Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1978 เศษซากของเทพสวรรค์

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1978 เศษซากของเทพสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“น่าเกรงขามแท้! พี่เย่กลับกลืนโอสถลงไปถึงสองเม็ดด้วยกัน เขาไม่กลัวว่าร่างกายจะแตกระเบิดออกมาหรือ?” กั๋วจิงหยางบอก

“หึ พี่เย่นั้นช่างเก่งกล้า ตัวเขานั้นแตกต่างจากผู้อื่นตั้งแต่หัวจรดเท้า วางใจเถิด ตัวเขาเองก็มิใช่คนโง่ มีหรือที่จะมาตายลงเช่นนี้? แต่การที่เขากล้ากินโอสถลมหายใจลับสวรรค์ลงไปถึงสองเม็ด มันย่อมจะหมายความว่าเขามีวรยุทธ์บ่มเพาะที่เหนือล้ำผู้คนแล้ว!” ซงหยูมองดูเย่หยวนก่อนจะบอกขึ้น

“เรานั้นกลืนโอสถลมหายใจลับสวรรค์ไปหนึ่งเม็ดยังพอที่จะบรรลุดาวขึ้นมาง่ายๆ ดูท่าพี่เย่ที่กินไปถึงสองเม็ดนี้คงขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาวได้แน่แล้วใช่หรือไม่?” หูเฟยบอก

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ส่งเสียงสนับสนุนออกมา

เพราะฤทธิ์ของโอสถนี้มันสุดแสนจะเลิศล้ำ ด้วยพรสวรรค์ของเย่หยวนแล้วการจะบรรลุสองดาวขึ้นมามันจึงมิใช่เรื่องแปลกใดๆ

แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ได้ขึ้นมาเป็นเทพถ่องแท้สามดาวอย่างที่พวกเขาทั้งหลายหวัง

เพราะเมื่อเย่หยวนทำการบรรลุคอขวดขึ้นมาได้ สุดท้ายเขาก็ยังมาอยู่ที่เทพถ่องแท้สองดาว

โอสถลมหายใจลับสวรรค์ถึงสองเม็ดกลับทำให้บรรลุขึ้นมาได้แค่หนึ่งดาว หยุดแค่ที่เทพถ่องแท้สองดาว?

“พี่เย่ นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?” ซงหยูถามด้วยความสงสัย

เย่หยวนยิ้มตอบกลับมา “วรยุทธ์บ่มเพาะของข้านั้นมันแตกต่างจากผู้คนไม่น้อย พลังวิญญาณที่ข้าต้องการในการบรรลุแต่ละขั้นนั้นมันมากล้ำด้วยโอสถลมหายใจลับสวรรค์สองเม็ดนี้มันจึงทำได้แค่ส่งข้าขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สองดาว”

คนทั้งหลายได้แต่หันหน้ามองกันอย่างตื่นตะลึง

วรยุทธ์บ่มเพาะเช่นนี้มันจะแปลกประหลาดจนเกินไปหรือไม่?

แต่จู่ๆ เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาคารวะคนทั้งหลายและกล่าวบอก “เอาล่ะ พี่น้องทั้งหลาย ข้าขอตัวก่อน”

ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นเล่าพี่เย่? หรือว่าเราไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ?”

“ใช่แล้วพี่เย่ หากท่านคิดว่าสมบัติที่เราได้มันมากเกินไป เจ้าจะปรับการแบ่งสมบัติใหม่มันก็ย่อมได้” กั๋วจิงหยางบอกอย่างไม่คิดลังเล

เย่หยวนจึงยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธ “พวกเจ้าก็คิดกันมากไป มันเพียงแค่ว่าสถานที่ที่เย่คนนี้คิดจะเดินทางไปต่อนั้นมันสุดแสนอันตราย แม้แต่ตัวข้าเองก็อาจจะยังเอาไม่รอด ข้าจึงไม่ได้คิดจะลากพวกเจ้าทุกคนไปด้วย”

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที

พวกเขานั้นย่อมจะรู้ดีถึงพลังฝีมือของเย่หยวนและตอนนี้ตัวเขายังเพิ่งบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สองดาวมาด้วย แต่ตัวเขาผู้นี้กลับบอกว่าไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวรอด มันย่อมบ่งบอกได้อย่างดีว่าสถานที่แห่งนั้นมันอันตรายมากมายเพียงใด

หูเฟยรีบพูดขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วข้าหูเฟยผู้นี้ย่อมจะต้องไปด้วย! ชีวิตนี้ข้าได้ถูกเจ้าช่วยไว้ ทั้งยังได้รับโอสถลมหายใจลับสวรรค์จากเจ้ามา หากหูผู้นี้ไม่กล้าไปเพราะความกลัวแล้วมันก็คงไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน”

คำพูดของหูเฟยนี้มันทำให้ทุกผู้คนสั่นสะท้านไปทั้งใจ

ซงหยูพูดตามขึ้น “พี่เย่ เจ้าบอกเช่นนี้มันย่อมเหมือนไม่ได้มองเราเป็นพี่น้องอย่างแท้จริง! เรานั้นจะมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านไปด้วยกัน! ไม่ว่าที่แห่งนั้นมันจะสุดแสนอันตรายเพียงใด ข้าก็จะตามไปช่วยเหลือเจ้า!”

กั๋วจิงหยางและหม่าฉางเองก็ยืนยันคำออกมาว่าจะติดตามเย่หยวนไป

เย่หยวนนั้นรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเขาจึงพยักหน้าออกมา “เอาล่ะ เมื่อพวกเจ้าคิดจะไป ข้าก็ย่อมจะไม่ห้าม ไปกันเถอะ!”

เมื่อเห็นเถ้ากระดูกกระจายอยู่ทั่วบริเวณตรงหน้าซงหยูก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าซีดๆ “พี่เย่ ที่แท้เจ้าคิดจะมายังเขากระดูกอสูรนี่เอง!”

เขากระดูกอสูรนั้นมันคือสถานที่ที่นับได้ว่าสุดแสนอันตรายในสนามรบเทพโบราณนี้

เหล่าเด็กแห่งโชคชะตามากมายที่เข้ามาในสนามรบเทพโบราณนี้ตราบเท่าที่พวกเขาคิดก้าวเท้าเข้าไปในเขากระดูกอสูรแล้ว โอกาสที่จะรอดกลับไปได้มันก็สุดที่ที่จะต่ำตม

เมื่อคนทั้งหลายนั้นได้เห็นกระดูกสีขาวๆ นั้นพวกเขาต่างก็ขนลุกซ่านไปตามๆ กัน

เย่หยวนพยักหน้ารับ “เย่ผู้นี้ติดค้างเจียนซู่เทาเอาไว้ ทำให้เขาส่งข้าเข้าสนามรบเทพโบราณนี้มาเพื่อเอาสิ่งของหนึ่ง และมันก็อยู่ในเขากระดูกอสูรแห่งนี้”

“เจียนซู่เทา? ท่านเจ้าเมือง? เขา… เขาไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเจ้าหรอกหรือ?” ซงหยูบอก

เย่หยวนนั้นได้แต่ตอบกลับไปอย่างปวดหัว “เจ้าเฒ่าคนนั้นมันไร้ความจริงใจ ข้าก็ถูกใช้มาอย่างไม่เต็มใจนัก พวกเจ้าทั้งหลายลองคิดดูดีๆ อีกทีเถอะ ตอนนี้กลับหลังไปยังทัน หากพวกเจ้าเข้าเขากระดูกอสูรไปแล้วมันคงไม่อาจถอยหลังได้อีกต่อไป”

ซงหยูตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “พี่เย่ เจ้าพูดอะไรออกมา? มีหรือที่ข้าซงหยูจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวกลัวความตาย?”

คำพูดนี้ของซงหยูมันทำให้เย่หยวนตื่นตะลึงอย่างมาก

เพราะภาพลักษณ์ของซงหยูที่เขามีแต่เดิมนั้นมันไม่ค่อยจะดีนัก ไม่นึกไม่ฝันว่าเมื่อได้ผ่านความยากลำบากด้วยกันมาแล้วตัวเขากลับจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

รู้ทั้งรู้ว่าขุนเขาตรงหน้ามีอันตรายแต่ก็ยังจะกล้าเดินฝ่าเข้าไป เรื่องนี้มันมิใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถทำได้

ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่มันคงแค่เคยชินกับคำชมจึงทำให้เย่อหยิ่ง จิตใจที่แท้จริงนั้นไม่ได้เลวร้ายเลย

“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราก็มาบุกถ้ำเสือไปด้วยกันเถอะ!” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเข้ามาถึงเขากระดูกอสูรเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขาได้หลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

ภายในของเขากระดูกอสูรนั้นมันมีคลื่นพลังอันรุนแรงแผ่กระจายออกมาทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก

เย่หยวนลองคิดวิเคราะห์ดู หรือว่ามันจะเป็นกระดูกจักรพรรดิกิเลน?

เหล่าผู้คนทั้งหลายได้เดินเข้าไปเรื่อยจนลึกเข้าไปในเขากระดูกอสูร

แต่จู่ๆ พวกเขาทั้งหลายกลับสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงจากด้านหน้า

ซงหยูกล่าวขึ้น “มันกลับมีคนมาถึงก่อนเราเสียได้ หรือว่าคนพวกนี้เองก็จะคิดเช่นเดียวกับเรา คิดมาเอากระดูกจักรพรรดิกิเลน?”

เย่หยวนพยักหน้าออกมา “มันก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! เพราะในเมื่อมีคนนำข่าวกลับมาบอกเจียนซู่เทาได้ มันก็ย่อมจะมีคนนำข่าวกลับไปบอกเจ้าเมืองคนอื่นๆ ได้เช่นกัน มาเถอะ ไปดูกันเสียหน่อย”

คนทั้งหลายนั้นพลางฝีเท้าและค่อยๆ ย่องเข้าไปดูใกล้ๆ

เมื่อสายตาของพวกเขาเริ่มเห็นได้ก็พบว่าด้านหน้านั้นมีคนกลุ่มหนึ่งประมาณเจ็ดถึงแปดคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับพวกมารกระดูกอย่างยากลำบาก

สนามรบเทพโบราณนั้นมันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใดก็จะยิ่งเจอสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น

เขากระดูกอสูรนี้มันนับเป็นหนึ่งในสถานที่สุดแสนอันตรายในสนามรบเทพโบราณและพลังของเจ้ามารกระดูกทั้งหลายนั้นบางตัวก็ถึงขั้นเทพถ่องแท้สี่ดาว ส่วนตัวที่เหลืออยู่ในระดับเทพถ่องแท้สามดาว

แต่ทว่าในหมู่คนทั้งเจ็ดแปดคนนั้นมันกลับมีเทพถ่องแท้สี่ดาวอยู่ถึงสองคนด้วยกันทำให้เย่หยวนตื่นตะลึงไม่น้อย

“มันคือซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนนี่เอง! พวกมัน… กลับบรรลุขึ้นมาได้เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวไปได้!” ซงหยูร้องบอกอย่างตื่นตกใจ

เย่หยวนพยักหน้ารับ “พวกเขานั้นมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ หากได้สมบัติใดๆ ในสนามรบเทพโบราณไปแล้วการจะขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก”

ซงหยูพยักหน้ารับ แต่ในใจของเขานั้นกลับรู้สึกถึงโชคที่ตนได้ขึ้นมา

หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนแล้วด้วยรัศมีจักรพรรดิของเขาเดิมๆ นี้มันคงไม่มีทางบรรลุขึ้นมาสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวด้วยเวลาสั้นๆ แค่นี้แน่!

และในความเป็นจริงเขาอาจจะตายลงด้วยมือของหลิวยี่เสียด้วยซ้ำ

คิดมาได้ถึงตรงนี้ซงหยูก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณเย่หยวนมากขึ้น

“แปลก เหตุใดข้าถึงรู้สึกได้ว่าเหล่ามารกระดูกนั้นมันบ้าคลั่งกัน?” หูเฟยถามขึ้น

นั่นทำให้เย่หยวนต้องหรี่ตามองดูภาพตรงหน้าและก็ได้พบว่ามันดูเป็นเช่นนั้นจริง

เหล่ามารกระดูกทั้งหลายนี้มันมีแรงพลังที่ล้นเหลือไม่แตกต่างจากเหล่าผู้คนที่มันสู้อยู่ การโจมตีแต่ละครั้งนั้นหมายมุ่งเข้าสู่จุดตาย

นั่นทำให้พวกเขาทั้งหลายต้องร้องขึ้นพร้อมๆ กัน “มีสมบัติ!”

เย่หยวนนั้นมองดูอยู่ห่างๆ พร้อมทำสัญญาณมือบอกซงหยู “มากัน เราจะอ้อมไป!”

เพราะตอนนี้เหล่ามารกระดูกทั้งหลายได้ติดตามพวกซัวโม่ออกไปจนไกลลิบ

เย่หยวนจึงได้พากลุ่มของตนเดินทางอ้อมมาจนไม่นานนักก็พบเจ้ากับถ้ำหนึ่ง

ภายในถ้ำนั้นมันดำมืดพร้อมด้วยจุดแสงน้อยๆ ที่สาดส่องออกมา

“เข้าไปดูกัน”

เย่หยวนพาทุกคนเดินเข้ามาในถ้ำอย่างระมัดระวัง

เมื่อคนทั้งหลายนั้นเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ แสงจุดน้อยนั้นมันก็ค่อยสว่างขึ้นและสว่างขึ้นจนทำให้ทุกผู้คนต้องใจสั่นระรัว รู้ทันทีว่าสมบัติคงอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

เนื่องจากพวกซัวโม่ได้ต่อสู้ลากพวกมารกระดูกออกไปไกล ทำให้ภายในถ้ำตอนนี้มันว่างเปล่าไม่มีอันตรายใดๆ

ตอนนั้นเองที่ในที่สุดจุดแสงนั้นมันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เย่หยวนต้องเบิกตากว้างมองดู “นี่มัน… เศษซากของเทพสวรรค์!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1978 เศษซากของเทพสวรรค์

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1978 เศษซากของเทพสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“น่าเกรงขามแท้! พี่เย่กลับกลืนโอสถลงไปถึงสองเม็ดด้วยกัน เขาไม่กลัวว่าร่างกายจะแตกระเบิดออกมาหรือ?” กั๋วจิงหยางบอก

“หึ พี่เย่นั้นช่างเก่งกล้า ตัวเขานั้นแตกต่างจากผู้อื่นตั้งแต่หัวจรดเท้า วางใจเถิด ตัวเขาเองก็มิใช่คนโง่ มีหรือที่จะมาตายลงเช่นนี้? แต่การที่เขากล้ากินโอสถลมหายใจลับสวรรค์ลงไปถึงสองเม็ด มันย่อมจะหมายความว่าเขามีวรยุทธ์บ่มเพาะที่เหนือล้ำผู้คนแล้ว!” ซงหยูมองดูเย่หยวนก่อนจะบอกขึ้น

“เรานั้นกลืนโอสถลมหายใจลับสวรรค์ไปหนึ่งเม็ดยังพอที่จะบรรลุดาวขึ้นมาง่ายๆ ดูท่าพี่เย่ที่กินไปถึงสองเม็ดนี้คงขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาวได้แน่แล้วใช่หรือไม่?” หูเฟยบอก

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ส่งเสียงสนับสนุนออกมา

เพราะฤทธิ์ของโอสถนี้มันสุดแสนจะเลิศล้ำ ด้วยพรสวรรค์ของเย่หยวนแล้วการจะบรรลุสองดาวขึ้นมามันจึงมิใช่เรื่องแปลกใดๆ

แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ได้ขึ้นมาเป็นเทพถ่องแท้สามดาวอย่างที่พวกเขาทั้งหลายหวัง

เพราะเมื่อเย่หยวนทำการบรรลุคอขวดขึ้นมาได้ สุดท้ายเขาก็ยังมาอยู่ที่เทพถ่องแท้สองดาว

โอสถลมหายใจลับสวรรค์ถึงสองเม็ดกลับทำให้บรรลุขึ้นมาได้แค่หนึ่งดาว หยุดแค่ที่เทพถ่องแท้สองดาว?

“พี่เย่ นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?” ซงหยูถามด้วยความสงสัย

เย่หยวนยิ้มตอบกลับมา “วรยุทธ์บ่มเพาะของข้านั้นมันแตกต่างจากผู้คนไม่น้อย พลังวิญญาณที่ข้าต้องการในการบรรลุแต่ละขั้นนั้นมันมากล้ำด้วยโอสถลมหายใจลับสวรรค์สองเม็ดนี้มันจึงทำได้แค่ส่งข้าขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สองดาว”

คนทั้งหลายได้แต่หันหน้ามองกันอย่างตื่นตะลึง

วรยุทธ์บ่มเพาะเช่นนี้มันจะแปลกประหลาดจนเกินไปหรือไม่?

แต่จู่ๆ เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาคารวะคนทั้งหลายและกล่าวบอก “เอาล่ะ พี่น้องทั้งหลาย ข้าขอตัวก่อน”

ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้นเล่าพี่เย่? หรือว่าเราไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ?”

“ใช่แล้วพี่เย่ หากท่านคิดว่าสมบัติที่เราได้มันมากเกินไป เจ้าจะปรับการแบ่งสมบัติใหม่มันก็ย่อมได้” กั๋วจิงหยางบอกอย่างไม่คิดลังเล

เย่หยวนจึงยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธ “พวกเจ้าก็คิดกันมากไป มันเพียงแค่ว่าสถานที่ที่เย่คนนี้คิดจะเดินทางไปต่อนั้นมันสุดแสนอันตราย แม้แต่ตัวข้าเองก็อาจจะยังเอาไม่รอด ข้าจึงไม่ได้คิดจะลากพวกเจ้าทุกคนไปด้วย”

เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที

พวกเขานั้นย่อมจะรู้ดีถึงพลังฝีมือของเย่หยวนและตอนนี้ตัวเขายังเพิ่งบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สองดาวมาด้วย แต่ตัวเขาผู้นี้กลับบอกว่าไม่แน่ใจว่าจะเอาตัวรอด มันย่อมบ่งบอกได้อย่างดีว่าสถานที่แห่งนั้นมันอันตรายมากมายเพียงใด

หูเฟยรีบพูดขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วข้าหูเฟยผู้นี้ย่อมจะต้องไปด้วย! ชีวิตนี้ข้าได้ถูกเจ้าช่วยไว้ ทั้งยังได้รับโอสถลมหายใจลับสวรรค์จากเจ้ามา หากหูผู้นี้ไม่กล้าไปเพราะความกลัวแล้วมันก็คงไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉาน”

คำพูดของหูเฟยนี้มันทำให้ทุกผู้คนสั่นสะท้านไปทั้งใจ

ซงหยูพูดตามขึ้น “พี่เย่ เจ้าบอกเช่นนี้มันย่อมเหมือนไม่ได้มองเราเป็นพี่น้องอย่างแท้จริง! เรานั้นจะมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านไปด้วยกัน! ไม่ว่าที่แห่งนั้นมันจะสุดแสนอันตรายเพียงใด ข้าก็จะตามไปช่วยเหลือเจ้า!”

กั๋วจิงหยางและหม่าฉางเองก็ยืนยันคำออกมาว่าจะติดตามเย่หยวนไป

เย่หยวนนั้นรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเขาจึงพยักหน้าออกมา “เอาล่ะ เมื่อพวกเจ้าคิดจะไป ข้าก็ย่อมจะไม่ห้าม ไปกันเถอะ!”

เมื่อเห็นเถ้ากระดูกกระจายอยู่ทั่วบริเวณตรงหน้าซงหยูก็กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าซีดๆ “พี่เย่ ที่แท้เจ้าคิดจะมายังเขากระดูกอสูรนี่เอง!”

เขากระดูกอสูรนั้นมันคือสถานที่ที่นับได้ว่าสุดแสนอันตรายในสนามรบเทพโบราณนี้

เหล่าเด็กแห่งโชคชะตามากมายที่เข้ามาในสนามรบเทพโบราณนี้ตราบเท่าที่พวกเขาคิดก้าวเท้าเข้าไปในเขากระดูกอสูรแล้ว โอกาสที่จะรอดกลับไปได้มันก็สุดที่ที่จะต่ำตม

เมื่อคนทั้งหลายนั้นได้เห็นกระดูกสีขาวๆ นั้นพวกเขาต่างก็ขนลุกซ่านไปตามๆ กัน

เย่หยวนพยักหน้ารับ “เย่ผู้นี้ติดค้างเจียนซู่เทาเอาไว้ ทำให้เขาส่งข้าเข้าสนามรบเทพโบราณนี้มาเพื่อเอาสิ่งของหนึ่ง และมันก็อยู่ในเขากระดูกอสูรแห่งนี้”

“เจียนซู่เทา? ท่านเจ้าเมือง? เขา… เขาไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเจ้าหรอกหรือ?” ซงหยูบอก

เย่หยวนนั้นได้แต่ตอบกลับไปอย่างปวดหัว “เจ้าเฒ่าคนนั้นมันไร้ความจริงใจ ข้าก็ถูกใช้มาอย่างไม่เต็มใจนัก พวกเจ้าทั้งหลายลองคิดดูดีๆ อีกทีเถอะ ตอนนี้กลับหลังไปยังทัน หากพวกเจ้าเข้าเขากระดูกอสูรไปแล้วมันคงไม่อาจถอยหลังได้อีกต่อไป”

ซงหยูตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “พี่เย่ เจ้าพูดอะไรออกมา? มีหรือที่ข้าซงหยูจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวกลัวความตาย?”

คำพูดนี้ของซงหยูมันทำให้เย่หยวนตื่นตะลึงอย่างมาก

เพราะภาพลักษณ์ของซงหยูที่เขามีแต่เดิมนั้นมันไม่ค่อยจะดีนัก ไม่นึกไม่ฝันว่าเมื่อได้ผ่านความยากลำบากด้วยกันมาแล้วตัวเขากลับจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

รู้ทั้งรู้ว่าขุนเขาตรงหน้ามีอันตรายแต่ก็ยังจะกล้าเดินฝ่าเข้าไป เรื่องนี้มันมิใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถทำได้

ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่มันคงแค่เคยชินกับคำชมจึงทำให้เย่อหยิ่ง จิตใจที่แท้จริงนั้นไม่ได้เลวร้ายเลย

“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราก็มาบุกถ้ำเสือไปด้วยกันเถอะ!” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเข้ามาถึงเขากระดูกอสูรเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขาได้หลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

ภายในของเขากระดูกอสูรนั้นมันมีคลื่นพลังอันรุนแรงแผ่กระจายออกมาทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก

เย่หยวนลองคิดวิเคราะห์ดู หรือว่ามันจะเป็นกระดูกจักรพรรดิกิเลน?

เหล่าผู้คนทั้งหลายได้เดินเข้าไปเรื่อยจนลึกเข้าไปในเขากระดูกอสูร

แต่จู่ๆ พวกเขาทั้งหลายกลับสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงจากด้านหน้า

ซงหยูกล่าวขึ้น “มันกลับมีคนมาถึงก่อนเราเสียได้ หรือว่าคนพวกนี้เองก็จะคิดเช่นเดียวกับเรา คิดมาเอากระดูกจักรพรรดิกิเลน?”

เย่หยวนพยักหน้าออกมา “มันก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! เพราะในเมื่อมีคนนำข่าวกลับมาบอกเจียนซู่เทาได้ มันก็ย่อมจะมีคนนำข่าวกลับไปบอกเจ้าเมืองคนอื่นๆ ได้เช่นกัน มาเถอะ ไปดูกันเสียหน่อย”

คนทั้งหลายนั้นพลางฝีเท้าและค่อยๆ ย่องเข้าไปดูใกล้ๆ

เมื่อสายตาของพวกเขาเริ่มเห็นได้ก็พบว่าด้านหน้านั้นมีคนกลุ่มหนึ่งประมาณเจ็ดถึงแปดคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับพวกมารกระดูกอย่างยากลำบาก

สนามรบเทพโบราณนั้นมันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใดก็จะยิ่งเจอสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น

เขากระดูกอสูรนี้มันนับเป็นหนึ่งในสถานที่สุดแสนอันตรายในสนามรบเทพโบราณและพลังของเจ้ามารกระดูกทั้งหลายนั้นบางตัวก็ถึงขั้นเทพถ่องแท้สี่ดาว ส่วนตัวที่เหลืออยู่ในระดับเทพถ่องแท้สามดาว

แต่ทว่าในหมู่คนทั้งเจ็ดแปดคนนั้นมันกลับมีเทพถ่องแท้สี่ดาวอยู่ถึงสองคนด้วยกันทำให้เย่หยวนตื่นตะลึงไม่น้อย

“มันคือซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนนี่เอง! พวกมัน… กลับบรรลุขึ้นมาได้เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวไปได้!” ซงหยูร้องบอกอย่างตื่นตกใจ

เย่หยวนพยักหน้ารับ “พวกเขานั้นมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ หากได้สมบัติใดๆ ในสนามรบเทพโบราณไปแล้วการจะขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก”

ซงหยูพยักหน้ารับ แต่ในใจของเขานั้นกลับรู้สึกถึงโชคที่ตนได้ขึ้นมา

หากไม่ใช่เพราะเย่หยวนแล้วด้วยรัศมีจักรพรรดิของเขาเดิมๆ นี้มันคงไม่มีทางบรรลุขึ้นมาสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวด้วยเวลาสั้นๆ แค่นี้แน่!

และในความเป็นจริงเขาอาจจะตายลงด้วยมือของหลิวยี่เสียด้วยซ้ำ

คิดมาได้ถึงตรงนี้ซงหยูก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณเย่หยวนมากขึ้น

“แปลก เหตุใดข้าถึงรู้สึกได้ว่าเหล่ามารกระดูกนั้นมันบ้าคลั่งกัน?” หูเฟยถามขึ้น

นั่นทำให้เย่หยวนต้องหรี่ตามองดูภาพตรงหน้าและก็ได้พบว่ามันดูเป็นเช่นนั้นจริง

เหล่ามารกระดูกทั้งหลายนี้มันมีแรงพลังที่ล้นเหลือไม่แตกต่างจากเหล่าผู้คนที่มันสู้อยู่ การโจมตีแต่ละครั้งนั้นหมายมุ่งเข้าสู่จุดตาย

นั่นทำให้พวกเขาทั้งหลายต้องร้องขึ้นพร้อมๆ กัน “มีสมบัติ!”

เย่หยวนนั้นมองดูอยู่ห่างๆ พร้อมทำสัญญาณมือบอกซงหยู “มากัน เราจะอ้อมไป!”

เพราะตอนนี้เหล่ามารกระดูกทั้งหลายได้ติดตามพวกซัวโม่ออกไปจนไกลลิบ

เย่หยวนจึงได้พากลุ่มของตนเดินทางอ้อมมาจนไม่นานนักก็พบเจ้ากับถ้ำหนึ่ง

ภายในถ้ำนั้นมันดำมืดพร้อมด้วยจุดแสงน้อยๆ ที่สาดส่องออกมา

“เข้าไปดูกัน”

เย่หยวนพาทุกคนเดินเข้ามาในถ้ำอย่างระมัดระวัง

เมื่อคนทั้งหลายนั้นเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ แสงจุดน้อยนั้นมันก็ค่อยสว่างขึ้นและสว่างขึ้นจนทำให้ทุกผู้คนต้องใจสั่นระรัว รู้ทันทีว่าสมบัติคงอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

เนื่องจากพวกซัวโม่ได้ต่อสู้ลากพวกมารกระดูกออกไปไกล ทำให้ภายในถ้ำตอนนี้มันว่างเปล่าไม่มีอันตรายใดๆ

ตอนนั้นเองที่ในที่สุดจุดแสงนั้นมันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เย่หยวนต้องเบิกตากว้างมองดู “นี่มัน… เศษซากของเทพสวรรค์!”

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+