Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2018 ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2018 ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สามารถเผาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมจนเกลี้ยงเกลาได้ปานนั้น”

“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก! ข้าก็นึกไปเสียว่าเขาโม้โอ้อวด!”

“ดูท่างานชุมนุมโอสถเมฆามันจะมีเสือหลับมังกรซ่อนเข้ามาร่วมงานเสียแล้ว!”

หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไปทุกผู้คนต่างก็ได้เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความเก่งกาจของวิชาควบคุมไฟที่เย่หยวนใช้

ตอนนี้แม้แต่ตัวเจิ้งเฉียนเองก็ยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเขาโดยตรง ไฟที่เผาไหม้อยู่บนหัวราวเป็นมีดโกนที่ตัดทำลายเส้นผมของเขาจนหมดสิ้น

แต่ตัวเขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ

มันช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง

ดูท่าแล้วแม้แต่พี่ปู้ฉุนก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

เจิ้งเฉียนได้แต่คิดอยู่ในใจ

เมื่อมองดูไปยังทิศทางที่เย่หยวนเดินจากไปเจิ้งเฉียนก็ได้แต่กัดฟันแน่นร้องขึ้น “เจ้าบ้านี่ อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกก็แล้ว! กล้ามาทำให้คนตระกูลเจิ้งเสียหน้าเช่นนี้นายน้อยผู้นี้จะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”

“นายท่าน เมื่อกี้ท่านเท่สุดๆ ไปเลย! หึๆ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็ช่างกล้ามาท้าทายท่าน ไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ” หนิงซืออวี๋ร้องกล่าว

เย่หยวนที่ได้ยินจึงหันมาเหลือกตาใส่นางทันที “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งใด? เจ้าไม่กลัวว่าลิ้นของตนนั้นมันจะขาดลงบ้างหรือ! มหาพิภพถงเทียนนั้นมียอดคนมากมายหลบซ่อนตัวไม่เปิดเผย ใครกันจะกล้าอ้างตัวว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือพวกเขาได้?”

เย่หยวนนั้นมั่นใจ แต่ไม่เคยลืมตัว

มหาพิภพถงเทียนนั้นมันสุดแสนยิ่งใหญ่ยอดอัจฉริยะนั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า

ตำแหน่งของอันดับหนึ่งนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับไว้!

ต่อให้จะขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลแต่ตัวเย่หยวนเองก็เคยพบเจอคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

และขนาดคนเช่นนั้นยังไม่อาจรับชื่ออันดับหนึ่งไปได้จนต้องสร้างหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ขึ้นมา

หนิงซืออวี๋นั้นรู้จักเย่หยวนมานานและย่อมจะรู้ถึงนิสัยของเขาอย่างดีนางจึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียในใจของข้าก็คิดว่าท่านนี่แหละคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ที่สำคัญหากนับกันแค่ในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วใครกันที่จะเทียบเท่าท่านได้? ต่อให้ค้นหาทั้งมหาพิภพถงเทียนเองมันก็คงไม่อาจหาพบเจอหรอกใช่หรือไม่?”

เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้จึงได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาโบกปัดตัดเรื่องทิ้ง ไม่อยากเสียน้ำลายเถียงกับนางผู้นี้อีกต่อไป

ตัวเย่หยวนนั้นได้พาหนยิงซืออวี๋เดินชมรอบๆ เขตเมืองชั้นนอกและหาซื้อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ที่หาได้ยากยิ่งก่อนจะคิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองชั้นในต่อ

และในเส้นทางเข้าสู่เมืองชั้นในนั้นตอนนี้มันได้มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ละคนที่คิดเข้าไปต่างต้องผ่านการตรวจจากคนทั้งหลายนี้

คนทั้งสองนั้นกำลังจะเดินเข้าไปรับการตรวจก่อนที่จะเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟากถนน

และหนึ่งในกลุ่มคนนั้นมีรูปร่างแสนสะดุดตา มันจะเป็นใครไปได้หากมิใช่เจิ้งเฉียน?

เมื่อหนิงซืออวี๋เห็นเจิ้งเฉียนนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครา

นายท่านของนางเองก็ช่างเป็นคนขี้เล่น เผาทำลายเส้นผมของเจิ้งเฉียนและไม่ยอมให้มันงอกกลับมาเสียด้วย

ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กน้อยหัวล้านไป วันหน้าจะยังมีหญิงใดหันมาสนใจอีก?

เจิ้งเฉียนนั้นหันมาพบเห็นพวกเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องทักไว้

“พี่ปู้ฉุน เจ้าหมอนี่แหละที่มันอ้างว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! พี่ต้องล้างแค้นให้ข้า!”

ที่ด้านข้างเจิ้งเฉียนนั้นมันมีชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าตัวเขาหน่อยกำลังจ้องมองมาทางเย่หยวนด้วยใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร

เขาผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ไอ้เด็กที่ขนเพชรยังไม่ทันขึ้นเช่นเจ้าก็กล้ามาเรียกตนว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? เจ้าหรือคือคนที่เผาเส้นผมของน้องเฉียน?”

“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงมาจากบ้านนอกคอกนาไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง คิดว่ามันมีความสามารถเท่านี้ก็เก่งกาจเหนือใครใต้ฟ้าดิน ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้แม้แต่พี่เจิ้งก็ยังไม่เองก็ยังไม่กล้าเรียกตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับกล้าอวดอ้างนามว่าเป็นอันดับหนึ่ง”

ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเย้ยหยัน

เจิ้งเฉียนเองก็ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเย่หยวนเช่นกัน “พี่ปู้ฉุน เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังอวดดีถึงขั้นบอกว่าหากอยากประลองกับมันเราต้องพาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งเราออกมาสู้เอง”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

เด็กคนนี้มันอวดอ้างใดๆ อย่างไม่คิด!

ชายหนุ่มข้างกายเจิ้งปู้ฉุนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางดูถูก “ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลเจิ้งนั้นเป็นใคร? ท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวอาณาจักรเต๋า แค่คนอย่างเจ้านี้ก็กล้าจะมาท้าทายบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง?”

คำพูดทั้งหลายนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีหยุดเอาแต่ว่าดูถูกเย่หยวน ทำให้หนิงซืออวี๋เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

นางนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแล้วมันทำไม? แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูท่านเองก็ยังนับถือนายท่านข้าว่าเป็นพี่น้อง! หรือว่าบรรพบุรุษของเจ้าผู้นี้จะเก่งกาจกว่าท่านเปียวหยู?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายนั้นไม่เพียงแค่มึนงง แต่ยังหัวเราะลั่นกันขึ้นมา

ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “เทพสวรรค์เปียวหยู? หึๆ นังหนู เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา ตำแหน่งของท่านสูงส่งเพียงใด? จะบอกว่าไอ้เด็กคนนี้นับท่านเป็นพี่น้อง? จะโม้อะไรก็หัดคิดเสียก่อนเถอะ เข้าใจไหม?”

เจิ้งเฉียนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ที่แท้เจ้าสองคนนี้มันก็เป็นเพียงคนขี้โม้ไม่กลัวฟ้าดิน ข้าก็นึกว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากที่ใด ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่า คนเช่นนี้มันย่อมต้องมีในงานชุมนุมโอสถเมฆาให้ได้สิน่า”

“ฮ่าๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนี้เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากรอบทิศขึ้นมาได้

ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ่งใหญ่ปานใด? เขานั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนเทียบเคียงกับเทพสวรรค์ดันหยู่แห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา

ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นตัวตนผู้อยู่ในจุดสูงสุด

แล้วคนเช่นนั้นกลับจะเรียกเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งว่าเป็นพี่น้อง?

จะล้อเล่นกันหนักไปแล้ว!

เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “พูดจบหรือยัง? หากจบแล้วก็ไสหัวไปเสียที”

เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดจะเข้าไปในเมืองชั้นใน? เด็กน้อย เจ้ามีบัตรเชิญโอสถเมฆาหรือ?”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้ามึนงง “บัตรเชิญโอสถเมฆา? คือสิ่งใดกัน?”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงหัวเราะลั่นขึ้น “เจ้านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบัตรเชิญโอสถเมฆามันคือสิ่งใดแต่ยังกล้ามาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆา? ข้าจะบอกเจ้าให้ มีเพียงนักหลอมโอสถที่ถือบัตรเชิญโอสถเมฆาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในเมืองชั้นในได้ ส่วนพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ”

เจิ้งเฉียนเองก็หัวเราะลั่นพูดเสริมขึ้น “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด เสียเวลาอยู่ครึ่งวันสุดท้ายกลับไม่รู้จักเสียแม้แต่บัตรเชิญโอสถเมฆา!”

ในเวลานี้เจิ้งเฉียนยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ว่าเย่หยวนนั้นคงเป็นยอดคนจากตระกูลนักยุทธสักสาย แม้ว่าเขาจะมีวิชาต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโอสถใดๆ

ส่วนเรื่องการควบคุมไฟนั้นหากเป็นนักยุทธที่ฝึกฝนวิชาแนวคิดแห่งไฟแล้วมันก็ย่อมจะสามารถควบคุมไฟได้อย่างเหนือล้ำเช่นกัน

เขานั้นยอมรับว่าวิชาต่อสู้ของเย่หยวนนั้นเป็นสิ่งที่เหนือล้ำ แต่ในงานชุมนุมนักหลอมโอสถเช่นนี้แล้วเขาจะยังอวดอ้างตนใดๆ ได้?

ยอดอัจฉริยะจอมเทพโอสถนั้นไม่คิดจะสนใจเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปอยู่แล้ว

เพราะว่าตัวตนของนักหลอมโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่านักยุทธทั่วๆ ไปมากมายนัก

เจิ้งปู้ฉุนจึงยกมือขึ้นมาโบกไล่ “รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้าเห็นสายตาของคนทั้งหลายหรือไม่? ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตัวตลก ที่แห่งนี้มันคือโลกของนักหลอมโอสถ เจ้านั้น… ไร้ค่าใด!”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยอีกคนนั้นจึงได้หันหน้าไปร้องเรียกทหาร “ผู้บัญชาการกาน ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะหน้าหนา คงต้องรบกวนท่านส่งมันไปหน่อยแล้ว!”

ผู้บัญชาการกานนั้นมองดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนในทันทีด้วยใบหน้าขึงขัง “เชิญกลับไปได้! หากไม่ไปแล้วข้าผู้นี้คงต้องเป็นคนไปส่งเจ้าที่นอกเมือง!”

ผู้บัญชาการกานนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว ย่อมจะมีพลังมากพอที่จะข่มขู่ผู้คน

เย่หยวนมองดูที่ผู้บัญชาการกานก่อนจะหยิบเหรียญออกมา “ข้านั้นไม่มีบัตรเชิญโอสถเมฆาใดๆ นั่น แต่ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?”

………………………..

“ช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สามารถเผาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมจนเกลี้ยงเกลาได้ปานนั้น”

“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก! ข้าก็นึกไปเสียว่าเขาโม้โอ้อวด!”

“ดูท่างานชุมนุมโอสถเมฆามันจะมีเสือหลับมังกรซ่อนเข้ามาร่วมงานเสียแล้ว!”

หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไปทุกผู้คนต่างก็ได้เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความเก่งกาจของวิชาควบคุมไฟที่เย่หยวนใช้

ตอนนี้แม้แต่ตัวเจิ้งเฉียนเองก็ยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเขาโดยตรง ไฟที่เผาไหม้อยู่บนหัวราวเป็นมีดโกนที่ตัดทำลายเส้นผมของเขาจนหมดสิ้น

แต่ตัวเขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ

มันช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง

ดูท่าแล้วแม้แต่พี่ปู้ฉุนก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

เจิ้งเฉียนได้แต่คิดอยู่ในใจ

เมื่อมองดูไปยังทิศทางที่เย่หยวนเดินจากไปเจิ้งเฉียนก็ได้แต่กัดฟันแน่นร้องขึ้น “เจ้าบ้านี่ อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกก็แล้ว! กล้ามาทำให้คนตระกูลเจิ้งเสียหน้าเช่นนี้นายน้อยผู้นี้จะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”

“นายท่าน เมื่อกี้ท่านเท่สุดๆ ไปเลย! หึๆ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็ช่างกล้ามาท้าทายท่าน ไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ” หนิงซืออวี๋ร้องกล่าว

เย่หยวนที่ได้ยินจึงหันมาเหลือกตาใส่นางทันที “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งใด? เจ้าไม่กลัวว่าลิ้นของตนนั้นมันจะขาดลงบ้างหรือ! มหาพิภพถงเทียนนั้นมียอดคนมากมายหลบซ่อนตัวไม่เปิดเผย ใครกันจะกล้าอ้างตัวว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือพวกเขาได้?”

เย่หยวนนั้นมั่นใจ แต่ไม่เคยลืมตัว

มหาพิภพถงเทียนนั้นมันสุดแสนยิ่งใหญ่ยอดอัจฉริยะนั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า

ตำแหน่งของอันดับหนึ่งนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับไว้!

ต่อให้จะขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลแต่ตัวเย่หยวนเองก็เคยพบเจอคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

และขนาดคนเช่นนั้นยังไม่อาจรับชื่ออันดับหนึ่งไปได้จนต้องสร้างหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ขึ้นมา

หนิงซืออวี๋นั้นรู้จักเย่หยวนมานานและย่อมจะรู้ถึงนิสัยของเขาอย่างดีนางจึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียในใจของข้าก็คิดว่าท่านนี่แหละคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ที่สำคัญหากนับกันแค่ในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วใครกันที่จะเทียบเท่าท่านได้? ต่อให้ค้นหาทั้งมหาพิภพถงเทียนเองมันก็คงไม่อาจหาพบเจอหรอกใช่หรือไม่?”

เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้จึงได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาโบกปัดตัดเรื่องทิ้ง ไม่อยากเสียน้ำลายเถียงกับนางผู้นี้อีกต่อไป

ตัวเย่หยวนนั้นได้พาหนยิงซืออวี๋เดินชมรอบๆ เขตเมืองชั้นนอกและหาซื้อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ที่หาได้ยากยิ่งก่อนจะคิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองชั้นในต่อ

และในเส้นทางเข้าสู่เมืองชั้นในนั้นตอนนี้มันได้มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ละคนที่คิดเข้าไปต่างต้องผ่านการตรวจจากคนทั้งหลายนี้

คนทั้งสองนั้นกำลังจะเดินเข้าไปรับการตรวจก่อนที่จะเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟากถนน

และหนึ่งในกลุ่มคนนั้นมีรูปร่างแสนสะดุดตา มันจะเป็นใครไปได้หากมิใช่เจิ้งเฉียน?

เมื่อหนิงซืออวี๋เห็นเจิ้งเฉียนนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครา

นายท่านของนางเองก็ช่างเป็นคนขี้เล่น เผาทำลายเส้นผมของเจิ้งเฉียนและไม่ยอมให้มันงอกกลับมาเสียด้วย

ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กน้อยหัวล้านไป วันหน้าจะยังมีหญิงใดหันมาสนใจอีก?

เจิ้งเฉียนนั้นหันมาพบเห็นพวกเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องทักไว้

“พี่ปู้ฉุน เจ้าหมอนี่แหละที่มันอ้างว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! พี่ต้องล้างแค้นให้ข้า!”

ที่ด้านข้างเจิ้งเฉียนนั้นมันมีชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าตัวเขาหน่อยกำลังจ้องมองมาทางเย่หยวนด้วยใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร

เขาผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ไอ้เด็กที่ขนเพชรยังไม่ทันขึ้นเช่นเจ้าก็กล้ามาเรียกตนว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? เจ้าหรือคือคนที่เผาเส้นผมของน้องเฉียน?”

“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงมาจากบ้านนอกคอกนาไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง คิดว่ามันมีความสามารถเท่านี้ก็เก่งกาจเหนือใครใต้ฟ้าดิน ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้แม้แต่พี่เจิ้งก็ยังไม่เองก็ยังไม่กล้าเรียกตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับกล้าอวดอ้างนามว่าเป็นอันดับหนึ่ง”

ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเย้ยหยัน

เจิ้งเฉียนเองก็ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเย่หยวนเช่นกัน “พี่ปู้ฉุน เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังอวดดีถึงขั้นบอกว่าหากอยากประลองกับมันเราต้องพาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งเราออกมาสู้เอง”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

เด็กคนนี้มันอวดอ้างใดๆ อย่างไม่คิด!

ชายหนุ่มข้างกายเจิ้งปู้ฉุนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางดูถูก “ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลเจิ้งนั้นเป็นใคร? ท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวอาณาจักรเต๋า แค่คนอย่างเจ้านี้ก็กล้าจะมาท้าทายบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง?”

คำพูดทั้งหลายนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีหยุดเอาแต่ว่าดูถูกเย่หยวน ทำให้หนิงซืออวี๋เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

นางนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแล้วมันทำไม? แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูท่านเองก็ยังนับถือนายท่านข้าว่าเป็นพี่น้อง! หรือว่าบรรพบุรุษของเจ้าผู้นี้จะเก่งกาจกว่าท่านเปียวหยู?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายนั้นไม่เพียงแค่มึนงง แต่ยังหัวเราะลั่นกันขึ้นมา

ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “เทพสวรรค์เปียวหยู? หึๆ นังหนู เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา ตำแหน่งของท่านสูงส่งเพียงใด? จะบอกว่าไอ้เด็กคนนี้นับท่านเป็นพี่น้อง? จะโม้อะไรก็หัดคิดเสียก่อนเถอะ เข้าใจไหม?”

เจิ้งเฉียนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ที่แท้เจ้าสองคนนี้มันก็เป็นเพียงคนขี้โม้ไม่กลัวฟ้าดิน ข้าก็นึกว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากที่ใด ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่า คนเช่นนี้มันย่อมต้องมีในงานชุมนุมโอสถเมฆาให้ได้สิน่า”

“ฮ่าๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนี้เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากรอบทิศขึ้นมาได้

ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ่งใหญ่ปานใด? เขานั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนเทียบเคียงกับเทพสวรรค์ดันหยู่แห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา

ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นตัวตนผู้อยู่ในจุดสูงสุด

แล้วคนเช่นนั้นกลับจะเรียกเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งว่าเป็นพี่น้อง?

จะล้อเล่นกันหนักไปแล้ว!

เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “พูดจบหรือยัง? หากจบแล้วก็ไสหัวไปเสียที”

เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดจะเข้าไปในเมืองชั้นใน? เด็กน้อย เจ้ามีบัตรเชิญโอสถเมฆาหรือ?”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้ามึนงง “บัตรเชิญโอสถเมฆา? คือสิ่งใดกัน?”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงหัวเราะลั่นขึ้น “เจ้านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบัตรเชิญโอสถเมฆามันคือสิ่งใดแต่ยังกล้ามาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆา? ข้าจะบอกเจ้าให้ มีเพียงนักหลอมโอสถที่ถือบัตรเชิญโอสถเมฆาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในเมืองชั้นในได้ ส่วนพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ”

เจิ้งเฉียนเองก็หัวเราะลั่นพูดเสริมขึ้น “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด เสียเวลาอยู่ครึ่งวันสุดท้ายกลับไม่รู้จักเสียแม้แต่บัตรเชิญโอสถเมฆา!”

ในเวลานี้เจิ้งเฉียนยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ว่าเย่หยวนนั้นคงเป็นยอดคนจากตระกูลนักยุทธสักสาย แม้ว่าเขาจะมีวิชาต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโอสถใดๆ

ส่วนเรื่องการควบคุมไฟนั้นหากเป็นนักยุทธที่ฝึกฝนวิชาแนวคิดแห่งไฟแล้วมันก็ย่อมจะสามารถควบคุมไฟได้อย่างเหนือล้ำเช่นกัน

เขานั้นยอมรับว่าวิชาต่อสู้ของเย่หยวนนั้นเป็นสิ่งที่เหนือล้ำ แต่ในงานชุมนุมนักหลอมโอสถเช่นนี้แล้วเขาจะยังอวดอ้างตนใดๆ ได้?

ยอดอัจฉริยะจอมเทพโอสถนั้นไม่คิดจะสนใจเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปอยู่แล้ว

เพราะว่าตัวตนของนักหลอมโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่านักยุทธทั่วๆ ไปมากมายนัก

เจิ้งปู้ฉุนจึงยกมือขึ้นมาโบกไล่ “รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้าเห็นสายตาของคนทั้งหลายหรือไม่? ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตัวตลก ที่แห่งนี้มันคือโลกของนักหลอมโอสถ เจ้านั้น… ไร้ค่าใด!”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยอีกคนนั้นจึงได้หันหน้าไปร้องเรียกทหาร “ผู้บัญชาการกาน ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะหน้าหนา คงต้องรบกวนท่านส่งมันไปหน่อยแล้ว!”

ผู้บัญชาการกานนั้นมองดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนในทันทีด้วยใบหน้าขึงขัง “เชิญกลับไปได้! หากไม่ไปแล้วข้าผู้นี้คงต้องเป็นคนไปส่งเจ้าที่นอกเมือง!”

ผู้บัญชาการกานนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว ย่อมจะมีพลังมากพอที่จะข่มขู่ผู้คน

เย่หยวนมองดูที่ผู้บัญชาการกานก่อนจะหยิบเหรียญออกมา “ข้านั้นไม่มีบัตรเชิญโอสถเมฆาใดๆ นั่น แต่ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?”

………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2018 ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2018 ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สามารถเผาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมจนเกลี้ยงเกลาได้ปานนั้น”

“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก! ข้าก็นึกไปเสียว่าเขาโม้โอ้อวด!”

“ดูท่างานชุมนุมโอสถเมฆามันจะมีเสือหลับมังกรซ่อนเข้ามาร่วมงานเสียแล้ว!”

หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไปทุกผู้คนต่างก็ได้เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความเก่งกาจของวิชาควบคุมไฟที่เย่หยวนใช้

ตอนนี้แม้แต่ตัวเจิ้งเฉียนเองก็ยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเขาโดยตรง ไฟที่เผาไหม้อยู่บนหัวราวเป็นมีดโกนที่ตัดทำลายเส้นผมของเขาจนหมดสิ้น

แต่ตัวเขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ

มันช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง

ดูท่าแล้วแม้แต่พี่ปู้ฉุนก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

เจิ้งเฉียนได้แต่คิดอยู่ในใจ

เมื่อมองดูไปยังทิศทางที่เย่หยวนเดินจากไปเจิ้งเฉียนก็ได้แต่กัดฟันแน่นร้องขึ้น “เจ้าบ้านี่ อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกก็แล้ว! กล้ามาทำให้คนตระกูลเจิ้งเสียหน้าเช่นนี้นายน้อยผู้นี้จะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”

“นายท่าน เมื่อกี้ท่านเท่สุดๆ ไปเลย! หึๆ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็ช่างกล้ามาท้าทายท่าน ไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ” หนิงซืออวี๋ร้องกล่าว

เย่หยวนที่ได้ยินจึงหันมาเหลือกตาใส่นางทันที “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งใด? เจ้าไม่กลัวว่าลิ้นของตนนั้นมันจะขาดลงบ้างหรือ! มหาพิภพถงเทียนนั้นมียอดคนมากมายหลบซ่อนตัวไม่เปิดเผย ใครกันจะกล้าอ้างตัวว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือพวกเขาได้?”

เย่หยวนนั้นมั่นใจ แต่ไม่เคยลืมตัว

มหาพิภพถงเทียนนั้นมันสุดแสนยิ่งใหญ่ยอดอัจฉริยะนั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า

ตำแหน่งของอันดับหนึ่งนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับไว้!

ต่อให้จะขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลแต่ตัวเย่หยวนเองก็เคยพบเจอคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

และขนาดคนเช่นนั้นยังไม่อาจรับชื่ออันดับหนึ่งไปได้จนต้องสร้างหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ขึ้นมา

หนิงซืออวี๋นั้นรู้จักเย่หยวนมานานและย่อมจะรู้ถึงนิสัยของเขาอย่างดีนางจึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียในใจของข้าก็คิดว่าท่านนี่แหละคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ที่สำคัญหากนับกันแค่ในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วใครกันที่จะเทียบเท่าท่านได้? ต่อให้ค้นหาทั้งมหาพิภพถงเทียนเองมันก็คงไม่อาจหาพบเจอหรอกใช่หรือไม่?”

เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้จึงได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาโบกปัดตัดเรื่องทิ้ง ไม่อยากเสียน้ำลายเถียงกับนางผู้นี้อีกต่อไป

ตัวเย่หยวนนั้นได้พาหนยิงซืออวี๋เดินชมรอบๆ เขตเมืองชั้นนอกและหาซื้อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ที่หาได้ยากยิ่งก่อนจะคิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองชั้นในต่อ

และในเส้นทางเข้าสู่เมืองชั้นในนั้นตอนนี้มันได้มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ละคนที่คิดเข้าไปต่างต้องผ่านการตรวจจากคนทั้งหลายนี้

คนทั้งสองนั้นกำลังจะเดินเข้าไปรับการตรวจก่อนที่จะเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟากถนน

และหนึ่งในกลุ่มคนนั้นมีรูปร่างแสนสะดุดตา มันจะเป็นใครไปได้หากมิใช่เจิ้งเฉียน?

เมื่อหนิงซืออวี๋เห็นเจิ้งเฉียนนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครา

นายท่านของนางเองก็ช่างเป็นคนขี้เล่น เผาทำลายเส้นผมของเจิ้งเฉียนและไม่ยอมให้มันงอกกลับมาเสียด้วย

ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กน้อยหัวล้านไป วันหน้าจะยังมีหญิงใดหันมาสนใจอีก?

เจิ้งเฉียนนั้นหันมาพบเห็นพวกเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องทักไว้

“พี่ปู้ฉุน เจ้าหมอนี่แหละที่มันอ้างว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! พี่ต้องล้างแค้นให้ข้า!”

ที่ด้านข้างเจิ้งเฉียนนั้นมันมีชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าตัวเขาหน่อยกำลังจ้องมองมาทางเย่หยวนด้วยใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร

เขาผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ไอ้เด็กที่ขนเพชรยังไม่ทันขึ้นเช่นเจ้าก็กล้ามาเรียกตนว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? เจ้าหรือคือคนที่เผาเส้นผมของน้องเฉียน?”

“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงมาจากบ้านนอกคอกนาไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง คิดว่ามันมีความสามารถเท่านี้ก็เก่งกาจเหนือใครใต้ฟ้าดิน ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้แม้แต่พี่เจิ้งก็ยังไม่เองก็ยังไม่กล้าเรียกตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับกล้าอวดอ้างนามว่าเป็นอันดับหนึ่ง”

ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเย้ยหยัน

เจิ้งเฉียนเองก็ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเย่หยวนเช่นกัน “พี่ปู้ฉุน เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังอวดดีถึงขั้นบอกว่าหากอยากประลองกับมันเราต้องพาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งเราออกมาสู้เอง”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

เด็กคนนี้มันอวดอ้างใดๆ อย่างไม่คิด!

ชายหนุ่มข้างกายเจิ้งปู้ฉุนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางดูถูก “ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลเจิ้งนั้นเป็นใคร? ท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวอาณาจักรเต๋า แค่คนอย่างเจ้านี้ก็กล้าจะมาท้าทายบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง?”

คำพูดทั้งหลายนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีหยุดเอาแต่ว่าดูถูกเย่หยวน ทำให้หนิงซืออวี๋เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

นางนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแล้วมันทำไม? แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูท่านเองก็ยังนับถือนายท่านข้าว่าเป็นพี่น้อง! หรือว่าบรรพบุรุษของเจ้าผู้นี้จะเก่งกาจกว่าท่านเปียวหยู?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายนั้นไม่เพียงแค่มึนงง แต่ยังหัวเราะลั่นกันขึ้นมา

ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “เทพสวรรค์เปียวหยู? หึๆ นังหนู เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา ตำแหน่งของท่านสูงส่งเพียงใด? จะบอกว่าไอ้เด็กคนนี้นับท่านเป็นพี่น้อง? จะโม้อะไรก็หัดคิดเสียก่อนเถอะ เข้าใจไหม?”

เจิ้งเฉียนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ที่แท้เจ้าสองคนนี้มันก็เป็นเพียงคนขี้โม้ไม่กลัวฟ้าดิน ข้าก็นึกว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากที่ใด ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่า คนเช่นนี้มันย่อมต้องมีในงานชุมนุมโอสถเมฆาให้ได้สิน่า”

“ฮ่าๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนี้เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากรอบทิศขึ้นมาได้

ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ่งใหญ่ปานใด? เขานั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนเทียบเคียงกับเทพสวรรค์ดันหยู่แห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา

ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นตัวตนผู้อยู่ในจุดสูงสุด

แล้วคนเช่นนั้นกลับจะเรียกเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งว่าเป็นพี่น้อง?

จะล้อเล่นกันหนักไปแล้ว!

เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “พูดจบหรือยัง? หากจบแล้วก็ไสหัวไปเสียที”

เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดจะเข้าไปในเมืองชั้นใน? เด็กน้อย เจ้ามีบัตรเชิญโอสถเมฆาหรือ?”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้ามึนงง “บัตรเชิญโอสถเมฆา? คือสิ่งใดกัน?”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงหัวเราะลั่นขึ้น “เจ้านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบัตรเชิญโอสถเมฆามันคือสิ่งใดแต่ยังกล้ามาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆา? ข้าจะบอกเจ้าให้ มีเพียงนักหลอมโอสถที่ถือบัตรเชิญโอสถเมฆาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในเมืองชั้นในได้ ส่วนพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ”

เจิ้งเฉียนเองก็หัวเราะลั่นพูดเสริมขึ้น “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด เสียเวลาอยู่ครึ่งวันสุดท้ายกลับไม่รู้จักเสียแม้แต่บัตรเชิญโอสถเมฆา!”

ในเวลานี้เจิ้งเฉียนยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ว่าเย่หยวนนั้นคงเป็นยอดคนจากตระกูลนักยุทธสักสาย แม้ว่าเขาจะมีวิชาต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโอสถใดๆ

ส่วนเรื่องการควบคุมไฟนั้นหากเป็นนักยุทธที่ฝึกฝนวิชาแนวคิดแห่งไฟแล้วมันก็ย่อมจะสามารถควบคุมไฟได้อย่างเหนือล้ำเช่นกัน

เขานั้นยอมรับว่าวิชาต่อสู้ของเย่หยวนนั้นเป็นสิ่งที่เหนือล้ำ แต่ในงานชุมนุมนักหลอมโอสถเช่นนี้แล้วเขาจะยังอวดอ้างตนใดๆ ได้?

ยอดอัจฉริยะจอมเทพโอสถนั้นไม่คิดจะสนใจเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปอยู่แล้ว

เพราะว่าตัวตนของนักหลอมโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่านักยุทธทั่วๆ ไปมากมายนัก

เจิ้งปู้ฉุนจึงยกมือขึ้นมาโบกไล่ “รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้าเห็นสายตาของคนทั้งหลายหรือไม่? ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตัวตลก ที่แห่งนี้มันคือโลกของนักหลอมโอสถ เจ้านั้น… ไร้ค่าใด!”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยอีกคนนั้นจึงได้หันหน้าไปร้องเรียกทหาร “ผู้บัญชาการกาน ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะหน้าหนา คงต้องรบกวนท่านส่งมันไปหน่อยแล้ว!”

ผู้บัญชาการกานนั้นมองดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนในทันทีด้วยใบหน้าขึงขัง “เชิญกลับไปได้! หากไม่ไปแล้วข้าผู้นี้คงต้องเป็นคนไปส่งเจ้าที่นอกเมือง!”

ผู้บัญชาการกานนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว ย่อมจะมีพลังมากพอที่จะข่มขู่ผู้คน

เย่หยวนมองดูที่ผู้บัญชาการกานก่อนจะหยิบเหรียญออกมา “ข้านั้นไม่มีบัตรเชิญโอสถเมฆาใดๆ นั่น แต่ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?”

………………………..

“ช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สามารถเผาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมจนเกลี้ยงเกลาได้ปานนั้น”

“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก! ข้าก็นึกไปเสียว่าเขาโม้โอ้อวด!”

“ดูท่างานชุมนุมโอสถเมฆามันจะมีเสือหลับมังกรซ่อนเข้ามาร่วมงานเสียแล้ว!”

หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไปทุกผู้คนต่างก็ได้เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความเก่งกาจของวิชาควบคุมไฟที่เย่หยวนใช้

ตอนนี้แม้แต่ตัวเจิ้งเฉียนเองก็ยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเขาโดยตรง ไฟที่เผาไหม้อยู่บนหัวราวเป็นมีดโกนที่ตัดทำลายเส้นผมของเขาจนหมดสิ้น

แต่ตัวเขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ

มันช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง

ดูท่าแล้วแม้แต่พี่ปู้ฉุนก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

เจิ้งเฉียนได้แต่คิดอยู่ในใจ

เมื่อมองดูไปยังทิศทางที่เย่หยวนเดินจากไปเจิ้งเฉียนก็ได้แต่กัดฟันแน่นร้องขึ้น “เจ้าบ้านี่ อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกก็แล้ว! กล้ามาทำให้คนตระกูลเจิ้งเสียหน้าเช่นนี้นายน้อยผู้นี้จะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”

“นายท่าน เมื่อกี้ท่านเท่สุดๆ ไปเลย! หึๆ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็ช่างกล้ามาท้าทายท่าน ไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ” หนิงซืออวี๋ร้องกล่าว

เย่หยวนที่ได้ยินจึงหันมาเหลือกตาใส่นางทันที “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งใด? เจ้าไม่กลัวว่าลิ้นของตนนั้นมันจะขาดลงบ้างหรือ! มหาพิภพถงเทียนนั้นมียอดคนมากมายหลบซ่อนตัวไม่เปิดเผย ใครกันจะกล้าอ้างตัวว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือพวกเขาได้?”

เย่หยวนนั้นมั่นใจ แต่ไม่เคยลืมตัว

มหาพิภพถงเทียนนั้นมันสุดแสนยิ่งใหญ่ยอดอัจฉริยะนั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า

ตำแหน่งของอันดับหนึ่งนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับไว้!

ต่อให้จะขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลแต่ตัวเย่หยวนเองก็เคยพบเจอคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

และขนาดคนเช่นนั้นยังไม่อาจรับชื่ออันดับหนึ่งไปได้จนต้องสร้างหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ขึ้นมา

หนิงซืออวี๋นั้นรู้จักเย่หยวนมานานและย่อมจะรู้ถึงนิสัยของเขาอย่างดีนางจึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียในใจของข้าก็คิดว่าท่านนี่แหละคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ที่สำคัญหากนับกันแค่ในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วใครกันที่จะเทียบเท่าท่านได้? ต่อให้ค้นหาทั้งมหาพิภพถงเทียนเองมันก็คงไม่อาจหาพบเจอหรอกใช่หรือไม่?”

เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้จึงได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาโบกปัดตัดเรื่องทิ้ง ไม่อยากเสียน้ำลายเถียงกับนางผู้นี้อีกต่อไป

ตัวเย่หยวนนั้นได้พาหนยิงซืออวี๋เดินชมรอบๆ เขตเมืองชั้นนอกและหาซื้อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ที่หาได้ยากยิ่งก่อนจะคิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองชั้นในต่อ

และในเส้นทางเข้าสู่เมืองชั้นในนั้นตอนนี้มันได้มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ละคนที่คิดเข้าไปต่างต้องผ่านการตรวจจากคนทั้งหลายนี้

คนทั้งสองนั้นกำลังจะเดินเข้าไปรับการตรวจก่อนที่จะเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟากถนน

และหนึ่งในกลุ่มคนนั้นมีรูปร่างแสนสะดุดตา มันจะเป็นใครไปได้หากมิใช่เจิ้งเฉียน?

เมื่อหนิงซืออวี๋เห็นเจิ้งเฉียนนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครา

นายท่านของนางเองก็ช่างเป็นคนขี้เล่น เผาทำลายเส้นผมของเจิ้งเฉียนและไม่ยอมให้มันงอกกลับมาเสียด้วย

ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กน้อยหัวล้านไป วันหน้าจะยังมีหญิงใดหันมาสนใจอีก?

เจิ้งเฉียนนั้นหันมาพบเห็นพวกเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องทักไว้

“พี่ปู้ฉุน เจ้าหมอนี่แหละที่มันอ้างว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! พี่ต้องล้างแค้นให้ข้า!”

ที่ด้านข้างเจิ้งเฉียนนั้นมันมีชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าตัวเขาหน่อยกำลังจ้องมองมาทางเย่หยวนด้วยใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร

เขาผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ไอ้เด็กที่ขนเพชรยังไม่ทันขึ้นเช่นเจ้าก็กล้ามาเรียกตนว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? เจ้าหรือคือคนที่เผาเส้นผมของน้องเฉียน?”

“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงมาจากบ้านนอกคอกนาไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง คิดว่ามันมีความสามารถเท่านี้ก็เก่งกาจเหนือใครใต้ฟ้าดิน ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้แม้แต่พี่เจิ้งก็ยังไม่เองก็ยังไม่กล้าเรียกตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับกล้าอวดอ้างนามว่าเป็นอันดับหนึ่ง”

ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเย้ยหยัน

เจิ้งเฉียนเองก็ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเย่หยวนเช่นกัน “พี่ปู้ฉุน เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังอวดดีถึงขั้นบอกว่าหากอยากประลองกับมันเราต้องพาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งเราออกมาสู้เอง”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา

เด็กคนนี้มันอวดอ้างใดๆ อย่างไม่คิด!

ชายหนุ่มข้างกายเจิ้งปู้ฉุนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางดูถูก “ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลเจิ้งนั้นเป็นใคร? ท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวอาณาจักรเต๋า แค่คนอย่างเจ้านี้ก็กล้าจะมาท้าทายบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง?”

คำพูดทั้งหลายนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีหยุดเอาแต่ว่าดูถูกเย่หยวน ทำให้หนิงซืออวี๋เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป

นางนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแล้วมันทำไม? แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูท่านเองก็ยังนับถือนายท่านข้าว่าเป็นพี่น้อง! หรือว่าบรรพบุรุษของเจ้าผู้นี้จะเก่งกาจกว่าท่านเปียวหยู?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายนั้นไม่เพียงแค่มึนงง แต่ยังหัวเราะลั่นกันขึ้นมา

ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “เทพสวรรค์เปียวหยู? หึๆ นังหนู เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา ตำแหน่งของท่านสูงส่งเพียงใด? จะบอกว่าไอ้เด็กคนนี้นับท่านเป็นพี่น้อง? จะโม้อะไรก็หัดคิดเสียก่อนเถอะ เข้าใจไหม?”

เจิ้งเฉียนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ที่แท้เจ้าสองคนนี้มันก็เป็นเพียงคนขี้โม้ไม่กลัวฟ้าดิน ข้าก็นึกว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากที่ใด ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่า คนเช่นนี้มันย่อมต้องมีในงานชุมนุมโอสถเมฆาให้ได้สิน่า”

“ฮ่าๆ!”

คำพูดของคนทั้งสองนี้เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากรอบทิศขึ้นมาได้

ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ่งใหญ่ปานใด? เขานั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนเทียบเคียงกับเทพสวรรค์ดันหยู่แห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา

ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นตัวตนผู้อยู่ในจุดสูงสุด

แล้วคนเช่นนั้นกลับจะเรียกเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งว่าเป็นพี่น้อง?

จะล้อเล่นกันหนักไปแล้ว!

เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “พูดจบหรือยัง? หากจบแล้วก็ไสหัวไปเสียที”

เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดจะเข้าไปในเมืองชั้นใน? เด็กน้อย เจ้ามีบัตรเชิญโอสถเมฆาหรือ?”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้ามึนงง “บัตรเชิญโอสถเมฆา? คือสิ่งใดกัน?”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงหัวเราะลั่นขึ้น “เจ้านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบัตรเชิญโอสถเมฆามันคือสิ่งใดแต่ยังกล้ามาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆา? ข้าจะบอกเจ้าให้ มีเพียงนักหลอมโอสถที่ถือบัตรเชิญโอสถเมฆาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในเมืองชั้นในได้ ส่วนพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ”

เจิ้งเฉียนเองก็หัวเราะลั่นพูดเสริมขึ้น “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด เสียเวลาอยู่ครึ่งวันสุดท้ายกลับไม่รู้จักเสียแม้แต่บัตรเชิญโอสถเมฆา!”

ในเวลานี้เจิ้งเฉียนยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ว่าเย่หยวนนั้นคงเป็นยอดคนจากตระกูลนักยุทธสักสาย แม้ว่าเขาจะมีวิชาต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโอสถใดๆ

ส่วนเรื่องการควบคุมไฟนั้นหากเป็นนักยุทธที่ฝึกฝนวิชาแนวคิดแห่งไฟแล้วมันก็ย่อมจะสามารถควบคุมไฟได้อย่างเหนือล้ำเช่นกัน

เขานั้นยอมรับว่าวิชาต่อสู้ของเย่หยวนนั้นเป็นสิ่งที่เหนือล้ำ แต่ในงานชุมนุมนักหลอมโอสถเช่นนี้แล้วเขาจะยังอวดอ้างตนใดๆ ได้?

ยอดอัจฉริยะจอมเทพโอสถนั้นไม่คิดจะสนใจเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปอยู่แล้ว

เพราะว่าตัวตนของนักหลอมโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่านักยุทธทั่วๆ ไปมากมายนัก

เจิ้งปู้ฉุนจึงยกมือขึ้นมาโบกไล่ “รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้าเห็นสายตาของคนทั้งหลายหรือไม่? ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตัวตลก ที่แห่งนี้มันคือโลกของนักหลอมโอสถ เจ้านั้น… ไร้ค่าใด!”

ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยอีกคนนั้นจึงได้หันหน้าไปร้องเรียกทหาร “ผู้บัญชาการกาน ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะหน้าหนา คงต้องรบกวนท่านส่งมันไปหน่อยแล้ว!”

ผู้บัญชาการกานนั้นมองดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนในทันทีด้วยใบหน้าขึงขัง “เชิญกลับไปได้! หากไม่ไปแล้วข้าผู้นี้คงต้องเป็นคนไปส่งเจ้าที่นอกเมือง!”

ผู้บัญชาการกานนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว ย่อมจะมีพลังมากพอที่จะข่มขู่ผู้คน

เย่หยวนมองดูที่ผู้บัญชาการกานก่อนจะหยิบเหรียญออกมา “ข้านั้นไม่มีบัตรเชิญโอสถเมฆาใดๆ นั่น แต่ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?”

………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+