Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2017 กลัวว่าเจ้าจะกลัว

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2017 กลัวว่าเจ้าจะกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เบื้องหน้าของพวกเขาในเวลานี้มันคือชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งผู้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์แปดดาว

ที่ด้านข้างของเขานั้นตามมาด้วยสาวน้อยนางหนึ่งและดูแล้วอายุของทั้งสองใกล้เคียงกันมากเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นคู่หมั้นคู่หมาย

แต่ที่ด้านหลังของคนทั้งสองนั้นมีผู้ติดตามอาณาจักรเทพถ่องแท้อยู่ ดูท่าคงมิใช่คงธรรมดาๆ แน่

สาวน้อยผู้นั้นเป็นผู้พูดขึ้นมาต่อ “ช่างหน้าไม่อาย ข้าไม่เคยเห็นใครอวดอ้างว่าตนเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งมาก่อนเลย! แม้แต่พี่เฉียนเองที่เป็นถึงยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลเจิ้งก็ยังไม่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งเหนือใคร เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบอะไรกลับไปได้ ตัวเขาไปพูดบอกว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่ตอนไหนกัน?

คำพูดทั้งหลายนั้นคนพูดคือหนิงซืออวี๋มิใช่หรือ?

นางคนนี้มันรู้วิธีหาเรื่องมาให้ตัวเขาจริงๆ!

เมื่อหนิงซืออวี๋ได้ยินเช่นนั้นนางก็อดทนไม่ได้เช่นกัน

“ตระกูลเจิ้งบ้าบอใดกัน? ยอดอัจฉริยะของตระกูลเจิ้ง? หึๆ! อย่าว่าแต่อัจฉริยะตระกูลเจิ้งเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสผู้เฒ่าจากตระกูลเจิ้งเจ้ามามันก็ไม่อาจเทียบเคียงนายท่านของข้าได้แม้แต่น้อย!”

เจิ้งเฉียนนั้นยังเป็นหนุ่มน้อยอายุไม่มาก มีหรือที่ได้ยินเช่นนั้นแล้วเขาจะยังทนรับไหว? เขาจึงได้ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าชั่วร้ายทันที “ช่างเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่เสียจริงๆ! ในแดนใต้นี้มีแค่ไม่กี่ผู้คนหรอกนะที่กล้าจะพูดจาแบบนี้ต่อหน้าตระกูลเจิ้งแห่งป่าโพ้น!”

คำพูดของเขานี้มันทำให้คนทั้งหลายสั่นสะท้านแตกตื่นขึ้นทันที

“ที่แท้นี่คือตระกูลเจิ้งแห่งเมืองป่าโพ้น มันเป็นยอดตระกูลโอสถโบราณที่เป็นรองแค่ยอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!”

“ยอดอันดับหนึ่งของตระกูลเจิ้ง เจิ้งเฉียน เขาย่อมมาเพื่อเข้าร่วมงานงานชุมนุมโอสถเมฆาแน่แล้ว!”

“เจิ้งเฉียน! ข้าเคยได้ยินนามนี้มาก่อน! เขานั้นมีอายุเพียงแค่พันกว่าปีแต่ก็สามารถมีวิชาโอสถอาณาจักรต้นขั้นกลางได้แล้ว เขานั้นมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าได้ในวันหน้า!”

เมื่อได้ยินเสียงคุยของคนทั้งหลายเจิ้งเฉียนก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าสุดเย่อหยิ่ง

ตระกูลเจิ้งแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิป่าโพ้นนั้นนับได้ว่าเป็นยอดตระกูลนักหลอมโอสถในแดนใต้ที่ด้อยกว่าแค่เหล่าเจ็ดดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ตระกูลเจิ้งนั้นมีบรรพบุรุษที่เป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวที่หาตัวจับยาก แค่นี้มันก็มากพอจะเอามาอวดอ้างได้แล้ว

ด้วยเจิ้งเฉียนที่อยู่ในอาณาจักรต้นขั้นกลางได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้ มันย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

เพราะแม้ว่าเย่หยวนจะก้าวขึ้นอาณาจักรต้น บรรลุขึ้นอาณาจักรเต๋ามาอย่างไม่ยากเย็นและยังก้าวขึ้นมาใกล้ถึงอาณาจักรบรรพกาลได้ แต่เดิมทีแล้วอาณาจักรต้นนั้นมันก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในหมู่นักหลอมโอสถทั้งหลาย

การจะพัฒนาให้ขึ้นมาถึงอาณาจักรต้นได้นั้นมันต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน

หากให้พูดถึงแล้วตัวซวนอี้ที่อยู่มาจนแก่เฒ่าใกล้ฝั่งก็ยังอยู่เพียงแค่อาณาจักรต้นขั้นกลางเท่านั้น

เจิ้งเฉียนนี้ที่มีอายุเพียงพันกว่าปีแต่กลับขึ้นมาถึงอาณาจักรต้นขั้นกลางได้มันย่อมจะเป็นสิ่งที่เขาสามารถยึดถือภูมิใจ

“ได้ยินหรือไม่เจ้ายอดอัจฉริยะโอสถอันดับหนึ่ง? หากเจ้ากล้าพอก็มาดวลกัน!” เจิ้งเฉียนร้องตะโกนใส่เย่หยวนโดยไม่คิดสนใจหนิงซืออวี๋

ทุกผู้คนนั้นต่างหันมามองหน้ากันรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นย่อมจะไม่กล้ารับคำท้าแล้ว

เพราะแม้ว่าเย่หยวนจะมีพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าเจิ้งเฉียนแต่พวกเขาทั้งสองก็มีอายุไม่ห่างกันมาก

ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วเย่หยวนย่อมจะเป็นนักยุทธที่เน้นวิชาการต่อสู้มากกว่า

ส่วนเรื่องของวิชาโอสถนั้นมันเป็นสิ่งที่สุดแสนยากเย็นมีหรือที่จะสำเร็จได้ง่ายๆ?

เพราะฉะนั้นหากเย่หยวนดวลกับเจิ้งเฉียนจริงๆ แล้วเขาคงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียต่อหน้าอัจฉริยะด้านโอสถเช่นนี้ผลลัพธ์ของคนทั่วๆ ไปมันก็ย่อมจะเป็นความพ่ายแพ้

เย่หยวนนั้นได้แต่ส่ายหัวออกมาแต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ดวลกับข้า? เจ้ายังไม่คู่ควรหรอก ไปเถอะซืออวี๋”

พูดไปเย่หยวนก็หันหลังจากไปทันที

อย่าว่าแต่เจิ้งเฉียนนภาสวรรค์ตัวน้อยผู้นี้ใดๆ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นยอดจอมเทพโอสถหกดาวเย่หยวนก็สามารถชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนนั้นก็สามารถปะทะกับเทพสวรรค์เปียวหยูและได้ผลที่แทบจะเสมอ

แค่เจิ้งเฉียนใดๆ มันย่อมไม่อาจทำให้เขาสนใจได้

แต่เจิ้งเฉียนนั้นกลับหัวเราะขึ้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไรไม่คู่ควร? ไม่กล้าก็บอกไม่กล้าสิ! จ้าวเหอ หลี่หู่!”

สองเทพถ่องแท้นั้นขยับเข้ามาขวางทางพวกเย่หยวนไว้ทันที

“หากเจ้าไม่กล้ารับคำท้าก็ก้มหัวต่อนายน้อยผู้นี้และยอมรับความผิดมาเสีย! ตระกูลเจิ้งข้านั้นไม่ยอมให้ใครมาดูถูกได้!” เจิ้งเฉียนร้องบอก

เย่หยวนได้แต่เหลือบตามองมองดุใส่หนิงซืออวี๋แต่นางกลับทำแค่แลบลิ้นปลิ้นตาและก้มหน้าลงหนีเย่หยวนไป

“หากเจ้าอยากดวลจริงๆ ก็ไปเรียกบรรพบุรุษตระกูลเจ้ามาเถอะ ส่วนคนอย่างเจ้านั้นอย่าได้คิดให้รกสมองเลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะกลัวจดหัวหดเปล่าๆ” เย่หยวนตอบ

เมื่อเจิ้งเฉียนได้ยินเขาก็ยิ่งยิ้มกว้างออกมา

“ช่างเป็นเด็กน้อยไร้ยางอาย! ช่างเถอะ หากเจ้าไม่กล้ารับคำท้าแล้วก็จงคุกเข่าลงยอมรับผิดเสีย!” เจิ้งเฉียนร้องบอก

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเหอและหลี่หู่ทั้งสองคนก็คิดจะคว้ามือมาจับเย่หยวนไว้คิดแต่ว่าจะกดเย่หยวนคุกเข่าลง

คนทั้งสองนี้เป็นถึงเทพถ่องแท้สามดาวย่อมจะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง

แต่น่าเสียดายที่ศัตรูของพวกเขาคือเย่หยวน

เย่หยวนนั้นไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อยแต่คนทั้งสองนั้นกลับไม่อาจคว้าจับใดๆ ได้

แต่ระหว่างที่คนทั้งสองนั้นยังไม่มีโอกาสจะได้ตื่นตกใจใดๆ เย่หยวนก็ใช้หลังมือปาดเข้าที่ใบหน้าของทั้งสอง

‘เพียะ! เพียะ!’

ผู้คนทั้งหลายนั้นได้ยินเพียงแค่เสียงร้องก่อนที่จะเห็นจ้าวเหอและหลี่หู่ทั้งสองร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่อาจยันตัวลุกขึ้นมาได้อีก

เมื่อเจิ้งเฉียนเห็นเช่นนั้นเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

จ้าวเหอและหลี่หู่นั้นเป็นยอดฝีมือผ่านศึกมานับร้อยๆ คนระดับเดียวกันหาใครเทียบยากแต่เมื่อเจอกับเย่หยวนผู้นี้คนทั้งสองกลับรับไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว?

นั่นทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงในทันที

ไม่ว่าเย่หยวนจะมีวิชาโอสถเช่นไรตอนนี้พลังฝีมือของเขามันก็จะไม่แข็งแกร่งจนเกินไปหน่อยหรือ?

“เจ้า… เจ้าทำอะไร? ข้า… ข้าเป็นคนตระกูลเจิ้ง หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า เจ้าจะได้ตายอย่างไร้ที่กลบฝังแน่!” เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนหันหน้าเดินกลับมาเจิ้งเฉียนก็รีบกล่าวยกคำขู่ขึ้นมาอ้าง

“โอ้? อย่างนั้นเหรอ?”

เย่หยวนนั้นมองดูที่ใบหน้าของเจิ้งเฉียนอย่างเย้ยหยันก่อนจะขยับนิ้วส่งก้อนเพลิงพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย

เจิ้งเฉียนที่เดิมทีมึนงงอยู่ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมาเมื่อเห็น “เจ้าคิดจะเล่นไฟกับข้า? จะประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว! ข้าจะให้เจ้าได้เห็นศาสตร์การควบคุมไฟที่แท้จริงเอง!”

จากนั้นมันก็เกิดตราประทับหนึ่งขึ้นมาในมือของเขาพร้อมเสียงร้องลั่น “หยุด!”

ก้อนเพลิงนั้นมันหลุดลงจริงๆ ก่อนจะถึงตัวเจิ้งเฉียนประมาณสามเมตร

“ช่างเป็นวิชาควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สมชื่อยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลเจิ้งจริงๆ!”

“เก่งกาจ! แม้ว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันจะมีวิชาการต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่เมื่อคิดใช้ไฟกับศัตรูแล้วมันก็มีต้องอับอายกลับไป”

“หึ พลาดครั้งเดียวก็ต้องอับอายไปจนตาย!”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นทั่วทุกทิศชื่นชมความสามารถในการควบคุมไฟของเจิ้งเฉียน

เจิ้งเฉียนหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าคิดจะใช้วิชาไฟของเจ้ามาแสดงว่าวิชาโอสถของตนนั้นแข็งแกร่งมากหรือ? เช่นนั้นนายน้อยผู้นี้จะบอกเจ้าเองว่าเจ้ามันอ่อนแอปานใด! ดูเสีย จงกลับไป!”

เจิ้งเฉียนนั้นขยับตราบนมือและส่งก้อนเพลิงนั้นกลับมาหาเย่หยวน

‘ฟุบ!’

เพียงแค่ว่าไฟนั้นมันกลับดับวูบลง!

เจิ้งเฉียนที่ได้เห็นก็มึนงงในทันที ก่อนที่เด็กสาวข้างๆ ตัวเขาจะร้องขึ้นมาแทนด้วยความตื่นตกใจ

“หัวท่าน! พี่เฉียน หัวท่าน!”

“หัวข้า? หัวข้าเป็นอะไร?”

เจิ้งเฉียนนั้นมึนงงไปชั่วขณะก่อนที่จะยกมือขึ้นไปลูบศีรษะของตน

เมื่อจับลงเขาก็แทบจะกระโดดขึ้นด้วยความสะดุ้ง

เพราะตอนนี้หัวของเขามันเรียบเนียนราวกับถูกน้ำมันเคลือบไว้

หัวที่มีผมดกดำของเขานั้นมันหายไปจนสิ้น!

ในเวลานี้หัวของเจิ้งเฉียนนั้นมันสดใสจนแทบจะสะท้อนเงาใบหน้าของผู้คนได้ ส่องสว่างท้าแสงตะวัน

“หึ!”

“ฮ่าๆ…”

เสียงหัวเราะลั่นครืนเกิดขึ้นในฝูงชนที่มุงดูทันที เวลานี้ใบหน้าของเจิ้งเฉียนนั้นดำมืดแทบอยากจะมุดดินหนีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

เขานั้นพยายามที่จะเร่งปราณเทวะของตนหวังให้มันเร่งเส้นผมกลับคืนมา แต่มันกลับไร้ผล

เขาได้รับรู้ว่าตอนนี้บนหัวของเขามันเหมือนถูกผนึกไว้ ไม่อาจจะงอกเส้นผมใดๆ ขึ้นมาได้เลย

ความตื่นตกใจนี้มันหนักหนาสาหัสมาก!

เขานั้นหันไปมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึงและได้พบว่าสายตาของเย่หยวนในตอนนี้เองมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันก่อนจะได้ยินเย่หยวนพูดขึ้น “ครั้งนี้ข้าจะถือว่านี่คือบทลงโทษของเจ้า หากยังมีครั้งหน้าอีกมันไม่จบลงเท่านี้แน่!”

พูดจบเย่หยวนก็พาหนิงซืออวี๋เดินหายไป

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2017 กลัวว่าเจ้าจะกลัว

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2017 กลัวว่าเจ้าจะกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เบื้องหน้าของพวกเขาในเวลานี้มันคือชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งผู้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์แปดดาว

ที่ด้านข้างของเขานั้นตามมาด้วยสาวน้อยนางหนึ่งและดูแล้วอายุของทั้งสองใกล้เคียงกันมากเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นคู่หมั้นคู่หมาย

แต่ที่ด้านหลังของคนทั้งสองนั้นมีผู้ติดตามอาณาจักรเทพถ่องแท้อยู่ ดูท่าคงมิใช่คงธรรมดาๆ แน่

สาวน้อยผู้นั้นเป็นผู้พูดขึ้นมาต่อ “ช่างหน้าไม่อาย ข้าไม่เคยเห็นใครอวดอ้างว่าตนเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งมาก่อนเลย! แม้แต่พี่เฉียนเองที่เป็นถึงยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลเจิ้งก็ยังไม่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งเหนือใคร เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบอะไรกลับไปได้ ตัวเขาไปพูดบอกว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่ตอนไหนกัน?

คำพูดทั้งหลายนั้นคนพูดคือหนิงซืออวี๋มิใช่หรือ?

นางคนนี้มันรู้วิธีหาเรื่องมาให้ตัวเขาจริงๆ!

เมื่อหนิงซืออวี๋ได้ยินเช่นนั้นนางก็อดทนไม่ได้เช่นกัน

“ตระกูลเจิ้งบ้าบอใดกัน? ยอดอัจฉริยะของตระกูลเจิ้ง? หึๆ! อย่าว่าแต่อัจฉริยะตระกูลเจิ้งเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสผู้เฒ่าจากตระกูลเจิ้งเจ้ามามันก็ไม่อาจเทียบเคียงนายท่านของข้าได้แม้แต่น้อย!”

เจิ้งเฉียนนั้นยังเป็นหนุ่มน้อยอายุไม่มาก มีหรือที่ได้ยินเช่นนั้นแล้วเขาจะยังทนรับไหว? เขาจึงได้ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าชั่วร้ายทันที “ช่างเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่เสียจริงๆ! ในแดนใต้นี้มีแค่ไม่กี่ผู้คนหรอกนะที่กล้าจะพูดจาแบบนี้ต่อหน้าตระกูลเจิ้งแห่งป่าโพ้น!”

คำพูดของเขานี้มันทำให้คนทั้งหลายสั่นสะท้านแตกตื่นขึ้นทันที

“ที่แท้นี่คือตระกูลเจิ้งแห่งเมืองป่าโพ้น มันเป็นยอดตระกูลโอสถโบราณที่เป็นรองแค่ยอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!”

“ยอดอันดับหนึ่งของตระกูลเจิ้ง เจิ้งเฉียน เขาย่อมมาเพื่อเข้าร่วมงานงานชุมนุมโอสถเมฆาแน่แล้ว!”

“เจิ้งเฉียน! ข้าเคยได้ยินนามนี้มาก่อน! เขานั้นมีอายุเพียงแค่พันกว่าปีแต่ก็สามารถมีวิชาโอสถอาณาจักรต้นขั้นกลางได้แล้ว เขานั้นมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าได้ในวันหน้า!”

เมื่อได้ยินเสียงคุยของคนทั้งหลายเจิ้งเฉียนก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าสุดเย่อหยิ่ง

ตระกูลเจิ้งแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิป่าโพ้นนั้นนับได้ว่าเป็นยอดตระกูลนักหลอมโอสถในแดนใต้ที่ด้อยกว่าแค่เหล่าเจ็ดดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ตระกูลเจิ้งนั้นมีบรรพบุรุษที่เป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวที่หาตัวจับยาก แค่นี้มันก็มากพอจะเอามาอวดอ้างได้แล้ว

ด้วยเจิ้งเฉียนที่อยู่ในอาณาจักรต้นขั้นกลางได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้ มันย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

เพราะแม้ว่าเย่หยวนจะก้าวขึ้นอาณาจักรต้น บรรลุขึ้นอาณาจักรเต๋ามาอย่างไม่ยากเย็นและยังก้าวขึ้นมาใกล้ถึงอาณาจักรบรรพกาลได้ แต่เดิมทีแล้วอาณาจักรต้นนั้นมันก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในหมู่นักหลอมโอสถทั้งหลาย

การจะพัฒนาให้ขึ้นมาถึงอาณาจักรต้นได้นั้นมันต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน

หากให้พูดถึงแล้วตัวซวนอี้ที่อยู่มาจนแก่เฒ่าใกล้ฝั่งก็ยังอยู่เพียงแค่อาณาจักรต้นขั้นกลางเท่านั้น

เจิ้งเฉียนนี้ที่มีอายุเพียงพันกว่าปีแต่กลับขึ้นมาถึงอาณาจักรต้นขั้นกลางได้มันย่อมจะเป็นสิ่งที่เขาสามารถยึดถือภูมิใจ

“ได้ยินหรือไม่เจ้ายอดอัจฉริยะโอสถอันดับหนึ่ง? หากเจ้ากล้าพอก็มาดวลกัน!” เจิ้งเฉียนร้องตะโกนใส่เย่หยวนโดยไม่คิดสนใจหนิงซืออวี๋

ทุกผู้คนนั้นต่างหันมามองหน้ากันรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นย่อมจะไม่กล้ารับคำท้าแล้ว

เพราะแม้ว่าเย่หยวนจะมีพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าเจิ้งเฉียนแต่พวกเขาทั้งสองก็มีอายุไม่ห่างกันมาก

ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วเย่หยวนย่อมจะเป็นนักยุทธที่เน้นวิชาการต่อสู้มากกว่า

ส่วนเรื่องของวิชาโอสถนั้นมันเป็นสิ่งที่สุดแสนยากเย็นมีหรือที่จะสำเร็จได้ง่ายๆ?

เพราะฉะนั้นหากเย่หยวนดวลกับเจิ้งเฉียนจริงๆ แล้วเขาคงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียต่อหน้าอัจฉริยะด้านโอสถเช่นนี้ผลลัพธ์ของคนทั่วๆ ไปมันก็ย่อมจะเป็นความพ่ายแพ้

เย่หยวนนั้นได้แต่ส่ายหัวออกมาแต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ดวลกับข้า? เจ้ายังไม่คู่ควรหรอก ไปเถอะซืออวี๋”

พูดไปเย่หยวนก็หันหลังจากไปทันที

อย่าว่าแต่เจิ้งเฉียนนภาสวรรค์ตัวน้อยผู้นี้ใดๆ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นยอดจอมเทพโอสถหกดาวเย่หยวนก็สามารถชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนนั้นก็สามารถปะทะกับเทพสวรรค์เปียวหยูและได้ผลที่แทบจะเสมอ

แค่เจิ้งเฉียนใดๆ มันย่อมไม่อาจทำให้เขาสนใจได้

แต่เจิ้งเฉียนนั้นกลับหัวเราะขึ้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไรไม่คู่ควร? ไม่กล้าก็บอกไม่กล้าสิ! จ้าวเหอ หลี่หู่!”

สองเทพถ่องแท้นั้นขยับเข้ามาขวางทางพวกเย่หยวนไว้ทันที

“หากเจ้าไม่กล้ารับคำท้าก็ก้มหัวต่อนายน้อยผู้นี้และยอมรับความผิดมาเสีย! ตระกูลเจิ้งข้านั้นไม่ยอมให้ใครมาดูถูกได้!” เจิ้งเฉียนร้องบอก

เย่หยวนได้แต่เหลือบตามองมองดุใส่หนิงซืออวี๋แต่นางกลับทำแค่แลบลิ้นปลิ้นตาและก้มหน้าลงหนีเย่หยวนไป

“หากเจ้าอยากดวลจริงๆ ก็ไปเรียกบรรพบุรุษตระกูลเจ้ามาเถอะ ส่วนคนอย่างเจ้านั้นอย่าได้คิดให้รกสมองเลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะกลัวจดหัวหดเปล่าๆ” เย่หยวนตอบ

เมื่อเจิ้งเฉียนได้ยินเขาก็ยิ่งยิ้มกว้างออกมา

“ช่างเป็นเด็กน้อยไร้ยางอาย! ช่างเถอะ หากเจ้าไม่กล้ารับคำท้าแล้วก็จงคุกเข่าลงยอมรับผิดเสีย!” เจิ้งเฉียนร้องบอก

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเหอและหลี่หู่ทั้งสองคนก็คิดจะคว้ามือมาจับเย่หยวนไว้คิดแต่ว่าจะกดเย่หยวนคุกเข่าลง

คนทั้งสองนี้เป็นถึงเทพถ่องแท้สามดาวย่อมจะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง

แต่น่าเสียดายที่ศัตรูของพวกเขาคือเย่หยวน

เย่หยวนนั้นไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อยแต่คนทั้งสองนั้นกลับไม่อาจคว้าจับใดๆ ได้

แต่ระหว่างที่คนทั้งสองนั้นยังไม่มีโอกาสจะได้ตื่นตกใจใดๆ เย่หยวนก็ใช้หลังมือปาดเข้าที่ใบหน้าของทั้งสอง

‘เพียะ! เพียะ!’

ผู้คนทั้งหลายนั้นได้ยินเพียงแค่เสียงร้องก่อนที่จะเห็นจ้าวเหอและหลี่หู่ทั้งสองร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่อาจยันตัวลุกขึ้นมาได้อีก

เมื่อเจิ้งเฉียนเห็นเช่นนั้นเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

จ้าวเหอและหลี่หู่นั้นเป็นยอดฝีมือผ่านศึกมานับร้อยๆ คนระดับเดียวกันหาใครเทียบยากแต่เมื่อเจอกับเย่หยวนผู้นี้คนทั้งสองกลับรับไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว?

นั่นทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงในทันที

ไม่ว่าเย่หยวนจะมีวิชาโอสถเช่นไรตอนนี้พลังฝีมือของเขามันก็จะไม่แข็งแกร่งจนเกินไปหน่อยหรือ?

“เจ้า… เจ้าทำอะไร? ข้า… ข้าเป็นคนตระกูลเจิ้ง หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า เจ้าจะได้ตายอย่างไร้ที่กลบฝังแน่!” เมื่อได้เห็นว่าเย่หยวนหันหน้าเดินกลับมาเจิ้งเฉียนก็รีบกล่าวยกคำขู่ขึ้นมาอ้าง

“โอ้? อย่างนั้นเหรอ?”

เย่หยวนนั้นมองดูที่ใบหน้าของเจิ้งเฉียนอย่างเย้ยหยันก่อนจะขยับนิ้วส่งก้อนเพลิงพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย

เจิ้งเฉียนที่เดิมทีมึนงงอยู่ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมาเมื่อเห็น “เจ้าคิดจะเล่นไฟกับข้า? จะประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว! ข้าจะให้เจ้าได้เห็นศาสตร์การควบคุมไฟที่แท้จริงเอง!”

จากนั้นมันก็เกิดตราประทับหนึ่งขึ้นมาในมือของเขาพร้อมเสียงร้องลั่น “หยุด!”

ก้อนเพลิงนั้นมันหลุดลงจริงๆ ก่อนจะถึงตัวเจิ้งเฉียนประมาณสามเมตร

“ช่างเป็นวิชาควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สมชื่อยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลเจิ้งจริงๆ!”

“เก่งกาจ! แม้ว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันจะมีวิชาการต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่เมื่อคิดใช้ไฟกับศัตรูแล้วมันก็มีต้องอับอายกลับไป”

“หึ พลาดครั้งเดียวก็ต้องอับอายไปจนตาย!”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นทั่วทุกทิศชื่นชมความสามารถในการควบคุมไฟของเจิ้งเฉียน

เจิ้งเฉียนหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าคิดจะใช้วิชาไฟของเจ้ามาแสดงว่าวิชาโอสถของตนนั้นแข็งแกร่งมากหรือ? เช่นนั้นนายน้อยผู้นี้จะบอกเจ้าเองว่าเจ้ามันอ่อนแอปานใด! ดูเสีย จงกลับไป!”

เจิ้งเฉียนนั้นขยับตราบนมือและส่งก้อนเพลิงนั้นกลับมาหาเย่หยวน

‘ฟุบ!’

เพียงแค่ว่าไฟนั้นมันกลับดับวูบลง!

เจิ้งเฉียนที่ได้เห็นก็มึนงงในทันที ก่อนที่เด็กสาวข้างๆ ตัวเขาจะร้องขึ้นมาแทนด้วยความตื่นตกใจ

“หัวท่าน! พี่เฉียน หัวท่าน!”

“หัวข้า? หัวข้าเป็นอะไร?”

เจิ้งเฉียนนั้นมึนงงไปชั่วขณะก่อนที่จะยกมือขึ้นไปลูบศีรษะของตน

เมื่อจับลงเขาก็แทบจะกระโดดขึ้นด้วยความสะดุ้ง

เพราะตอนนี้หัวของเขามันเรียบเนียนราวกับถูกน้ำมันเคลือบไว้

หัวที่มีผมดกดำของเขานั้นมันหายไปจนสิ้น!

ในเวลานี้หัวของเจิ้งเฉียนนั้นมันสดใสจนแทบจะสะท้อนเงาใบหน้าของผู้คนได้ ส่องสว่างท้าแสงตะวัน

“หึ!”

“ฮ่าๆ…”

เสียงหัวเราะลั่นครืนเกิดขึ้นในฝูงชนที่มุงดูทันที เวลานี้ใบหน้าของเจิ้งเฉียนนั้นดำมืดแทบอยากจะมุดดินหนีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

เขานั้นพยายามที่จะเร่งปราณเทวะของตนหวังให้มันเร่งเส้นผมกลับคืนมา แต่มันกลับไร้ผล

เขาได้รับรู้ว่าตอนนี้บนหัวของเขามันเหมือนถูกผนึกไว้ ไม่อาจจะงอกเส้นผมใดๆ ขึ้นมาได้เลย

ความตื่นตกใจนี้มันหนักหนาสาหัสมาก!

เขานั้นหันไปมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึงและได้พบว่าสายตาของเย่หยวนในตอนนี้เองมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันก่อนจะได้ยินเย่หยวนพูดขึ้น “ครั้งนี้ข้าจะถือว่านี่คือบทลงโทษของเจ้า หากยังมีครั้งหน้าอีกมันไม่จบลงเท่านี้แน่!”

พูดจบเย่หยวนก็พาหนิงซืออวี๋เดินหายไป

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+