Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1927 ชนะรวดอย่างบ้าคลั่ง

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1927 ชนะรวดอย่างบ้าคลั่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มู่เต้าเฉิง เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า? เจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ เหตุใดจึงได้พ่ายแพ้ลงเสียเล่า!”

ทุกคนมองดูที่มู่เต้าเฉิงด้วยท่าทางเจ็บใจ

มู่เต้าเฉิงเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก “ข้าประเมินมันต่ำเกินไป! เด็กคนนี้มันมีพลังจิตที่หนาแน่นแสนรุนแรง ข้าคิดใช้พลังจิตกระแทกปะทะเข้ากับมันแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปเตะเข้ากับเสาเหล็ก จนทำให้กลายเป็นฝ่ายบาดเจ็บไปเสียเอง ข้าคำนวณพลาดไป! หากข้ารู้เช่นนี้มาก่อนข้าคงแข่งหลอมโอสถกับมันตามปกติไปแล้ว เช่นนั้นมันคงไม่มีอะไรจะสู้ข้าได้แน่!”

ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็หายสงสัยในทันทีและมีใครบางคนพูดขึ้นมา “ดูท่าเด็กคนนี้มันคงมีวรยุทธ์ฝึกฝนบ่มเพาะจิตศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งน่าดู ไม่น่าจะเป็นเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้ว! ดูท่าวันหน้าหากต้องเจอเขาข้าคงต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก”

พวกเขานั้นไม่ได้สงสัยในคำพูดของมู่เต้าเฉิงแม้แต่น้อยเพราะการที่มีพลังจิตหนักแน่นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหลอมโอสถได้เก่งกาจ

ด้วยอายุของเย่หยวนนี้การหลอมโอสถย่อมจะไม่มีทางเทียบเคียงพวกเขาได้

ตราบเท่าที่พวกเขาหนีห่างจากอาวุธอันตรายนั้นได้ ชัยชนะมันก็คงไม่ยากเย็น

“หลอม!”

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาเย่หยวนก็ร้องบอกขึ้นก่อนจะหลอมโอสถขึ้นมา

โอสถพิรุณหวานชื่นนี้เป็นแค่โอสถความยากห้าชนิดหนึ่ง สำหรับเย่หยวนในตอนนี้แล้วมันย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นในการหลอม

ผู้อาวุโสซินมองเย่หยวนด้วยสายตาแห่งความเร่าร้อน “เย่หยวน เปิดเตาออก!”

เย่หยวนพยักหน้ารับและเปิดเตาเอาโอสถออกมา

เมื่อโอสถนี้หลุดออกจากหม้อหลอมกลิ่นอันหอมหวนก็โชยไปทั่วทั้งพื้นที่ในทันที

“กลิ่นนี้ช่างหอมเสียจริง”

“เหตุใดโอสถพิรุณหวานชื่นจึงได้หอมขนาดนี้กัน?”

“นี่มันเป็นโอสถพิรุณหวานชื่นขั้นใดกันนี่? เหตุใดจึงได้หอมปานนี้?”

กลิ่นโอสถนี้มันทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงไปทันทีต่างคาดเดากันไปว่าโอสถนี้มีคุณภาพถึงขั้นไหนกันแน่

เย่หยวนนั้นลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้ารีบจับโอสถนั้นลงในขวดอย่างทันที

จากนั้นผู้อาวุโสซินที่ได้รับขวดนั้นไปก็ต้องสั่นสะท้าน

เขานั้นได้รับรู้แล้วว่าโอสถของเย่หยวนนั้นต้องไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นเขาจึงได้สั่นกลัวที่จะรู้ว่าโอสถนี้ของเย่หยวนมันเป็นขั้นใดกันแน่

เมื่อจิตของเขามุ่งลงไปในขวดตาทั้งสองของผู้อาวุโสซินก็ต้องเบิกกว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเย่หยวนอย่างแตกตื่น

ทุกคนที่ได้เห็นท่าทางนั้นของผู้อาวุโสซินต่างก็ได้แต่คาดเดากันออกมาอย่างไม่ขาดสาย

แต่พวกเขานั้นรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าโอสถนี้มันคงมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าขั้นเทวะแน่!

“ผู้อาวุโสซิน มัน…มันเป็นโอสถขั้นใดกัน?” มู่เต้าเฉิงอดไม่ได้จึงถามขึ้น

เพราะเขานั้นได้รู้แล้วว่าตัวเองมันอ่อนหัดเกินไป

แข่งหลอมโอสถกับเย่หยวนตรงๆ?

ดูท่าทางของผู้อาวุโสซินในตอนนี้ เขาได้รู้แล้วว่ามันย่อมไม่มีทางชนะได้

เว้นเสียแต่ว่าแม้เขาจะพ่าย เขาก็ต้องรู้ว่าตัวเองพ่ายแก่สิ่งใด ไม่เช่นนั้นแล้วคงนอนตายตาไม่หลับแน่

เมื่อได้ยินคำทักเช่นนั้นผู้อาวุโสซินจึงสะดุ้งขึ้นมาเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ “เย่หยวนหลอมโอสถพิรุณหวานชื่นขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้ ชนะ!”

‘ครึ้ม!’

เหล่าผู้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นในทันทีเสียงร้องอันแตกตื่นของพวกเขานี้มันทำให้ทั้งสังเวียนเหมือนเกิดคลื่นพายุขึ้น

“ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! นี่มัน…เป็นไปไม่ได้น่า!”

“ผู้อาวุโสซินท่านไม่ได้มองผิดใช่หรือไม่? มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล?”

“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันต้องเป็นยอดคนระดับสูงในศาลาโอสถสวรรค์มิใช่หรือถึงจะหลอมได้?”

การตอบรับแรกของทุกผู้คนนั้นคือความไม่เชื่อ แต่พวกเขาย่อมรู้ดีแก่ใจว่าผู้อาวุโสซินย่อมจะไม่พูดจาไร้สาระในเวลานี้แน่

เพราะเรื่องเช่นนี้มันเอามาล้อเล่นไม่ได้

“โอหัง! เจ้าคิดว่าเฒ่าคนนี้จะมาล้อเล่นกับพวกเจ้าทั้งหลายหรือ?” แน่นอนว่าทางผู้อาวุโสซินเองก็ไม่พอใจเช่นกัน

ไม่นานคนทั้งหลายนั้นจึงได้แต่หุบปากเงียบลง

ผู้อาวุโสซินยกมือขึ้นบอกเป็นสัญญาณ “จากนี้ไปเย่หยวนคือเจ้าสังเวียนแล้ว ใครที่คิดอยากขึ้นมาท้าทายเขาจงก้าวออกมา!”

ตอนนี้สายตาที่ผู้อาวุโสซินใช้มองเย่หยวนนั้นมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีที่เขาเห็นเหรียญเงินนั้นเขาก็ยอมรับเย่หยวนในฐานะคนรุ่นใหม่ที่น่าสั่งสอนผู้หนึ่งแล้ว

แต่ตอนนี้ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม

กับเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์แล้วโอสถพิรุณหวานชื่นนั้นไม่ได้นับว่าเป็นอะไรที่ยากเย็นนัก แต่จะหลอมให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันย่อมไม่มีทางที่คนทั่วๆ ไปจะทำได้

ทุกผู้คนต่างหันไปมองหน้ากันแต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวออกไป

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขาเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนนั้นมันยังคงตราตรึง

อย่าว่าแต่สังเวียนเงิน ต่อให้เป็นในสังเวียนทองเองมันก็ยังไม่เคยมีใครจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมาก่อน

แต่วันนี้มันกลับมีขึ้นมา!

จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมายกมือคารวะเย่หยวน “ข้านามเฟิงจิงหยุน ขอพี่เย่โปรดชี้แนะ”

คนผู้นี้มีผ้าไหมโพกหัวเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยท่าทางจริงใจ

“เฟิงจิงหยุน! เขาคืออันดับหนึ่งในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์เงิน! แต่กลับคิดจะไปท้าทายเย่หยวนอย่างนั้นหรือ!”

“ตั้งแต่ที่เฟิงจิงหยุนขึ้นถึงระดับเงินมาเขายังไม่เคยพ่ายแก่ใครเลยและสามารถป้องกันสังเวียนมาได้ถึงเก้าครั้งติดแล้ว”

“มีอะไรน่าสนุกให้ชมแล้วสิ เจ้าเด็กคนนี้มันจะโชคดีหรือแข็งแกร่งจริง เฟิงจิงหยุนจะเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีเลย”

เมื่อเฟิงจิงหยุนขึ้นมาถึงสังเวียนคนทั้งหลายก็แตกตื่นกันขึ้นอีกครั้ง

เพราะเขานั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์ มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่ามู่เต้าเฉิง

ไม่มีใครนึกฝันว่าเขาคนนี้จะออกโรงมาท้าทายเย่หยวนเอง

แต่ก็เพราะเช่นนั้นมันจึงทำให้ศึกนี้ยิ่งน่าดูชมมากขึ้น

เย่หยวนจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมยกมือขึ้นคารวะตอบ “โปรดชี้แนะ!”

เมื่อได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดของมู่เต้าเฉิง เฟิงจิงหยุนย่อมระวังตัวมากกว่าเก่าพยายามหลบเลี่ยงจุดที่อันตรายที่สุดของเย่หยวนและตั้งใจหลอมโอสถของตนไป

และเย่หยวนเองก็ดูท่าไม่คิดจะโจมตีใดๆ เขาด้วย

แต่ในสังเวียนนั้นมันคับแคบ ต่อให้ไม่คิดใช้คลื่นพลังจิตของคนทั้งสองมันก็ยังต้องปะทะกันอยู่บ้าง

แต่ในวินาทีสั้นๆ นั้นเฟิงจิงหยุนกลับรู้สึกเหมือนว่าตนเองยืนอยู่หน้าท้องทะเลอันกว้างใหญ่

‘แข็งแกร่ง!’

การหลอมโอสถในครั้งนี้เป็นการหลอมโอสถที่ยากที่สุดเท่าที่เฟิงจิงหยุนเคยทำมา

แต่แค่ส่วนผิวเผินของพลังเย่หยวนนี้มันก็ทำให้เขาได้ประโยชน์กลับไปมากมาย

เมื่อจบศึกลงเฟิงจิงหยุนก็แพ้ไปอย่างราบคาบ

ส่วนเย่หยวนนั้นก็ได้หลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลขึ้นมาอีกครั้ง!

คราวนี้มันไม่มีใครกล้าสงสัยในฝีมือของเย่หยวนอีกต่อไป

ต่อให้จะเป็นคนโง่มาจากไหน มันก็ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนบังเอิญหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลสองครั้งติดกัน

“ขอบคุณมากท่านอาจารย์เย่ที่ชี้แนะ! เฟิงผู้นี้ซาบซึ้งอย่างมากมาย!” เฟิงจิงหยุนเดินออกมาก้มลงคารวะเย่หยวน

ตอนนี้แม้แต่คำเรียกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

จากพี่เย่ เป็นอาจารย์!

ในศาลาโอสถสวรรค์นี้จะมีใครบ้างที่ได้รับฉายานามว่าอาจารย์

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พี่เฟิงนั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่น อนาคตภายหน้าของท่านนั้นย่อมก้าวเดินไปได้ไกลกว่าคนอื่น! จะบอกว่าข้าเป็นผู้ชี้แนะมันคงไม่เหมาะกับข้าหรอก”

เย่หยวนเองก็บอกออกมาอย่างซื่อตรงเพราะเฟิงจิงหยุนคนนี้แม้จะมีพลังฝีมือที่ไม่ได้เหนือล้ำกว่ามู่เต้าเฉิงมากนัก แต่เขานั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่นกว่ามู่เต้าเฉิงมาก

ในเรื่องของความเป็นไปได้แล้ว เขาย่อมจะมีพื้นที่ให้ก้าวหน้าได้มากกว่ามู่เต้าเฉิง

เฟิงจิงหยุนย่อมไม่กล้ารับคำนั้นและรีบเดินจากไป

เพราะการประลองนี้กับเย่หยวนมันได้ให้ประโยชน์เขาอย่างมากมาย เขาจึงคิดที่จะเริ่มเก็บตัวในทันทีหลังจบศึก

ต่อจากนั้นไปศึกใดๆ มันก็ย่อมไม่มีข้อกังขาอีก

ทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนี้มันไม่สมควรอยู่ในระดับเงินเลย

ที่นี่มิใช่สังเวียนของเขา

แต่มันก็เป็นเพราะเช่นนั้นที่ทำให้ผู้กล้าหลายคนคิดหวังจะไปท้าประลองและเรียนรู้วิชาจากเด็กหนุ่ม

เพราะนี่มันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง!

เท่านี้เย่หยวนก็ทำการเอาชนะทุกผู้คนอย่างต่อเนื่อง ชนะรวดด้วยความบ้าคลั่ง

ตราบเท่าที่มันเป็นศึกของเย่หยวน เรื่องราวใดๆ ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว

เขานั้นมีความเร็วในการหลอมที่แปลกประหลาด แต่โอสถที่ออกมานั้นมันกลับมีคุณภาพสูงส่ง

เวลาแค่ครึ่งเดินผ่านไปเขาก็สามารถชนะรวดร้อยครั้งขึ้นสูงระดับทองได้ทันที!

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ของเย่หยวนได้ทำให้แม้แต่คนของศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายต่างต้องหันมาสนใจ

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1927 ชนะรวดอย่างบ้าคลั่ง

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1927 ชนะรวดอย่างบ้าคลั่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มู่เต้าเฉิง เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า? เจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ เหตุใดจึงได้พ่ายแพ้ลงเสียเล่า!”

ทุกคนมองดูที่มู่เต้าเฉิงด้วยท่าทางเจ็บใจ

มู่เต้าเฉิงเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก “ข้าประเมินมันต่ำเกินไป! เด็กคนนี้มันมีพลังจิตที่หนาแน่นแสนรุนแรง ข้าคิดใช้พลังจิตกระแทกปะทะเข้ากับมันแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปเตะเข้ากับเสาเหล็ก จนทำให้กลายเป็นฝ่ายบาดเจ็บไปเสียเอง ข้าคำนวณพลาดไป! หากข้ารู้เช่นนี้มาก่อนข้าคงแข่งหลอมโอสถกับมันตามปกติไปแล้ว เช่นนั้นมันคงไม่มีอะไรจะสู้ข้าได้แน่!”

ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็หายสงสัยในทันทีและมีใครบางคนพูดขึ้นมา “ดูท่าเด็กคนนี้มันคงมีวรยุทธ์ฝึกฝนบ่มเพาะจิตศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งน่าดู ไม่น่าจะเป็นเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้ว! ดูท่าวันหน้าหากต้องเจอเขาข้าคงต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก”

พวกเขานั้นไม่ได้สงสัยในคำพูดของมู่เต้าเฉิงแม้แต่น้อยเพราะการที่มีพลังจิตหนักแน่นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหลอมโอสถได้เก่งกาจ

ด้วยอายุของเย่หยวนนี้การหลอมโอสถย่อมจะไม่มีทางเทียบเคียงพวกเขาได้

ตราบเท่าที่พวกเขาหนีห่างจากอาวุธอันตรายนั้นได้ ชัยชนะมันก็คงไม่ยากเย็น

“หลอม!”

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาเย่หยวนก็ร้องบอกขึ้นก่อนจะหลอมโอสถขึ้นมา

โอสถพิรุณหวานชื่นนี้เป็นแค่โอสถความยากห้าชนิดหนึ่ง สำหรับเย่หยวนในตอนนี้แล้วมันย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นในการหลอม

ผู้อาวุโสซินมองเย่หยวนด้วยสายตาแห่งความเร่าร้อน “เย่หยวน เปิดเตาออก!”

เย่หยวนพยักหน้ารับและเปิดเตาเอาโอสถออกมา

เมื่อโอสถนี้หลุดออกจากหม้อหลอมกลิ่นอันหอมหวนก็โชยไปทั่วทั้งพื้นที่ในทันที

“กลิ่นนี้ช่างหอมเสียจริง”

“เหตุใดโอสถพิรุณหวานชื่นจึงได้หอมขนาดนี้กัน?”

“นี่มันเป็นโอสถพิรุณหวานชื่นขั้นใดกันนี่? เหตุใดจึงได้หอมปานนี้?”

กลิ่นโอสถนี้มันทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงไปทันทีต่างคาดเดากันไปว่าโอสถนี้มีคุณภาพถึงขั้นไหนกันแน่

เย่หยวนนั้นลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้ารีบจับโอสถนั้นลงในขวดอย่างทันที

จากนั้นผู้อาวุโสซินที่ได้รับขวดนั้นไปก็ต้องสั่นสะท้าน

เขานั้นได้รับรู้แล้วว่าโอสถของเย่หยวนนั้นต้องไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นเขาจึงได้สั่นกลัวที่จะรู้ว่าโอสถนี้ของเย่หยวนมันเป็นขั้นใดกันแน่

เมื่อจิตของเขามุ่งลงไปในขวดตาทั้งสองของผู้อาวุโสซินก็ต้องเบิกกว้างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเย่หยวนอย่างแตกตื่น

ทุกคนที่ได้เห็นท่าทางนั้นของผู้อาวุโสซินต่างก็ได้แต่คาดเดากันออกมาอย่างไม่ขาดสาย

แต่พวกเขานั้นรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าโอสถนี้มันคงมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าขั้นเทวะแน่!

“ผู้อาวุโสซิน มัน…มันเป็นโอสถขั้นใดกัน?” มู่เต้าเฉิงอดไม่ได้จึงถามขึ้น

เพราะเขานั้นได้รู้แล้วว่าตัวเองมันอ่อนหัดเกินไป

แข่งหลอมโอสถกับเย่หยวนตรงๆ?

ดูท่าทางของผู้อาวุโสซินในตอนนี้ เขาได้รู้แล้วว่ามันย่อมไม่มีทางชนะได้

เว้นเสียแต่ว่าแม้เขาจะพ่าย เขาก็ต้องรู้ว่าตัวเองพ่ายแก่สิ่งใด ไม่เช่นนั้นแล้วคงนอนตายตาไม่หลับแน่

เมื่อได้ยินคำทักเช่นนั้นผู้อาวุโสซินจึงสะดุ้งขึ้นมาเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ “เย่หยวนหลอมโอสถพิรุณหวานชื่นขั้นเทวะวิญญาณไพศาลได้ ชนะ!”

‘ครึ้ม!’

เหล่าผู้คนทั้งหลายแตกตื่นขึ้นในทันทีเสียงร้องอันแตกตื่นของพวกเขานี้มันทำให้ทั้งสังเวียนเหมือนเกิดคลื่นพายุขึ้น

“ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! นี่มัน…เป็นไปไม่ได้น่า!”

“ผู้อาวุโสซินท่านไม่ได้มองผิดใช่หรือไม่? มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวคนหนึ่งจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาล?”

“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันต้องเป็นยอดคนระดับสูงในศาลาโอสถสวรรค์มิใช่หรือถึงจะหลอมได้?”

การตอบรับแรกของทุกผู้คนนั้นคือความไม่เชื่อ แต่พวกเขาย่อมรู้ดีแก่ใจว่าผู้อาวุโสซินย่อมจะไม่พูดจาไร้สาระในเวลานี้แน่

เพราะเรื่องเช่นนี้มันเอามาล้อเล่นไม่ได้

“โอหัง! เจ้าคิดว่าเฒ่าคนนี้จะมาล้อเล่นกับพวกเจ้าทั้งหลายหรือ?” แน่นอนว่าทางผู้อาวุโสซินเองก็ไม่พอใจเช่นกัน

ไม่นานคนทั้งหลายนั้นจึงได้แต่หุบปากเงียบลง

ผู้อาวุโสซินยกมือขึ้นบอกเป็นสัญญาณ “จากนี้ไปเย่หยวนคือเจ้าสังเวียนแล้ว ใครที่คิดอยากขึ้นมาท้าทายเขาจงก้าวออกมา!”

ตอนนี้สายตาที่ผู้อาวุโสซินใช้มองเย่หยวนนั้นมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีที่เขาเห็นเหรียญเงินนั้นเขาก็ยอมรับเย่หยวนในฐานะคนรุ่นใหม่ที่น่าสั่งสอนผู้หนึ่งแล้ว

แต่ตอนนี้ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม

กับเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์แล้วโอสถพิรุณหวานชื่นนั้นไม่ได้นับว่าเป็นอะไรที่ยากเย็นนัก แต่จะหลอมให้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันย่อมไม่มีทางที่คนทั่วๆ ไปจะทำได้

ทุกผู้คนต่างหันไปมองหน้ากันแต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวออกไป

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขาเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนนั้นมันยังคงตราตรึง

อย่าว่าแต่สังเวียนเงิน ต่อให้เป็นในสังเวียนทองเองมันก็ยังไม่เคยมีใครจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลมาก่อน

แต่วันนี้มันกลับมีขึ้นมา!

จู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมายกมือคารวะเย่หยวน “ข้านามเฟิงจิงหยุน ขอพี่เย่โปรดชี้แนะ”

คนผู้นี้มีผ้าไหมโพกหัวเดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยท่าทางจริงใจ

“เฟิงจิงหยุน! เขาคืออันดับหนึ่งในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์เงิน! แต่กลับคิดจะไปท้าทายเย่หยวนอย่างนั้นหรือ!”

“ตั้งแต่ที่เฟิงจิงหยุนขึ้นถึงระดับเงินมาเขายังไม่เคยพ่ายแก่ใครเลยและสามารถป้องกันสังเวียนมาได้ถึงเก้าครั้งติดแล้ว”

“มีอะไรน่าสนุกให้ชมแล้วสิ เจ้าเด็กคนนี้มันจะโชคดีหรือแข็งแกร่งจริง เฟิงจิงหยุนจะเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีเลย”

เมื่อเฟิงจิงหยุนขึ้นมาถึงสังเวียนคนทั้งหลายก็แตกตื่นกันขึ้นอีกครั้ง

เพราะเขานั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์ มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่ามู่เต้าเฉิง

ไม่มีใครนึกฝันว่าเขาคนนี้จะออกโรงมาท้าทายเย่หยวนเอง

แต่ก็เพราะเช่นนั้นมันจึงทำให้ศึกนี้ยิ่งน่าดูชมมากขึ้น

เย่หยวนจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมยกมือขึ้นคารวะตอบ “โปรดชี้แนะ!”

เมื่อได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดของมู่เต้าเฉิง เฟิงจิงหยุนย่อมระวังตัวมากกว่าเก่าพยายามหลบเลี่ยงจุดที่อันตรายที่สุดของเย่หยวนและตั้งใจหลอมโอสถของตนไป

และเย่หยวนเองก็ดูท่าไม่คิดจะโจมตีใดๆ เขาด้วย

แต่ในสังเวียนนั้นมันคับแคบ ต่อให้ไม่คิดใช้คลื่นพลังจิตของคนทั้งสองมันก็ยังต้องปะทะกันอยู่บ้าง

แต่ในวินาทีสั้นๆ นั้นเฟิงจิงหยุนกลับรู้สึกเหมือนว่าตนเองยืนอยู่หน้าท้องทะเลอันกว้างใหญ่

‘แข็งแกร่ง!’

การหลอมโอสถในครั้งนี้เป็นการหลอมโอสถที่ยากที่สุดเท่าที่เฟิงจิงหยุนเคยทำมา

แต่แค่ส่วนผิวเผินของพลังเย่หยวนนี้มันก็ทำให้เขาได้ประโยชน์กลับไปมากมาย

เมื่อจบศึกลงเฟิงจิงหยุนก็แพ้ไปอย่างราบคาบ

ส่วนเย่หยวนนั้นก็ได้หลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลขึ้นมาอีกครั้ง!

คราวนี้มันไม่มีใครกล้าสงสัยในฝีมือของเย่หยวนอีกต่อไป

ต่อให้จะเป็นคนโง่มาจากไหน มันก็ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนบังเอิญหลอมโอสถได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณไพศาลสองครั้งติดกัน

“ขอบคุณมากท่านอาจารย์เย่ที่ชี้แนะ! เฟิงผู้นี้ซาบซึ้งอย่างมากมาย!” เฟิงจิงหยุนเดินออกมาก้มลงคารวะเย่หยวน

ตอนนี้แม้แต่คำเรียกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

จากพี่เย่ เป็นอาจารย์!

ในศาลาโอสถสวรรค์นี้จะมีใครบ้างที่ได้รับฉายานามว่าอาจารย์

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พี่เฟิงนั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่น อนาคตภายหน้าของท่านนั้นย่อมก้าวเดินไปได้ไกลกว่าคนอื่น! จะบอกว่าข้าเป็นผู้ชี้แนะมันคงไม่เหมาะกับข้าหรอก”

เย่หยวนเองก็บอกออกมาอย่างซื่อตรงเพราะเฟิงจิงหยุนคนนี้แม้จะมีพลังฝีมือที่ไม่ได้เหนือล้ำกว่ามู่เต้าเฉิงมากนัก แต่เขานั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่นกว่ามู่เต้าเฉิงมาก

ในเรื่องของความเป็นไปได้แล้ว เขาย่อมจะมีพื้นที่ให้ก้าวหน้าได้มากกว่ามู่เต้าเฉิง

เฟิงจิงหยุนย่อมไม่กล้ารับคำนั้นและรีบเดินจากไป

เพราะการประลองนี้กับเย่หยวนมันได้ให้ประโยชน์เขาอย่างมากมาย เขาจึงคิดที่จะเริ่มเก็บตัวในทันทีหลังจบศึก

ต่อจากนั้นไปศึกใดๆ มันก็ย่อมไม่มีข้อกังขาอีก

ทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนี้มันไม่สมควรอยู่ในระดับเงินเลย

ที่นี่มิใช่สังเวียนของเขา

แต่มันก็เป็นเพราะเช่นนั้นที่ทำให้ผู้กล้าหลายคนคิดหวังจะไปท้าประลองและเรียนรู้วิชาจากเด็กหนุ่ม

เพราะนี่มันเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง!

เท่านี้เย่หยวนก็ทำการเอาชนะทุกผู้คนอย่างต่อเนื่อง ชนะรวดด้วยความบ้าคลั่ง

ตราบเท่าที่มันเป็นศึกของเย่หยวน เรื่องราวใดๆ ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว

เขานั้นมีความเร็วในการหลอมที่แปลกประหลาด แต่โอสถที่ออกมานั้นมันกลับมีคุณภาพสูงส่ง

เวลาแค่ครึ่งเดินผ่านไปเขาก็สามารถชนะรวดร้อยครั้งขึ้นสูงระดับทองได้ทันที!

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ของเย่หยวนได้ทำให้แม้แต่คนของศาลาโอสถสวรรค์ทั้งหลายต่างต้องหันมาสนใจ

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+