Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2101 ข้าคือคู่ปรับของเขา

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2101 ข้าคือคู่ปรับของเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฮ่า ๆ! ก้าวข้ามท่านขนแดง? แค่ลำพังตัวเจ้านี้?”

กงหยางเลี่ยนั้นหัวเราะลั่นราวกับว่าได้ยินเรื่องราวสุดแสนตลกเหนือล้ำ ใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูกอย่างมาก

คนระดับมหานักบวชขนแดงนั้นคือยอดคนปานใด? กงหยางเลี่ยนั้นติดตามรับใช้เขามาแสนนานและได้แต่ยอมรับนับถือเขาอย่างหมดหัวใจ

แปดล้านปีก่อน มหานักบวชขนแดงได้ก้าวขึ้นมาจากผืนดินเอาชนะผู้คนไปทั่วอาณาจักรเทพอสูรด้วยความเก่งกาจสามารถของเขา

จากนั้นเมื่อไม่มีใครในรุ่นเดียวกันเอาชนะเขาได้อีกต่อไป เขาก็ได้เข้าไปท้าทาย หมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ จนทำให้ชื่อเสียงดังลั่นสนั่นทั้งแผ่นดินขึ้นอีกครั้ง!

ในเวลาแปดล้านปีมานี้มหานักบวชขนแดงได้ติดตามเรียนรู้วิชาจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจนทำให้วิชาการโอสถของเขามันเหนือล้ำก้าวหน้าไปอย่างมากมาย

แต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้กลับบอกว่าจะก้าวข้ามมหานักบวชขนแดง?

มันเรื่องตลกชัด ๆ!

แม้ต่อให้ตัวเขาจะมียอดพรสวรรค์เรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามหานักบวชขนแดงไปมาก แต่หากคิดจะก้าวข้ามคนที่เดินนำมาก่อนนับล้าน ๆ ปีเช่นนี้มันย่อมจะต้องใช้เวลาอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ไม่ว่าจะอย่างไรเสียหากสิบล้านปีจากนี้เขาไปพูดว่าเมื่อก่อนเคยบอกว่าจะก้าวข้ามมหานักบวชขนแดงไป ใคร ๆ ก็คงจะเชื่อ แต่เรื่องราวอีกนับสิบล้านปีจากนี้ คนในปัจจุบันมันจะมีใครสน?

ซินหลัวและพวกเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างเต็มที่ไม่มีการปิดปัง ดูท่ามันคงไม่มีใครจะเชื่อคำพูดนี้ของเย่หยวน

“หึ ๆ ใช่แหละ ให้เวลาเขาอีกแปดล้านปีบางทีเขาอาจจะก้าวทันมหานักบวชขนแดงได้”

“ท่านรองมหาปราชญ์ช่างเก่งล้ำ! เพียงแค่ว่าปากเช่นนี้ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาชีวิตรอดไปอีกแปดล้านปีได้หรือไม่!”

“หลังจากนี้แปดล้านปีข้าจะก้าวข้ามโอสถบรรพกาลให้ดู! ไม่ว่าอย่างไรเสียการโม้มันก็ไม่เคยมีโทษถึงตายอยู่แล้ว!”

เหล่าเทพสวรรค์นั้นได้แต่แสดงใบหน้าท่าทางเหยียดหยามออกมา คำพูดที่กล่าวออกมานั้นมันมีน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างชัดเจน

เย่หยวนยังคงรักษาใบหน้านิ่งเรียบของตนไว้และตอบคำถามกลับไปด้วยคำถามแทน “พวกเจ้าทั้งหลายเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้ตั้งคนไม่มีที่มาที่ไปอย่างข้าขึ้นเป็นรองมหาปราชญ์? เขานั้นให้ค่าพรสวรรค์ของข้ามากจริง ๆ หรือว่าแท้จริงแล้วเขาแค่แก่จนเลอะเลือน?”

“เรื่องนั้น…” กงหยางเลี่ยนั้นต้องผงะไปกับคำถามนั้นทันทีเพราะตัวเขาไม่เคยจะคิดไปถึงจุดนั้น

มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นย่อมมีความคิดที่แตกต่างอย่างที่เขาไม่อาจคาดเดาทำความเข้าใจได้

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะทำความเข้าใจเจตจำนงของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเลย

ตอนนี้เมื่อถูกเย่หยวนถามเข้าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างต้องเงียบปากลง ได้แต่รอฟังมันอย่างหูตั้ง

ดูท่าแล้วคำถามนี้พวกเขาทั้งหลายก็คงได้แต่คิดมันอยู่ในใจมาแสนนาน

เย่หยวนกล่าวขึ้นต่อ “เมื่อขึ้นไปถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วตัวเขายังจะต้องการสิ่งใด? แน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นยอดของเต๋าโอสถเพียงเท่านั้น! เขานั้นได้ไปถามโอสถบรรพกาลว่าเต๋านั้นคือสิ่งใด แต่โอสถบรรพกาลกลับเลี่ยงคำถามด้วยคำว่า ‘อย่าถาม’ สองคำนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้หันหน้ามาถามโลกหล้าว่าเต๋ามันคือสิ่งใด! เขานั้นตามหาคำตอบนั้นมานับล้าน ๆ ปีและในที่สุดเขาก็ตามหาคนที่จะสนทนาเรื่องนี้กับเขาได้! และมันผู้นั้นก็คือข้า!”

เย่หยวนนั้นจ้องมองคนทั้งหลายด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมตอกหน้าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายไป “นาม ‘รองมหาปราชญ์’ นี้มันเป็นสิ่งที่เขาหวัง หวังว่าข้าจะขึ้นไปนั่งโต้เรื่องเต๋ากับเขาได้! พวกเจ้าทั้งหลายเข้าใจหรือไม่?”

ภายในห้องโถงนั้นมันเกิดความเงียบงันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาทั้งหลายนั้นได้แต่ตกตะลึงกับความโอหังของเย่หยวนจนไม่อาจจะพูดใด ๆ ได้

พวกเขานั้นไม่ได้นับถือว่าคำพูดของเย่หยวนเป็นความจริงแต่อย่างใด เพียงแค่ว่าพวกเขาตกตะลึงกับความโอหังของเย่หยวน

ตัวตนระดับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือใคร?

สำหรับเผ่าอสูรแล้ว ตัวเขามันก็คือเทพเจ้าดี ๆ นี่เอง!

ตัวเขานั้นสร้างจักรพรรดิเทพสวรรค์ขึ้นมามากมายมหาศาลด้วยมือของตน!

เวลานี้ยอดค่ายสำนักต่าง ๆ ในเผ่าอสูรต่างจะยกย่องมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นดั่งเทพเจ้าผู้ปกครองโลกา

แม้ว่าตัวเหล่าศิษย์ทั้งหลายเองก็เป็นถึงยอดคนผู้ปกครองดินแดนกว้างใหญ่ แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหัวลงกราบเท้ารับเขาเป็นอาจารย์ ไม่มีใครกล้าพูดจาว่าจะเป็นคู่ปรับคู่แข่งของเขาได้

ตอนนี้มันกลับมีเทพถ่องแท้น้อย ๆ คนหนึ่งมาพูดอ้างตัวจะเป็นคู่แข่งของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

มันเป็นความโอหังที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนลืมคำพูด!

“อ-โอหัง! อวดดีนัก! มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือยอดฝีมือที่คนทั้งมหาพิภพถงเทียนยกให้เป็นยอดคนอับดับสองแห่งเต๋าโอสถ! หลายต่อหลายล้านปีมานี้มันไม่มีใครกล้าจะท้าทายท่าน เจ้านี้กลับบอกว่าตนจะขึ้นไปเป็นคู่แข่งของท่านหรือ?” กงหยางเลี่ยร้องบอก

แต่เย่หยวนกลับส่ายหัวออกมา “ห่านมันจะมาเข้าใจหงส์ได้อย่างไร! ไม่ว่ายอดฝีมือจะเก่งกาจปานใดพวกเขาเองก็ล้วนก้าวขึ้นมาจากความอ่อนแอ! พวกเจ้านั้นไม่มีปัญญาจะคิดถึงแม้เรื่องนั้น แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหลายย่อมจะไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้ เส้นทางของยอดคนนั้นมันแสนเดียวดาย เรื่องนั้นเองพวกเจ้าก็คงไม่อาจเข้าใจได้”

เย่หยวนนั้นแค่กล่าวถึงความเป็นจริงในโลกหล้าออกมาแต่คำพูดนี้มันกลับฟังดูโอหังอวดดีเมื่อไปเข้าหูของเหล่าผู้คนทั้งหลาย ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วเด็กคนนี้มันคงเสียสติไปแล้ว

เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายได้แต่ยืนนิ่งอย่างมึนงง!

เดิมทีตอนที่เย่หยวนบอกว่าจะก้าวล้ำมหานักบวชขนแดงขึ้นไป พวกเขาต่างคิดตื่นตะลึงไปตาม ๆ กัน

ตอนนี้เมื่อเย่หยวนบอกชื่อนามของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลออกมา เขากลับอ้างตัวว่าจะเป็นคู่แข่งคู่ปรับกับตัวเขาผู้นั้น

“หึ ๆ เจ้าพวกฝูงกบในกะลา พูดกับพวกเจ้าทั้งหลายไปพวกเจ้าก็ใม่อาจจะเข้าใจได้ กงหยางเลี่ย เจ้าอยากจะจัดการข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า! วันนี้ข้าจะขอประลองวิชาเต๋ากับเหล่านักบวชเจ็ดดาวทั้งหลายในที่นี้เอง หากมันมีใครในหมู่พวกเจ้าที่สามารถล้มข้าลงได้ ข้าจะออกจากอาณาจักรเทพอสูรไปและไม่กลับมาเหยียบดินแดนนี้อีกชั่วชีวิต!” เย่หยวนบอก

เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวทางกงหยางเลี่ยก็ต้องเบิกตากว้าง

เพราะตัวเขานั้นไม่พอใจในท่าทางโอหังนี้มานาน เมื่ออีกฝ่ายคิดอยากหาเรื่องใส่ตัวเองถึงขั้นบอกว่าจะไม่เหยียบเข้าอาณาจักรเทพอสูรมาอีก แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็คงจะมาโทษตัวเขาไม่ได้แล้ว

ซินหลัวที่ได้ยินต้องหรี่ตาลงมอง “ท่านรองมหาปราชญ์ นี่ท่านพูดเองนะ!”

เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ข้านี่แหละพูด! หากวันนี้มีพวกเจ้าคนใดเอาชนะข้าได้ ข้าเองก็คงไม่หน้าด้านจะรับนามรองมหาปราชญ์นี้ไว้เช่นกัน!”

ซินหลัวหัวเราะขึ้นมาทันที “ท่านรองมหาปราชญ์กล่าวได้ดี! แต่วิชาความสามารถของนักบวชเจ็ดดาวนั้นมันมิใช่สิ่งที่ท่านจะคาดเดาได้หรอก!”

เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “พลังฝีมือของข้าเองก็มิใช่สิ่งที่สมองน้อย ๆ ของเจ้าจะคาดคิดได้เช่นกัน!”

ซินหลัวที่ได้ยินจึงหันไปหาเทพสวรรค์ผู้หนึ่งในกลุ่มคน “หากเป็นเช่นนั้นแล้วนักบวชมู่เฉิน เจ้าออกมารับการสั่งสอนจากท่านรองมหาปราชญ์เสียหน่อย”

เทพสวรรค์มู่เฉินที่ได้ยินก็หัวเราะออกมา “ข้าน้อมรับคำสั่ง! เพียงแต่ว่า… สิ่งที่เราจะประลองกันนั้นมันย่อมจะเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ท่านรองมหาปราชญ์จะมาประลองโอสถศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์กับข้าคงไม่ได้ เพราะเทพสวรรค์ผู้นี้หลอมมันไม่เป็น”

เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวมันย่อมจะทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นไม่ขาดสาย

เย่หยวนย่อมจะพยักหน้ารับและตอบไป “วางใจเถอะ เราจะประลองโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์กันแน่”

โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์และโอสถศักดิ์สิทธิ์นั้น สำหรับเย่หยวนในเวลานี้แล้วมันย่อมจะไม่แตกต่างกันมากมาย

เพราะสุดท้ายเส้นทางใด ๆ มันก็นำไปสู่ยอดเต๋า

ไม่ว่าจะเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือโอสถศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายมันเองก็เป็นแค่เส้นทางย่อยของเต๋าโอสถทั้งสิ้น เหมือนดั่งเต๋าโอสถและเต๋าพิษก็เป็นเช่นเดียวกัน

ภายในวิหารนักบวชนั้นการจะเตรียมหลอมโอสถมันย่อมเป็นเรื่องง่ายดายไม่ยากเย็นใด ๆ ไม่นานพวกซินหลัวทั้งหลายก็เตรียมห้องหลอมพร้อมประลองเรียบร้อย

ระหว่างที่พวกเย่หยวนทั้งสองกำลังเตรียมตัวจะหลอมโอสถทางกงหยางเลี่ยก็ได้เข้ามากระซิบกับซินหลัว “มู่เฉินเก่งกาจหรือไม่? เขาต้องไม่ทำให้มหานักบวชขนแดงต้องเสียชื่อนะ!”

ซินหลัวจึงยิ้มตอบกลับไป “นายท่านโปรดวางใจเถอะ น้องมู่เฉินนั้นเป็นผู้มีกายไม้วิญญาณเป็นทุน ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านโอสถที่เหนือล้ำ นอกจากนั้นแล้วเขายังก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลาย ในหมู่คนทั้งหลายนั้นเขาเองก็นับเป็นอับดับหนึ่งในสิบได้ มีหรือที่จะไม่สามารถจัดการนักบวชหกดาวลงได้?”

กงหยางเลี่ยจึงได้พยักหน้าออกมาด้วยความวางใจ

แม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ได้เป็นนักบวช แต่เมื่อได้ติดตามมหานักบวชขนแดงมานานปี เขาก็ย่อมพอจะเข้าใจถึงระดับขั้นความเก่งกาจของนักบวชได้ไม่ยาก

คนที่อยู่ถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลายนั้นมันย่อมจะนับเป็นยอดฝีมือในการโอสถ

และดูจากอายุของเย่หยวนแล้วต่อให้จะมีพรสวรรค์ล้นฟ้าปานใด แม้จะขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลายได้แต่มันก็คงไม่อาจจะเทียบมู่เฉินได้

ภายใต้สายตาของคนทั้งหลายนั้นพวกเย่หยวนทั้งสองคนจึงได้เริ่มลงมือทำการหลอมโอสถ

ปัง!

ทางเทพสวรรค์มู่เฉินได้มีกายไม้วิญญาณเป็นทุนทำให้การหลอมโอสถของเขานั้นมีพลังรุนแรงลึกล้ำมาก

เมื่อเขาปล่อยคลื่นพลังการหลอมออกมาสมุนไพรใด ๆ ในหม้อมันย่อมจะเชื่อฟังเขาราวกับเป็นลูก

ศาสตร์หลอมอสูรของตัวเขาเองก็เก่งกาจขึ้นจนถึงขั้นอาจารย์

แต่เมื่อสายตาของทุกผู้หันไปมองที่เย่หยวน พวกเขากลับต้องร้องขึ้นอย่างไม่อาจห้ามใจ

“ช่างเป็นศาสตร์หลอมอสูรที่เฉียบคมนัก! มนุษย์จะบ่มเพาะศาสตร์หลอมอสูรขึ้นมาจนถึงระดับนี้ได้อย่างไร?” ซินหลัวได้แต่ร้องขึ้น

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ 2101 ข้าคือคู่ปรับของเขา

Now you are reading Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ Chapter 2101 ข้าคือคู่ปรับของเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฮ่า ๆ! ก้าวข้ามท่านขนแดง? แค่ลำพังตัวเจ้านี้?”

กงหยางเลี่ยนั้นหัวเราะลั่นราวกับว่าได้ยินเรื่องราวสุดแสนตลกเหนือล้ำ ใบหน้าของเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูกอย่างมาก

คนระดับมหานักบวชขนแดงนั้นคือยอดคนปานใด? กงหยางเลี่ยนั้นติดตามรับใช้เขามาแสนนานและได้แต่ยอมรับนับถือเขาอย่างหมดหัวใจ

แปดล้านปีก่อน มหานักบวชขนแดงได้ก้าวขึ้นมาจากผืนดินเอาชนะผู้คนไปทั่วอาณาจักรเทพอสูรด้วยความเก่งกาจสามารถของเขา

จากนั้นเมื่อไม่มีใครในรุ่นเดียวกันเอาชนะเขาได้อีกต่อไป เขาก็ได้เข้าไปท้าทาย หมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ จนทำให้ชื่อเสียงดังลั่นสนั่นทั้งแผ่นดินขึ้นอีกครั้ง!

ในเวลาแปดล้านปีมานี้มหานักบวชขนแดงได้ติดตามเรียนรู้วิชาจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจนทำให้วิชาการโอสถของเขามันเหนือล้ำก้าวหน้าไปอย่างมากมาย

แต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้กลับบอกว่าจะก้าวข้ามมหานักบวชขนแดง?

มันเรื่องตลกชัด ๆ!

แม้ต่อให้ตัวเขาจะมียอดพรสวรรค์เรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามหานักบวชขนแดงไปมาก แต่หากคิดจะก้าวข้ามคนที่เดินนำมาก่อนนับล้าน ๆ ปีเช่นนี้มันย่อมจะต้องใช้เวลาอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ไม่ว่าจะอย่างไรเสียหากสิบล้านปีจากนี้เขาไปพูดว่าเมื่อก่อนเคยบอกว่าจะก้าวข้ามมหานักบวชขนแดงไป ใคร ๆ ก็คงจะเชื่อ แต่เรื่องราวอีกนับสิบล้านปีจากนี้ คนในปัจจุบันมันจะมีใครสน?

ซินหลัวและพวกเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางดูถูกเหยียดหยามออกมาอย่างเต็มที่ไม่มีการปิดปัง ดูท่ามันคงไม่มีใครจะเชื่อคำพูดนี้ของเย่หยวน

“หึ ๆ ใช่แหละ ให้เวลาเขาอีกแปดล้านปีบางทีเขาอาจจะก้าวทันมหานักบวชขนแดงได้”

“ท่านรองมหาปราชญ์ช่างเก่งล้ำ! เพียงแค่ว่าปากเช่นนี้ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาชีวิตรอดไปอีกแปดล้านปีได้หรือไม่!”

“หลังจากนี้แปดล้านปีข้าจะก้าวข้ามโอสถบรรพกาลให้ดู! ไม่ว่าอย่างไรเสียการโม้มันก็ไม่เคยมีโทษถึงตายอยู่แล้ว!”

เหล่าเทพสวรรค์นั้นได้แต่แสดงใบหน้าท่าทางเหยียดหยามออกมา คำพูดที่กล่าวออกมานั้นมันมีน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างชัดเจน

เย่หยวนยังคงรักษาใบหน้านิ่งเรียบของตนไว้และตอบคำถามกลับไปด้วยคำถามแทน “พวกเจ้าทั้งหลายเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจึงได้ตั้งคนไม่มีที่มาที่ไปอย่างข้าขึ้นเป็นรองมหาปราชญ์? เขานั้นให้ค่าพรสวรรค์ของข้ามากจริง ๆ หรือว่าแท้จริงแล้วเขาแค่แก่จนเลอะเลือน?”

“เรื่องนั้น…” กงหยางเลี่ยนั้นต้องผงะไปกับคำถามนั้นทันทีเพราะตัวเขาไม่เคยจะคิดไปถึงจุดนั้น

มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นย่อมมีความคิดที่แตกต่างอย่างที่เขาไม่อาจคาดเดาทำความเข้าใจได้

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะทำความเข้าใจเจตจำนงของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเลย

ตอนนี้เมื่อถูกเย่หยวนถามเข้าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต่างต้องเงียบปากลง ได้แต่รอฟังมันอย่างหูตั้ง

ดูท่าแล้วคำถามนี้พวกเขาทั้งหลายก็คงได้แต่คิดมันอยู่ในใจมาแสนนาน

เย่หยวนกล่าวขึ้นต่อ “เมื่อขึ้นไปถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วตัวเขายังจะต้องการสิ่งใด? แน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นยอดของเต๋าโอสถเพียงเท่านั้น! เขานั้นได้ไปถามโอสถบรรพกาลว่าเต๋านั้นคือสิ่งใด แต่โอสถบรรพกาลกลับเลี่ยงคำถามด้วยคำว่า ‘อย่าถาม’ สองคำนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้หันหน้ามาถามโลกหล้าว่าเต๋ามันคือสิ่งใด! เขานั้นตามหาคำตอบนั้นมานับล้าน ๆ ปีและในที่สุดเขาก็ตามหาคนที่จะสนทนาเรื่องนี้กับเขาได้! และมันผู้นั้นก็คือข้า!”

เย่หยวนนั้นจ้องมองคนทั้งหลายด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมตอกหน้าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายไป “นาม ‘รองมหาปราชญ์’ นี้มันเป็นสิ่งที่เขาหวัง หวังว่าข้าจะขึ้นไปนั่งโต้เรื่องเต๋ากับเขาได้! พวกเจ้าทั้งหลายเข้าใจหรือไม่?”

ภายในห้องโถงนั้นมันเกิดความเงียบงันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาทั้งหลายนั้นได้แต่ตกตะลึงกับความโอหังของเย่หยวนจนไม่อาจจะพูดใด ๆ ได้

พวกเขานั้นไม่ได้นับถือว่าคำพูดของเย่หยวนเป็นความจริงแต่อย่างใด เพียงแค่ว่าพวกเขาตกตะลึงกับความโอหังของเย่หยวน

ตัวตนระดับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือใคร?

สำหรับเผ่าอสูรแล้ว ตัวเขามันก็คือเทพเจ้าดี ๆ นี่เอง!

ตัวเขานั้นสร้างจักรพรรดิเทพสวรรค์ขึ้นมามากมายมหาศาลด้วยมือของตน!

เวลานี้ยอดค่ายสำนักต่าง ๆ ในเผ่าอสูรต่างจะยกย่องมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นดั่งเทพเจ้าผู้ปกครองโลกา

แม้ว่าตัวเหล่าศิษย์ทั้งหลายเองก็เป็นถึงยอดคนผู้ปกครองดินแดนกว้างใหญ่ แต่เมื่อไปอยู่ต่อหน้ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหัวลงกราบเท้ารับเขาเป็นอาจารย์ ไม่มีใครกล้าพูดจาว่าจะเป็นคู่ปรับคู่แข่งของเขาได้

ตอนนี้มันกลับมีเทพถ่องแท้น้อย ๆ คนหนึ่งมาพูดอ้างตัวจะเป็นคู่แข่งของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล

มันเป็นความโอหังที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนลืมคำพูด!

“อ-โอหัง! อวดดีนัก! มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคือยอดฝีมือที่คนทั้งมหาพิภพถงเทียนยกให้เป็นยอดคนอับดับสองแห่งเต๋าโอสถ! หลายต่อหลายล้านปีมานี้มันไม่มีใครกล้าจะท้าทายท่าน เจ้านี้กลับบอกว่าตนจะขึ้นไปเป็นคู่แข่งของท่านหรือ?” กงหยางเลี่ยร้องบอก

แต่เย่หยวนกลับส่ายหัวออกมา “ห่านมันจะมาเข้าใจหงส์ได้อย่างไร! ไม่ว่ายอดฝีมือจะเก่งกาจปานใดพวกเขาเองก็ล้วนก้าวขึ้นมาจากความอ่อนแอ! พวกเจ้านั้นไม่มีปัญญาจะคิดถึงแม้เรื่องนั้น แน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งหลายย่อมจะไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้ เส้นทางของยอดคนนั้นมันแสนเดียวดาย เรื่องนั้นเองพวกเจ้าก็คงไม่อาจเข้าใจได้”

เย่หยวนนั้นแค่กล่าวถึงความเป็นจริงในโลกหล้าออกมาแต่คำพูดนี้มันกลับฟังดูโอหังอวดดีเมื่อไปเข้าหูของเหล่าผู้คนทั้งหลาย ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วเด็กคนนี้มันคงเสียสติไปแล้ว

เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายได้แต่ยืนนิ่งอย่างมึนงง!

เดิมทีตอนที่เย่หยวนบอกว่าจะก้าวล้ำมหานักบวชขนแดงขึ้นไป พวกเขาต่างคิดตื่นตะลึงไปตาม ๆ กัน

ตอนนี้เมื่อเย่หยวนบอกชื่อนามของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลออกมา เขากลับอ้างตัวว่าจะเป็นคู่แข่งคู่ปรับกับตัวเขาผู้นั้น

“หึ ๆ เจ้าพวกฝูงกบในกะลา พูดกับพวกเจ้าทั้งหลายไปพวกเจ้าก็ใม่อาจจะเข้าใจได้ กงหยางเลี่ย เจ้าอยากจะจัดการข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า! วันนี้ข้าจะขอประลองวิชาเต๋ากับเหล่านักบวชเจ็ดดาวทั้งหลายในที่นี้เอง หากมันมีใครในหมู่พวกเจ้าที่สามารถล้มข้าลงได้ ข้าจะออกจากอาณาจักรเทพอสูรไปและไม่กลับมาเหยียบดินแดนนี้อีกชั่วชีวิต!” เย่หยวนบอก

เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวทางกงหยางเลี่ยก็ต้องเบิกตากว้าง

เพราะตัวเขานั้นไม่พอใจในท่าทางโอหังนี้มานาน เมื่ออีกฝ่ายคิดอยากหาเรื่องใส่ตัวเองถึงขั้นบอกว่าจะไม่เหยียบเข้าอาณาจักรเทพอสูรมาอีก แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็คงจะมาโทษตัวเขาไม่ได้แล้ว

ซินหลัวที่ได้ยินต้องหรี่ตาลงมอง “ท่านรองมหาปราชญ์ นี่ท่านพูดเองนะ!”

เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ข้านี่แหละพูด! หากวันนี้มีพวกเจ้าคนใดเอาชนะข้าได้ ข้าเองก็คงไม่หน้าด้านจะรับนามรองมหาปราชญ์นี้ไว้เช่นกัน!”

ซินหลัวหัวเราะขึ้นมาทันที “ท่านรองมหาปราชญ์กล่าวได้ดี! แต่วิชาความสามารถของนักบวชเจ็ดดาวนั้นมันมิใช่สิ่งที่ท่านจะคาดเดาได้หรอก!”

เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “พลังฝีมือของข้าเองก็มิใช่สิ่งที่สมองน้อย ๆ ของเจ้าจะคาดคิดได้เช่นกัน!”

ซินหลัวที่ได้ยินจึงหันไปหาเทพสวรรค์ผู้หนึ่งในกลุ่มคน “หากเป็นเช่นนั้นแล้วนักบวชมู่เฉิน เจ้าออกมารับการสั่งสอนจากท่านรองมหาปราชญ์เสียหน่อย”

เทพสวรรค์มู่เฉินที่ได้ยินก็หัวเราะออกมา “ข้าน้อมรับคำสั่ง! เพียงแต่ว่า… สิ่งที่เราจะประลองกันนั้นมันย่อมจะเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ท่านรองมหาปราชญ์จะมาประลองโอสถศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์กับข้าคงไม่ได้ เพราะเทพสวรรค์ผู้นี้หลอมมันไม่เป็น”

เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวมันย่อมจะทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นไม่ขาดสาย

เย่หยวนย่อมจะพยักหน้ารับและตอบไป “วางใจเถอะ เราจะประลองโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์กันแน่”

โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์และโอสถศักดิ์สิทธิ์นั้น สำหรับเย่หยวนในเวลานี้แล้วมันย่อมจะไม่แตกต่างกันมากมาย

เพราะสุดท้ายเส้นทางใด ๆ มันก็นำไปสู่ยอดเต๋า

ไม่ว่าจะเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือโอสถศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายมันเองก็เป็นแค่เส้นทางย่อยของเต๋าโอสถทั้งสิ้น เหมือนดั่งเต๋าโอสถและเต๋าพิษก็เป็นเช่นเดียวกัน

ภายในวิหารนักบวชนั้นการจะเตรียมหลอมโอสถมันย่อมเป็นเรื่องง่ายดายไม่ยากเย็นใด ๆ ไม่นานพวกซินหลัวทั้งหลายก็เตรียมห้องหลอมพร้อมประลองเรียบร้อย

ระหว่างที่พวกเย่หยวนทั้งสองกำลังเตรียมตัวจะหลอมโอสถทางกงหยางเลี่ยก็ได้เข้ามากระซิบกับซินหลัว “มู่เฉินเก่งกาจหรือไม่? เขาต้องไม่ทำให้มหานักบวชขนแดงต้องเสียชื่อนะ!”

ซินหลัวจึงยิ้มตอบกลับไป “นายท่านโปรดวางใจเถอะ น้องมู่เฉินนั้นเป็นผู้มีกายไม้วิญญาณเป็นทุน ทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านโอสถที่เหนือล้ำ นอกจากนั้นแล้วเขายังก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลาย ในหมู่คนทั้งหลายนั้นเขาเองก็นับเป็นอับดับหนึ่งในสิบได้ มีหรือที่จะไม่สามารถจัดการนักบวชหกดาวลงได้?”

กงหยางเลี่ยจึงได้พยักหน้าออกมาด้วยความวางใจ

แม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ได้เป็นนักบวช แต่เมื่อได้ติดตามมหานักบวชขนแดงมานานปี เขาก็ย่อมพอจะเข้าใจถึงระดับขั้นความเก่งกาจของนักบวชได้ไม่ยาก

คนที่อยู่ถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลายนั้นมันย่อมจะนับเป็นยอดฝีมือในการโอสถ

และดูจากอายุของเย่หยวนแล้วต่อให้จะมีพรสวรรค์ล้นฟ้าปานใด แม้จะขึ้นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นปลายได้แต่มันก็คงไม่อาจจะเทียบมู่เฉินได้

ภายใต้สายตาของคนทั้งหลายนั้นพวกเย่หยวนทั้งสองคนจึงได้เริ่มลงมือทำการหลอมโอสถ

ปัง!

ทางเทพสวรรค์มู่เฉินได้มีกายไม้วิญญาณเป็นทุนทำให้การหลอมโอสถของเขานั้นมีพลังรุนแรงลึกล้ำมาก

เมื่อเขาปล่อยคลื่นพลังการหลอมออกมาสมุนไพรใด ๆ ในหม้อมันย่อมจะเชื่อฟังเขาราวกับเป็นลูก

ศาสตร์หลอมอสูรของตัวเขาเองก็เก่งกาจขึ้นจนถึงขั้นอาจารย์

แต่เมื่อสายตาของทุกผู้หันไปมองที่เย่หยวน พวกเขากลับต้องร้องขึ้นอย่างไม่อาจห้ามใจ

“ช่างเป็นศาสตร์หลอมอสูรที่เฉียบคมนัก! มนุษย์จะบ่มเพาะศาสตร์หลอมอสูรขึ้นมาจนถึงระดับนี้ได้อย่างไร?” ซินหลัวได้แต่ร้องขึ้น

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+