็กคนนี้มันทำให้เกิดเก้าปะทุได้!”

“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? ครั้งสุดท้ายที่เกิดเก้าปะทุขึ้นมันก็ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้วนา?”

“ใช่ แต่เหล่าคนที่สามารถจะทำเก้าปะทุได้มันล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าจอมเทพโอสถหกดาวมากชื่อที่เพิ่งมาถึงศาลาโอสถสวรรค์ ไม่เคยมีจอมเทพโอสถห้าดาวคนไหนทำได้มาก่อน!”

การผ่านทดสอบของศาลาโอสถสวรรค์และขึ้นมาถึงระดับเงินได้ในทันทีนั้นมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

สายตาที่ทุกผู้คนมองมายังเย่หยวนมันจึงเปลี่ยนไปในทันที

นี่คือเด็กหนุ่มที่จะเป็นดาวดวงใหม่ของศาลาโอสถสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ทางกรรมการผู้นั้นเองก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาก่อนจะคืนเหรียญให้แก่เย่หยวนและบอก “คนหนุ่มสมัยนี้ประมาทไม่ได้เลยๆ!”

เย่หยวนกล่าวตอบ “ตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติพอจะท้าทายเขาแล้วใช่หรือไม่?” พูดไปเย่หยวนก็หันหน้าไปหามู่เต้าเฉิง

กรรมการคนนั้นยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “หึๆ เจ้าหนุ่ม เจ้านั้นมีช่องให้พัฒนาอีกมากมาย แต่เจ้าจะดูถูกสังเวียนเงินมากจนเกินไปแล้ว! การประลองกับเขาในตอนนี้มันไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ กับเจ้าหรอก”

“อย่าสิ ผู้อาวุโสซิน! เขานั้นอุตส่าห์มอบตัวมาถึงหน้าประตูเช่นนี้แล้วผู้เฒ่าอย่างท่านก็อย่าได้มายุ่ง! เด็กคนนี้มันจะทำให้ข้าได้เหรียญทองมาอย่างแน่นอน!” เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินคำของกรรมการผู้นั้นเขาก็ร้องห้ามทันที

เพราะในวินาทีที่เขาเห็นเหรียญเงินของเย่หยวน นอกจากความตื่นตะลึงแล้วเขายังดีใจมากด้วย

เพราะตราบที่เขาสามารถชนะศึกต่อไปนี้ได้ เขาก็จะสามารถผ่านขึ้นไปถึงสังเวียนทองได้

การได้เป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองนั้นมันย่อมจะทำให้ชื่อเสียงของเขาลื่อลั่นไปกว่าเดิมมาก เป็นเรื่องที่เขาฝันถึงมาหลายต่อหลายปี

ในสังเวียนเงินนี้การจะชนะให้ได้ถึงสิบครั้งมันมิใช่เรื่องง่ายๆ

และเมื่อเด็กใหม่เดินเข้ามามอบตัวต่อหน้าเขานี้เขาย่อมไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

ในสังเวียนเงินนี้ตราบเท่าที่ไม่ได้คิดจะยอมแพ้โดยการล้มมวยแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถขึ้นท้าทายได้

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝน”

ได้ยินคำของเย่หยวนมู่เต้าเฉิงก็รีบพูดเสริมขึ้นทันที “ผู้อาวุโสซิน เห็นไหมว่าเขาเองก็ยอมรับแล้ว ดำเนินการต่อไปเช่นนี้เถอะ!”

ผู้อาวุโสซินหันไปมองเย่หยวนก่อนจะถอนหายใจยาว “เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ประลองกันได้”

เมื่อมู่เต้าเฉิงได้ยินเขาก็แทบจะลุกขึ้นเต้น “ฮ่าๆ เจ้าหนู ข้าต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก! เมื่อชนะศึกนี้ได้ข้าก็จะกลายเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว”

เย่หยวนยิ้มตอบ “อย่าได้เกรงใจไปเลย แต่หากท่านคิดจะชนะข้านั้นมันคงมิใช่เรื่องง่ายนัก”

มู่เต้าเฉิงหัวเราะลั่นออกมา “เจ้าหนู เจ้าคิดว่าแค่ได้เหรียญเงินมาแล้วตัวเองจะเก่งกาจเหนือสวรรค์หรือ? ข้าขอบอกเลยว่าทุกผู้คนในที่นี้ต่างสามารถทำเก้าปะทุได้สิ้น! นักหลอมโอสถสวรรค์นั้นมีพลังฝีมือมากกว่าที่เจ้าคาดคิดนัก เจ้านั้นยังห่างชั้นไปมาก!”

เย่หยวนยิ้มออกมา “เช่นนั้นหรือ? อย่างนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ”

ผู้อาวุโสซินร้องบอก “โอสถที่พวกเจ้าจะใช้ประลองหลอมกันคือโอสถพิรุณหวานชื่น”

ที่ด้านล่างสังเวียนคนทั้งหลายต่างมองดูภาพตรงหน้าอย่างอิจฉาริษยา

ไม่มีใครนึกใครฝันว่ามู่เต้าเฉิงจะเจอกับคู่ต่อสู้คนสุดท้ายที่โง่เง่าไม่รู้จักตนเช่นนี้

เท่านี้การได้เหรียญทองของมู่เต้าเฉิงก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย

การประลองนี้มันไม่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแม้แต่น้อย

นักหลอมโอสถที่เพิ่งขึ้นสังเวียนเงินมา พวกเขานั้นย่อมมีพลังฝีมือที่ต่ำต้อย

มีเพียงแค่ต้องพ่ายแพ้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสามารถไปเรื่อยๆ เขาจึงจะสามารถเก่งกาจขึ้นมาได้

เย่หยวนที่เพิ่งมาถึงนี้ย่อมไม่มีใครคิดว่าเขาจะเก่งกาจไปกว่ามู่เต้าเฉิงที่เป็นเจ้าสังเวียนมานานไปได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมู่เต้าเฉิงคนนี้ก็มีความสามารถในระดับของนักหลอมโอสถสวรรค์ทองแล้ว

เมื่อเริ่มการประลองขึ้นเมฆฟ้าดินก็เริ่มเปลี่ยนสี!

พลังของมู่เต้าเฉิงนั้นพุ่งทะยานขึ้นฟ้ากดดันเย่หยวนลงอย่างบ้าคลั่ง

บนสังเวียนในตอนนี้มันเปี่ยมไปด้วยคลื่นพลังจิตที่หนาแน่นจนแทบเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง

‘ปัง!’

ในวินาทีแรกพลังจิตของคนทั้งสองก็ได้เข้าปะทะกันอย่างรุนแรง

เว้นเสียแต่ว่าทางมู่เต้าเฉิงนั้นมีความรุนแรงที่เหนือกว่าส่วนทางเย่หยวนนั้นกลับดูเบาบางไร้แรงผลัก

“หึๆ เจ้าหนู ข้าจะสอนเจ้าเอง! ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าสังเวียนเงินนี้มันไม่ง่ายดาย!” มู่เต้าเฉิงร้องบอกพร้อมเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะกระแทกพลังคลื่นจิตเข้าไป

การประลองเช่นนี้เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพลังเหนือกว่ามากจนเกินไปมันมักจะทำให้รู้ผลได้ตั้งแต่รอบแรกที่เริ่ม

ทุกคนต่างคิดว่าเย่หยวนต้องแพ้แล้ว

‘อึก!’

แต่จู่ๆ กลับเป็นฝ่ายมู่เต้าเฉิงที่ร้องออกมาพร้อมด้วยเลือดที่ไหลนองปาก

ส่วนโอสถในหม้อหลอมตรงหน้าเขานั้นก็ส่งเสียงดังลั่นขึ้นก่อนจะส่งกลิ่นไหม้เหม็นไปทั่วสังเวียน

ดูท่าแล้วโอสถในหม้อหลอมของเขาคงไม่อาจใช้การได้แล้ว

ผู้อาวุโสซินเบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตะลึง

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“มู่เต้าเฉิง…แพ้?”

“ไม่มีทางหรอกใช่ไหม? เจ้าหนูนี่มันใช้เวทมนตร์ใด? มู่เต้าเฉิงได้เปรียบอย่างชัดเจน! เหตุใดเขาจึงแพ้ลงด้วยการปะทะเดียวเล่า?”

ที่ด้านล่างคนทั้งหลายต่างแสดงความเห็นออกมากันอย่างต่อเนื่อง

เพราะผลนั้นไม่ได้เกินความคาดหมาย เป็นชัยชนะที่ตัดสินกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ปะทะ

เพียงแค่ว่าผู้ชนะมันกลับมิใช่มู่เต้าเฉิง แต่เป็นเย่หยวน!

บนสังเวียนตอนนี้เย่หยวนกำลังใช้เวลาหลอมโอสถไปอย่างใจเย็นราวกับว่าไม่ได้รู้เลยว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้นบ้าง

มู่เต้าเฉิงมองดูเย่หยวนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ข้า… ข้าแพ้?”

ไม่กี่อึดใจก่อนเขายังบอกออกมาอย่างอวดดี คิดว่าตัวเองได้รับเหรียญมาอย่างแน่นอนแล้ว

ใครจะไปคิดว่าเขากลับแพ้ลงตั้งแต่การปะทะแรก!

เขาเองก็เหมือนกับคนดูอื่นๆ คิดว่าตัวเองต้องชนะอย่างแน่นอน

แต่เมื่อพลังจิตของเขาปะทะเข้ากับพลังจิตของเย่หยวนเขากลับรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นเป็นเหมือนขุนเขาใหญ่ ส่วนตัวเขานั้นเป็นแค่ไข่ไก่ใบน้อย

และเมื่อเอาไข่ไก่ไปปะทะกับขุนเขา แน่นอนว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้

นี่หรือคือความหมายที่โบราณว่าไว้ว่าโยนไข่ใส่หิน?

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+