Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1985 เชือดไก่ให้ลิงดู

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1985 เชือดไก่ให้ลิงดู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเวลานี้ความเงียบงันเข้าปกคลุมทุกหย่อมหญ้าทางพวกซัวโม่ทั้งหลายนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด

พลังนี้ของเย่หยวนมันเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาคาดคิดไปอย่างมากมาย

ดาบเมื่อสักครู่นี้มันอาจจะไม่อาจสังหารฆ่าเทพถ่องแท้ห้าดาวลงได้ แต่หากเป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวแล้วคงไม่มีโอกาสจะหลบรอดจากมันได้แน่

แล้วพวกเขาทั้งหลายนี้มีใครบ้างที่จะเทียบเคียงกับเย่หยวนได้?

“เรื่องนี้… พี่เย่ มันเป็นการเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น เรื่องนี้มันมีแต่ความเข้าใจผิด” เฟิงเสี่ยวเถียนพยายามพูดแก้ตัว

“ใช่ๆ! มันล้วนเป็นความเข้าใจผิดกัน!”

“พี่เย่นั้นมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ขออย่าได้มาคิดแค้นเอาเรื่องกับขยะอย่างพวกเราเลย”

ด้วยการนำของเฟิงเสี่ยวเถียนมันจึงทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มร้องกล่าวขอโทษออกมาอย่างไม่ขาดสาย

พวกเขาทั้งหลายนั้นหวาดกลัวในดาบนี้ของเย่หยวนอย่างมาก มีหรือที่จะยังกล้าคิดขัดขืนเย่หยวนใด?

เย่หยวนนั้นหันไปมองหน้าพวกเขาทั้งหลายด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “เข้าใจผิด? ที่พวกเจ้าทั้งชักดาบคิดฆ่าสังหารพวกซงหยูเองก็เป็นความเข้าใจผิด?”

เฟิงเสี่ยวเถียนนั้นได้แต่ตอบออกมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เรื่องนั้น… เรื่องนั้นมันเป็นเพราะซัวโม่ มันเป็นเพราะเขานั้นชังหน้าพี่เย่ทำให้เขาคิดล่อลวงใช้งานพวกเรา!”

ซัวโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น “เฟิงเสี่ยวเถียน เจ้า!”

เฟิงเสี่ยวเถียนหัวเราะขึ้น “ข้าก็บอกเจ้าไปตั้งนานแสนนานแล้วว่าอย่าได้ไปหาเรื่องพี่เย่เขา พรสวรรค์ความสามารถของเขานั้นมันมิใช่สิ่งที่เจ้าจะเทียบเคียงได้!”

‘อ่อก!’

ความเจ็บแค้นในใจของซัวโม่มันทำให้เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะหันไปมองเฟิงเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าฆ่าสังหารซัวโม่ให้ข้าดูแล้วข้าจะไม่ถือโทษเจ้า”

เฟิงเสี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปไม่น้อยแต่ไม่นานดวงตาของเขานั้นก็แสดงแววของความชั่วร้ายออกมาก่อนจะกัดฟันตอบ “ได้!”

ซัวโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างโกรธแค้น “เฟิงเสี่ยวเถียน เจ้ากล้า!”

เฟิงเสี่ยวเถียนยิ้ม “ขอโทษทีเถอะนะพี่ซัว! หากคิดอยากโทษใครก็ไปโทษตัวเองที่ไปท้าทายพี่เย่เถอะ”

‘ฟุบ!’

ดาบนั้นถูกฟาดออกในพริบตา ตัวของซัวโม่ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในตอนนี้แค่จะขยับนิ้วมือยังทำไม่ได้ มีหรือที่จะรับดาบนี้ไว้ได้?

แค่ดาบเดียวนี้หัวของซัวโม่ก็ขาดกระเด็นไป ตายอย่างเด็ดขาดและแน่นอน

ยอดอัจฉริยะผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิกลับต้องตายลงง่ายๆ เช่นนี้

เมื่อซงหยูเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกโล่งขึ้นมาในหัวใจ

เพราะก่อนหน้าตอนที่ซัวโม่ปล่อยยอดตะวันล้างออกมาเขานั้นคิดไปเสียแล้วว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน

แม้ว่าสุดท้ายเย่หยวนจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทันแต่ความรู้สึกอันหวาดกลัวสิ้นหลังนั้นมันก็ยังคงฝังตัวลึกอยู่ในจิตใจทำให้ความแค้นของเขายังคงร้อนรุ่ม

เขานั้นไม่ค่อยเข้าใจอยู่แค่เรื่องที่ว่าเหตุใดเย่หยวนจึงไม่ลงมือด้วยตนเองและปล่อยให้คนอื่นเข้ามาจัดการแทน

ด้วยพลังของเย่หยวนการจะฆ่าสังหารเฟิงเสี่ยวเถียนไปด้วยอีกคนมันคงมิใช่เรื่องยาก

มีหรือที่เขาจะรู้ได้ว่าตอนนี้เย่หยวนไม่อาจจะใช้ดาบนั้นออกมาได้อีกครั้ง?

ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เย่หยวนพุ่งตัวกลับมาเขาได้กลืนกินโอสถฟื้นปราณเทวะไปมากมายและตอนนี้ปราณเทวะของเหือดแห้งของเขามันก็กำลังฟื้นฟูอย่างบ้าคลั่ง

และด้วยพลังของเกราะศึกรุ้งเขียวนี้มันทำให้คนภายนอกไม่อาจสัมผัสได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในร่างของเขาเลย

ตอนนี้ปราณเทวะของเขานั้นแทบจะไม่มีเหลือ แต่คนภายนอกลับไม่อาจสัมผัสถึงมันได้

เหตุผลที่เขาคิดทำเช่นนี้เองก็เพื่อคิดจะซื้อเวลานั่นเอง

แต่ซงหยูนั้นมีความเชื่อใจต่อเย่หยวนอย่างหนักแน่น แม้ตัวเขาจะสงสัยเท่าใดเขาก็ไม่คิดจะเปิดปากถามออกมา

เมื่อสังหารซัวโม่ลงแล้วเฟิงเสี่ยวเถียนจังหันมายิ้มถามเย่หยวน “พี่เย่พอใจหรือไม่?”

เย่หยวนพยักหน้า “อย่างน้อยเจ้าก็ยังพอจริงใจอยู่บ้าง เรื่องราววันนี้จบลงกันเท่านี้”

เฟิงเสี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “พี่เย่ เจ้ากระดูกจักรพรรดินี้มันสามารถสร้างมารกระดูกได้มากมาย เราจะทำอย่างไรกับมันดี?”

เย่หยวนหลับตาลงก่อนจะตอบกลับไป “รอ!”

“รอ?” เฟิงเสี่ยวเถียนถามขึ้น

เย่หยวนหันไปมอง “ผู้คนที่หมายตากระดูกจักรพรรดินั้นไว้มันคงไม่ได้มีแค่พวกเราทั้งหลายนี้ รอให้ผู้คนทั้งหลายมาถึงกันก่อนแล้วเราค่อยรวมกำลังกันบุกเข้าไป ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะได้กระดูกจักรพรรดิไปถึงเวลานั้นมันคงต้องขึ้นอยู่กับฝีมือแล้ว”

ในเรื่องนี้เฟิงเสี่ยวเถียนย่อมไม่คิดจะเถียงสิ่งใด กลับออกไป เขานั้นได้แต่หัวเราะรับคำและถอยหลังกลับไป

และเรื่องราวมันก็เป็นไปดั่งที่เย่หยวนคาด เพราะในเวลาครึ่งเดือนหลังจากนั้นเหล่าผู้คนที่มาถึงเขากระดูกอสูรนี้มันก็มีมากมาย

ซงหยูที่รอคอยอยู่กับเย่หยวนจึงได้รับรู้ว่าคนที่โชคดีนั้นไม่ได้มีแค่ตัวพวกเขาเท่านั้น

เพราะเหล่าคนอื่นๆ เองก็ได้บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวกันไม่น้อย

ตอนนี้มันมีถึงขั้นคนที่บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวขั้นสุด ห่างจากเทพถ่องแท้ห้าวดาวเพียงแค่ก้าวเดียว

แม้ว่าบางผู้คนจะไม่ได้พัฒนาพลังฝีมือไปมากมายแต่พวกเขาทั้งหลายเองก็คงได้รับสมบัติใดๆ ติดมือมาบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาทั้งหลายคงไม่มีใครกล้าย่างเท้าเข้ามายังเขากระดูกอสูรนี้

สมบัติที่ถูกทิ้งไว้ในสนามรบเทพโบราณนี้มันช่างมีมากมายเสียเหลือเกิน

แน่นอนว่ากลุ่มที่ออกเดินทางมาด้วยกันในคราแรกนั้นมันแตกแยกกันไปไม่น้อยแล้ว

ไม่ต้องไปถามก็พอรู้ได้ว่าเหล่าผู้อ่อนแอหลายต่อหลายคนนั้นคงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบเทพโบราณนี้ไปแล้ว

เพราะแม้แต่ยอดฝีมือรัศมีผ่าจักรพรรดิอย่างซัวโม่ยังตายลงได้ พวกที่มีแค่รัศมีจักรพรรดิมีหรือที่จะรอด?

เมื่อได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายจึงได้หยุดเท้าลง

ในเวลานี้ทางเลือกเดียวมันย่อมจะเป็นการรวมกลุ่มกันบุกเข้าไป

ทุกผู้คนนั้นต้องทำการร่วมมือผสานงานกันเท่านั้นจึงจะสามารถฝ่าฝูงมารกระดูกทั้งหลายนี้เข้าไปได้

แน่นอนว่ามันย่อมจะมีคนที่ไม่คิดเชื่อคำเตือนใดๆ และคิดว่าภัยตรงหน้าคงไม่ได้หนักหนาสาหัสมากถึงขั้นนั้น

และแน่นอนว่าผลลัพธ์นั้นมันคือความตายด้วยน้ำมือของเหล่ามารกระดูก

หลังผ่านไปได้ครบเดือนผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่มันก็มีห้าสิบถึงหกสิบคนแล้ว

คนทั้งห้าสิบหกสิบคนนี้ย่อมจะมีพลังฝีมือที่พัฒนาเหนือล้ำกว่าตอนที่เข้าสนามรบเทพโบราณมาแต่ทีแรกอย่างมาก

ในตอนนั้นเองที่ปรากฏชายหนุ่มในชุดสีฟ้าครามลุกขึ้นมาพูดต่อหน้าทุกผู้คน “ในสายตาของข้าแล้ว ข้าว่าคนที่คิดอยากได้กระดูกจักรพรรดิทั้งหลายก็คงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว ด้วยพลังของพวกเราร่วมกันมันย่อมมากพอจะฝ่าฝูงมารกระดูกไปได้ ทำไมพวกเราไม่เริ่มลงมือกันเสียตอนนี้เลยเล่า ทุกท่านว่าอย่างไร?”

ชายหนุ่มชุดสีครามคนนี้มีพลังมากถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวขั้นสุด นามโจวหยู

เดิมทีเขานั้นไม่ได้มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำใดๆ ในกลุ่มผู้คนที่มาถึง

แต่เวลาแค่ไม่กี่เดือนนี้เขากลับสามารถขึ้นมายืนอยู่ในจุดสูงสุดได้

โจวหยูนั้นใช้น้ำเสียงวางตัวเหนือผู้คน ดูท่าเขาคงได้วางตัวเองเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนทั้งหลายไปแล้ว

“หึ เจ้าคิดอยากไปเราก็จะไปหรือ? นายน้อยผู้นี้คิดจะไปหลังจากนี้สักหลายวันมิได้หรือ? เลิกวางท่าเสียทีเถอะ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครมาจากที่ไหนกัน?” ในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงดูหมิ่นหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่คิดไว้หน้าโจวหยูแม้แต่น้อย

แค่คำพูดเดียวนี้มันก็ทำให้คนทั้งหลายต้องหันกลับไปมอง

มีเรื่องสนุกแล้ว!

คนผู้นี้มีนามว่าหลี่ซิน เขาเองก็เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวเช่นกัน

ท่าทางของโจวหยูนี้ตัวเขาย่อมไม่คิดจะยอมรับ

เมื่อโจมหยูได้ยินเช่นนั้นตัวเขาก็หัวเราะขึ้น

‘ฟุบ!’

ร่างของเขาขยับด้วยความรวดเร็วอย่างที่ไม่อาจมองตามทัน

พร้อมๆ กันนั้นมันก็มีเสียงหอนเหมือนมีอะไรพุ่งผ่านอากาศ

หลี่ซินที่กล้าพูดเถียงขึ้นมาเช่นนี้ตัวเขาย่อมพร้อมที่จะรับมืออีกฝ่ายรีบยกดาบขึ้นมารับการโจมตีตรงหน้าไว้ทันที

‘เคร้ง!’

เสียปะทะดังขึ้นก่อนที่จะเห็นภาพดาบของหลี่ซินหักลง

พร้อมๆ กันกับหัวของเขาที่ถูกตีแตกราวกับเป็นลูกแตงโมชายหาด

ทุกผู้คนที่เห็นภาพนั้นแทบไม่กล้าหายใจ!

“กระบองนั่นมันสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!”

“ไม่เพียงเท่านั้น แต่พลังฝีมือของเขายังเหนือล้ำด้วย!”

“ดูท่าสมบัติที่โจวหยูผู้นี้ได้มามันจะมิใช่เล็กๆ น้อยๆ!”

รอบข้างในเวลานี้มันมีแต่เสียงชื่นชม ดูท่าพวกเขาคงจะตื่นเต้นตกใจกับวิชากระบองนี้อย่างมาก

หลี่ซินผู้นั้นย่อมจะต้องมีฝีมือพอตัวด้วยการที่เป็นถึงเทพถ่องแท้สี่ดาวโดยปกติย่อมจะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการลงได้ยากแน่

แต่ด้วยมือของโจวหยู หลี่ซินคนนั้นกลับตายลงอย่างไม่ทันได้ทำอะไร!

เย่หยวนเองก็ดูเรื่องราวนี้อยู่ไม่ห่างไปนัก เมื่อได้เห็นวิชากระบองนี้ตัวเขาเองก็ตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย

ฝีมือของโจวหยูคนนี้มันแข็งแกร่ง!

โจวหยูนั้นเก็บกระบองนั้นไปและหันกลับมาหาผู้คน “มีใครคิดค้านอีกหรือไม่?”

แล้วถึงเวลานี้จะยังมีใครกล้าค้านอีก?

ทุกผู้คนต่างค่อยๆ ลุกจากที่นั่งดูท่าคงได้เวลาเตรียมตัวบุกทัพมารกระดูกแล้ว

เพราะในช่วงหลายวันมานี้ผู้คนที่เดินทางมาถึงมันก็มีจำนวนน้อยลงและน้อยลง จะบอกว่ารอต่อไปมันก็คงไม่ได้กำลังเสริมใดๆ อีกแล้วก็คงไม่ผิดนัก

ตอนนี้นั่งรอต่อไปมันก็จะเสียเวลาเปล่า

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 1985 เชือดไก่ให้ลิงดู

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 1985 เชือดไก่ให้ลิงดู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเวลานี้ความเงียบงันเข้าปกคลุมทุกหย่อมหญ้าทางพวกซัวโม่ทั้งหลายนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด

พลังนี้ของเย่หยวนมันเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาคาดคิดไปอย่างมากมาย

ดาบเมื่อสักครู่นี้มันอาจจะไม่อาจสังหารฆ่าเทพถ่องแท้ห้าดาวลงได้ แต่หากเป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวแล้วคงไม่มีโอกาสจะหลบรอดจากมันได้แน่

แล้วพวกเขาทั้งหลายนี้มีใครบ้างที่จะเทียบเคียงกับเย่หยวนได้?

“เรื่องนี้… พี่เย่ มันเป็นการเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น เรื่องนี้มันมีแต่ความเข้าใจผิด” เฟิงเสี่ยวเถียนพยายามพูดแก้ตัว

“ใช่ๆ! มันล้วนเป็นความเข้าใจผิดกัน!”

“พี่เย่นั้นมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ขออย่าได้มาคิดแค้นเอาเรื่องกับขยะอย่างพวกเราเลย”

ด้วยการนำของเฟิงเสี่ยวเถียนมันจึงทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มร้องกล่าวขอโทษออกมาอย่างไม่ขาดสาย

พวกเขาทั้งหลายนั้นหวาดกลัวในดาบนี้ของเย่หยวนอย่างมาก มีหรือที่จะยังกล้าคิดขัดขืนเย่หยวนใด?

เย่หยวนนั้นหันไปมองหน้าพวกเขาทั้งหลายด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “เข้าใจผิด? ที่พวกเจ้าทั้งชักดาบคิดฆ่าสังหารพวกซงหยูเองก็เป็นความเข้าใจผิด?”

เฟิงเสี่ยวเถียนนั้นได้แต่ตอบออกมาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เรื่องนั้น… เรื่องนั้นมันเป็นเพราะซัวโม่ มันเป็นเพราะเขานั้นชังหน้าพี่เย่ทำให้เขาคิดล่อลวงใช้งานพวกเรา!”

ซัวโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น “เฟิงเสี่ยวเถียน เจ้า!”

เฟิงเสี่ยวเถียนหัวเราะขึ้น “ข้าก็บอกเจ้าไปตั้งนานแสนนานแล้วว่าอย่าได้ไปหาเรื่องพี่เย่เขา พรสวรรค์ความสามารถของเขานั้นมันมิใช่สิ่งที่เจ้าจะเทียบเคียงได้!”

‘อ่อก!’

ความเจ็บแค้นในใจของซัวโม่มันทำให้เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะหันไปมองเฟิงเสี่ยวเถียนด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าฆ่าสังหารซัวโม่ให้ข้าดูแล้วข้าจะไม่ถือโทษเจ้า”

เฟิงเสี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปไม่น้อยแต่ไม่นานดวงตาของเขานั้นก็แสดงแววของความชั่วร้ายออกมาก่อนจะกัดฟันตอบ “ได้!”

ซัวโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างโกรธแค้น “เฟิงเสี่ยวเถียน เจ้ากล้า!”

เฟิงเสี่ยวเถียนยิ้ม “ขอโทษทีเถอะนะพี่ซัว! หากคิดอยากโทษใครก็ไปโทษตัวเองที่ไปท้าทายพี่เย่เถอะ”

‘ฟุบ!’

ดาบนั้นถูกฟาดออกในพริบตา ตัวของซัวโม่ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในตอนนี้แค่จะขยับนิ้วมือยังทำไม่ได้ มีหรือที่จะรับดาบนี้ไว้ได้?

แค่ดาบเดียวนี้หัวของซัวโม่ก็ขาดกระเด็นไป ตายอย่างเด็ดขาดและแน่นอน

ยอดอัจฉริยะผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิกลับต้องตายลงง่ายๆ เช่นนี้

เมื่อซงหยูเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกโล่งขึ้นมาในหัวใจ

เพราะก่อนหน้าตอนที่ซัวโม่ปล่อยยอดตะวันล้างออกมาเขานั้นคิดไปเสียแล้วว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน

แม้ว่าสุดท้ายเย่หยวนจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทันแต่ความรู้สึกอันหวาดกลัวสิ้นหลังนั้นมันก็ยังคงฝังตัวลึกอยู่ในจิตใจทำให้ความแค้นของเขายังคงร้อนรุ่ม

เขานั้นไม่ค่อยเข้าใจอยู่แค่เรื่องที่ว่าเหตุใดเย่หยวนจึงไม่ลงมือด้วยตนเองและปล่อยให้คนอื่นเข้ามาจัดการแทน

ด้วยพลังของเย่หยวนการจะฆ่าสังหารเฟิงเสี่ยวเถียนไปด้วยอีกคนมันคงมิใช่เรื่องยาก

มีหรือที่เขาจะรู้ได้ว่าตอนนี้เย่หยวนไม่อาจจะใช้ดาบนั้นออกมาได้อีกครั้ง?

ก่อนหน้านี้ระหว่างที่เย่หยวนพุ่งตัวกลับมาเขาได้กลืนกินโอสถฟื้นปราณเทวะไปมากมายและตอนนี้ปราณเทวะของเหือดแห้งของเขามันก็กำลังฟื้นฟูอย่างบ้าคลั่ง

และด้วยพลังของเกราะศึกรุ้งเขียวนี้มันทำให้คนภายนอกไม่อาจสัมผัสได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในร่างของเขาเลย

ตอนนี้ปราณเทวะของเขานั้นแทบจะไม่มีเหลือ แต่คนภายนอกลับไม่อาจสัมผัสถึงมันได้

เหตุผลที่เขาคิดทำเช่นนี้เองก็เพื่อคิดจะซื้อเวลานั่นเอง

แต่ซงหยูนั้นมีความเชื่อใจต่อเย่หยวนอย่างหนักแน่น แม้ตัวเขาจะสงสัยเท่าใดเขาก็ไม่คิดจะเปิดปากถามออกมา

เมื่อสังหารซัวโม่ลงแล้วเฟิงเสี่ยวเถียนจังหันมายิ้มถามเย่หยวน “พี่เย่พอใจหรือไม่?”

เย่หยวนพยักหน้า “อย่างน้อยเจ้าก็ยังพอจริงใจอยู่บ้าง เรื่องราววันนี้จบลงกันเท่านี้”

เฟิงเสี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “พี่เย่ เจ้ากระดูกจักรพรรดินี้มันสามารถสร้างมารกระดูกได้มากมาย เราจะทำอย่างไรกับมันดี?”

เย่หยวนหลับตาลงก่อนจะตอบกลับไป “รอ!”

“รอ?” เฟิงเสี่ยวเถียนถามขึ้น

เย่หยวนหันไปมอง “ผู้คนที่หมายตากระดูกจักรพรรดินั้นไว้มันคงไม่ได้มีแค่พวกเราทั้งหลายนี้ รอให้ผู้คนทั้งหลายมาถึงกันก่อนแล้วเราค่อยรวมกำลังกันบุกเข้าไป ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะได้กระดูกจักรพรรดิไปถึงเวลานั้นมันคงต้องขึ้นอยู่กับฝีมือแล้ว”

ในเรื่องนี้เฟิงเสี่ยวเถียนย่อมไม่คิดจะเถียงสิ่งใด กลับออกไป เขานั้นได้แต่หัวเราะรับคำและถอยหลังกลับไป

และเรื่องราวมันก็เป็นไปดั่งที่เย่หยวนคาด เพราะในเวลาครึ่งเดือนหลังจากนั้นเหล่าผู้คนที่มาถึงเขากระดูกอสูรนี้มันก็มีมากมาย

ซงหยูที่รอคอยอยู่กับเย่หยวนจึงได้รับรู้ว่าคนที่โชคดีนั้นไม่ได้มีแค่ตัวพวกเขาเท่านั้น

เพราะเหล่าคนอื่นๆ เองก็ได้บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวกันไม่น้อย

ตอนนี้มันมีถึงขั้นคนที่บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวขั้นสุด ห่างจากเทพถ่องแท้ห้าวดาวเพียงแค่ก้าวเดียว

แม้ว่าบางผู้คนจะไม่ได้พัฒนาพลังฝีมือไปมากมายแต่พวกเขาทั้งหลายเองก็คงได้รับสมบัติใดๆ ติดมือมาบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาทั้งหลายคงไม่มีใครกล้าย่างเท้าเข้ามายังเขากระดูกอสูรนี้

สมบัติที่ถูกทิ้งไว้ในสนามรบเทพโบราณนี้มันช่างมีมากมายเสียเหลือเกิน

แน่นอนว่ากลุ่มที่ออกเดินทางมาด้วยกันในคราแรกนั้นมันแตกแยกกันไปไม่น้อยแล้ว

ไม่ต้องไปถามก็พอรู้ได้ว่าเหล่าผู้อ่อนแอหลายต่อหลายคนนั้นคงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสนามรบเทพโบราณนี้ไปแล้ว

เพราะแม้แต่ยอดฝีมือรัศมีผ่าจักรพรรดิอย่างซัวโม่ยังตายลงได้ พวกที่มีแค่รัศมีจักรพรรดิมีหรือที่จะรอด?

เมื่อได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายจึงได้หยุดเท้าลง

ในเวลานี้ทางเลือกเดียวมันย่อมจะเป็นการรวมกลุ่มกันบุกเข้าไป

ทุกผู้คนนั้นต้องทำการร่วมมือผสานงานกันเท่านั้นจึงจะสามารถฝ่าฝูงมารกระดูกทั้งหลายนี้เข้าไปได้

แน่นอนว่ามันย่อมจะมีคนที่ไม่คิดเชื่อคำเตือนใดๆ และคิดว่าภัยตรงหน้าคงไม่ได้หนักหนาสาหัสมากถึงขั้นนั้น

และแน่นอนว่าผลลัพธ์นั้นมันคือความตายด้วยน้ำมือของเหล่ามารกระดูก

หลังผ่านไปได้ครบเดือนผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่มันก็มีห้าสิบถึงหกสิบคนแล้ว

คนทั้งห้าสิบหกสิบคนนี้ย่อมจะมีพลังฝีมือที่พัฒนาเหนือล้ำกว่าตอนที่เข้าสนามรบเทพโบราณมาแต่ทีแรกอย่างมาก

ในตอนนั้นเองที่ปรากฏชายหนุ่มในชุดสีฟ้าครามลุกขึ้นมาพูดต่อหน้าทุกผู้คน “ในสายตาของข้าแล้ว ข้าว่าคนที่คิดอยากได้กระดูกจักรพรรดิทั้งหลายก็คงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว ด้วยพลังของพวกเราร่วมกันมันย่อมมากพอจะฝ่าฝูงมารกระดูกไปได้ ทำไมพวกเราไม่เริ่มลงมือกันเสียตอนนี้เลยเล่า ทุกท่านว่าอย่างไร?”

ชายหนุ่มชุดสีครามคนนี้มีพลังมากถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวขั้นสุด นามโจวหยู

เดิมทีเขานั้นไม่ได้มีพลังฝีมือที่เหนือล้ำใดๆ ในกลุ่มผู้คนที่มาถึง

แต่เวลาแค่ไม่กี่เดือนนี้เขากลับสามารถขึ้นมายืนอยู่ในจุดสูงสุดได้

โจวหยูนั้นใช้น้ำเสียงวางตัวเหนือผู้คน ดูท่าเขาคงได้วางตัวเองเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนทั้งหลายไปแล้ว

“หึ เจ้าคิดอยากไปเราก็จะไปหรือ? นายน้อยผู้นี้คิดจะไปหลังจากนี้สักหลายวันมิได้หรือ? เลิกวางท่าเสียทีเถอะ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครมาจากที่ไหนกัน?” ในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงดูหมิ่นหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่คิดไว้หน้าโจวหยูแม้แต่น้อย

แค่คำพูดเดียวนี้มันก็ทำให้คนทั้งหลายต้องหันกลับไปมอง

มีเรื่องสนุกแล้ว!

คนผู้นี้มีนามว่าหลี่ซิน เขาเองก็เป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวเช่นกัน

ท่าทางของโจวหยูนี้ตัวเขาย่อมไม่คิดจะยอมรับ

เมื่อโจมหยูได้ยินเช่นนั้นตัวเขาก็หัวเราะขึ้น

‘ฟุบ!’

ร่างของเขาขยับด้วยความรวดเร็วอย่างที่ไม่อาจมองตามทัน

พร้อมๆ กันนั้นมันก็มีเสียงหอนเหมือนมีอะไรพุ่งผ่านอากาศ

หลี่ซินที่กล้าพูดเถียงขึ้นมาเช่นนี้ตัวเขาย่อมพร้อมที่จะรับมืออีกฝ่ายรีบยกดาบขึ้นมารับการโจมตีตรงหน้าไว้ทันที

‘เคร้ง!’

เสียปะทะดังขึ้นก่อนที่จะเห็นภาพดาบของหลี่ซินหักลง

พร้อมๆ กันกับหัวของเขาที่ถูกตีแตกราวกับเป็นลูกแตงโมชายหาด

ทุกผู้คนที่เห็นภาพนั้นแทบไม่กล้าหายใจ!

“กระบองนั่นมันสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!”

“ไม่เพียงเท่านั้น แต่พลังฝีมือของเขายังเหนือล้ำด้วย!”

“ดูท่าสมบัติที่โจวหยูผู้นี้ได้มามันจะมิใช่เล็กๆ น้อยๆ!”

รอบข้างในเวลานี้มันมีแต่เสียงชื่นชม ดูท่าพวกเขาคงจะตื่นเต้นตกใจกับวิชากระบองนี้อย่างมาก

หลี่ซินผู้นั้นย่อมจะต้องมีฝีมือพอตัวด้วยการที่เป็นถึงเทพถ่องแท้สี่ดาวโดยปกติย่อมจะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่จัดการลงได้ยากแน่

แต่ด้วยมือของโจวหยู หลี่ซินคนนั้นกลับตายลงอย่างไม่ทันได้ทำอะไร!

เย่หยวนเองก็ดูเรื่องราวนี้อยู่ไม่ห่างไปนัก เมื่อได้เห็นวิชากระบองนี้ตัวเขาเองก็ตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย

ฝีมือของโจวหยูคนนี้มันแข็งแกร่ง!

โจวหยูนั้นเก็บกระบองนั้นไปและหันกลับมาหาผู้คน “มีใครคิดค้านอีกหรือไม่?”

แล้วถึงเวลานี้จะยังมีใครกล้าค้านอีก?

ทุกผู้คนต่างค่อยๆ ลุกจากที่นั่งดูท่าคงได้เวลาเตรียมตัวบุกทัพมารกระดูกแล้ว

เพราะในช่วงหลายวันมานี้ผู้คนที่เดินทางมาถึงมันก็มีจำนวนน้อยลงและน้อยลง จะบอกว่ารอต่อไปมันก็คงไม่ได้กำลังเสริมใดๆ อีกแล้วก็คงไม่ผิดนัก

ตอนนี้นั่งรอต่อไปมันก็จะเสียเวลาเปล่า

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+