War sovereign Soaring The Heavens 1446

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1446 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,446 : อาวุโสตงฟาง

 

“อาวุโสตงฟาง?”

 

พอได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

 

ดูเหมือนว่า…ในเขตฝ่ายนอก จะมีอาวุโสนามตงฟางอยู่แค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ?

 

และอาวุโสตงฟางผู้นั้น ยังเป็นถึงอาวุโสหลักของฝ่ายนอก ที่ควบคุมดูแลอาวุโสและผู้ดูแลรวมถึงเรื่องราวทั้งหมดในฝ่ายนอก!

 

ฐานะของอาวุโสตงฟางนั้น ยังเหนือกว่าอาวุโสฝ่ายในบางคนเสียอีก!

 

“ฮ่าๆๆ!!!”

 

เติ้งเหว่ยหัวเราะลั่น “ต้วนหลิงเทียน ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังฝันละเมออยู่หรือไม่? เจ้ามันนับเป็นตัวอะไร ถึงคิดว่าจักทำให้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานให้เจ้าได้?”

 

ตอนนี้เองสายตาศิษย์ฝ่ายนอกก็หันมาจับจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง

 

ไม่มีใครเชื่อในคำของต้วนหลิงเทียนสักคน

 

อาวุโสตงฟางนั้น ถึงแม้จะเป็นอาวุโสหลักของฝ่ายนอก แต่โดยปกติแล้วมักไม่ค่อยออกมายุ่งวุ่นวายเรื่องราวของฝ่ายนอกสักเท่าไร…มักเก็บตัวบ่มเพาะพลังในคฤหาสน์ที่พักเสมอ

 

กระทั่งศิษย์ฝ่ายนอกที่เข้าสำนักมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วบางคน ยังไม่เคยได้เห็นหน้าอาวุโสตงฟางด้วยซ้ำ…

 

ทว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาได้เพียงแค่ 2 เดือนกลับบอกว่าจะไปพาอาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพันของเขา?

 

ใครที่ไหนจะไปเชื่อ!

 

“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนยังคงสงสัยแคลงใจสินะ…งั้นเอาแบบนี้เป็นไง พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยมารวมตัวกันที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกอีกครั้ง และข้าจะพาตัวอาวุโสตงฟางมายืนยันกับพวกเจ้าเอง หลังจากนั้นใครคิดจะเดิมพันก็เชิญ…”

 

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาท่าทีแคลงใจของศิษย์ฝ่ายนอก ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร “ส่วนคนที่เดิมพันกับข้าไว้แล้ว พรุ่งนี้หากยังคิดจะขอคะแนนอุทิศคืนอยู่อีก ข้าก็จะโอนกลับให้…เพียงนำใบสัญญาเดิมพันมาก็เท่านั้น”

 

หลังจากกล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็หันหลังและเดินจากไปทันที ทิ้งเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกให้ยืนเหวออยู่อย่างนั้น ต่างมองหน้าสบตากันและกันยกใหญ่ เติ้งเหว่ยก็หัวเราะร่าไม่หยุด

 

“ให้ท่านผู้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพันงั้นเหรอ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้อวดโอ่คำโตเกินตัวนัก!”

 

เติ้งเหว่ยหัวเราะไม่หยุด ใบหน้าเผยความสะใจทั้งดูถูกเหยียดหยาม

 

ทว่าพอมันคิดว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนจากไป มันจะได้ประกอบการค้ารับเดิมพันอะไรต่อ…แต่เติ้งเหว่ยก็พบว่าเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็เลือกที่จะจากไปเช่นกัน ไม่ได้คิดจะมาเดิมพันอะไรกับมันอีก

 

“นี่พวกเจ้าคิดจริงๆเหรอว่าต้วนหลิงเทียนมันจักมีปัญญาพาท่านผู้อาวุโสตงฟางมายืนยันอันใด?”

 

เติ้งเหว่ยถึงกับตะโกนถามออกมาด้วยความอื้ออึง

 

“ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอกผู้ดูแลเติ้ง…”

 

“ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน…แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางมั่นใจของศิษย์พี่ตต้วนหลิงเทียนก็อดทำให้ข้าแปลกใจไม่ได้ เพราะคล้ายเขามั่นใจยิ่ง”

 

“นี่ๆ เป็นไปได้หรือไม่…ว่าอาวุโสตงฟางรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์แล้ว!?”

 

“นั่นสินะ! เป็นไปได้! ถึงแม้อาวุโสตงฟางจะเป็นดั่งมังกรเทพยาดาเห็นหัวไม่เห็นหาง แต่ในฐานะอาวุโสหลักฝ่ายนอกท่านก็สมควรรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝ่ายนอกเมื่อไม่นานมานี้อยู่บ้าง…ว่าไปแล้วพรสวรรค์ของศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียน ก็น่าจะมากพอให้ท่านผุ้อาวุโสตงฟางสนใจ!”

 

“ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น”

 

“ทำไมเล่า?”

 

“พวกเจ้าไม่ลองคิดดูให้ดีเล่า…หากศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของท่านผู้อาวุโสตงฟางจริง ท่านผู้อาวุโสตงฟางจะปล่อยให้เขารับคำท้าประลองเป็นตายกับศิษย์พี่เฝิงฟ่านหรือไร?”

 

“มีเหตุผล”

 

……

 

ในระหว่าถกคำสนทนาเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็ค่อยๆทยอยกันเดินจากไป ไม่มีใครวางเดิมพันกับเติ้งเหว่ยต่อสักคน

 

“คิดมากไปไย…เดี๋ยวพรุ่งนี้เรื่องราวก็กระจ่างเอง”

 

“นั่นสิ พรุ่งนี้ก็จักได้รู้กันแล้ว”

 

“หากศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนสามารถพาท่านผู้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพันได้จริง…ข้าจักไม่ลังเลอันใด! ควักกระเป๋าทุ่มแทงข้างศิษย์พี่เฝิงฟ่านให้หมดตัวไปเลยเอ้า!!”

 

……

 

ขณะที่เดินกลับ ศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังคงสนทนากันไม่เลิก

 

เพียงเวลาแค่ไม่นานทั้งฝ่ายนอกก็ได้รับทราบเรื่องราวการเดิมพันที่ต้วนหลิงเทียนคิดเปิดรับ และยังรวมถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคิดให้อาวุโสตงฟางมาเป็นสักขีพยานในการเดิมพัน

 

คนส่วนใหญ่คิดว่าต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวอวดโอ่ไปอย่างนั้น

 

“ข้าหวังว่าเรื่องนี้จักเป็นความจริง…หากท่านผู้อาวุโสตงฟางยินดีเป็นสักขีพยานและรับประกันเรื่องนี้ ข้าจะแทงเดิมพันกับศิษย์พี่ต้วน!”

 

“ข้าด้วย เพราอย่างไรศิษย์พี่ต้วนก็มิมีหนทางชนะเลย”

 

“หรือศิษย์พี่ต้วนคิดให้คะแนนอุทิศกับพวกเราก่อนตายกัน?”

 

……

 

ในขณะที่ศิษย์ฝ่ายนอกกำลังถกเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน ‘เจ้ามือ’ อย่างต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งของฝ่ายนอกที่วังเวงร้างผู้คน

 

แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้ที่มันเปลี่ยวร้างและแทบไม่มีผู้คนสัญจรเดินผ่าน เพราะมันนับได้ว่าเป็นเขตหวงห้ามของฝ่ายนอก!

 

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เดินมาเจอคฤหาสน์หลักหนึ่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว คฤหาสน์หลังนี้แลดูกว้างขวาง ร่มรื่นและสงบเงียบเป็นที่สุด “น่าจะเป็นที่นี่…”

 

เมื่อเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะเดินเข้าไปทันที

 

ประตูหน้าคฤหาสน์นั้นเปิดกว้างอยู่และไม่มีร่องรอยผู้คนเฝ้ายาม

 

อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนเดินเข้าไปใกล้ประตูหน้า ก็ปรากฏร่าง 2 ร่างมาหยุดยืนขวางเอาไว้ราวหอคอยเหล็กตระหง่านปิดกั้นหนทางไว้หมดสิ้น

 

“ไอ้หนู เจ้ามิรู้หรือไรว่าสถานที่แห่งนี้ นับเป็นสถานที่ต้องห้ามของฝ่ายนอก?”

 

“เจ้าเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกกลับกล้าเพิกเฉยระเบียบ บุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้ามเช่นนี้”

 

สองร่างผลัดกันยิงคำใส่ต้วนหลิงเทียน

 

“ข้ามาขอพบอาวุโสตงฟางน่ะ”

 

เผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ที่ยืนตระหง่านขวาง ต้วนหลิงเทียนยังคงสีหน้าสงบไม่เปลี่ยน กล่าวออกไปเสียงเรียบ

 

“เฮอะ! อาวุโสตงฟางใช่คนที่เจ้าจะขอพบก็พบได้งั้นเหรอ?”

 

ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ก้าวออกมา ทั้งกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงดุดัน คล้ายจะเปล่งพลังกดดัน ให้ต้วนหลิงเทียนหวาดกลัวจนล่าถอย

 

อนิจจาพวกมันถูกลิขิตให้ผิดหวัง

 

เผชิญหน้ากับแรงกดดันของทั้งคู่ต้วนหลิงเทียนยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้ายังคงเฉยเมยไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ราวไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย

 

“ข้ารบกวนพี่ชายทั้ง 2 เข้าไปแจ้งอาวุโสตงฟางให้ข้าที ว่าศิษย์ฝ่ายนอก ‘ต้วนหลิงเทียน’ มาขอเข้าพบ และมีบางเรื่องคิดสนทนาด้วย”

 

ภายใต้สายตาประหลาดใจของชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาด้วยวาจาไม่นอบน้อมไม่ถือดี

 

“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”

 

เมื่อชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ได้ยินคำของเขา พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ยังมองขึ้นๆลงๆสำรวจต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “นอกจากหล่อเหลาเอาเรื่องแล้ว ดูไปเจ้าก็มิได้มีอันใดพิเศษ…นี่เจ้าเอาชนะศิษย์ฝ่ายนอกที่ติด 100 อันดับแรกทันทีที่เข้าสำนักได้จริงๆหรือ?”

 

“แถมหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ยังสามารถเอาชนะศิษย์อันดับที่ 47 ได้อีกคน…น่าสนใจดีนี่”

 

ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 เห็นชัดว่าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามต้วนหลิงเทียนมาบ้าง

 

“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้ามานี่เพราะคิดให้อาวุโสตงฟางช่วยเหลือเรื่องยกเลิกสารท้าประลองเป็นตาย ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเจ้ามาเสียเที่ยวแล้ว เจ้าทำแบบนี้มิมีประโยชน์หรอก…”

 

เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าคือต้วนหลิงเทียน ทัศนคติของชายร่างใหญ่ทั้งสองที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าชายร่างใหญ่คนหนึ่งพลันกล่าวออกพร้อมส่ายหัว

 

ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ตราบใดที่เติบโตขึ้นไป ไม่พ้นต้องได้เป็นระดับสูงๆในสำนักจันทร์จรัสแสงเป็นแน่ กระทั่งหากเวลาผันผ่านไปสักร้อยปี เรื่องที่อีกฝ่ายอาจจะขึ้นเป็นเสาหลักของสำนักจันทร์จรัสแสงก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!

 

ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าละเลย

 

“เจ้าสามารถปฏิเสธสารท้าประลองเป็นตายได้ด้วยตัวเอง.. อะไร? หรือเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอายจึงคิดมาขอความช่วยเหลือจากอาวุโสตงฟาง เพื่อให้ท่านไปกดดันเฝิงฟ่านให้ยกเลิกสารท้าประลองเป็นตายงั้นเหรอ?”

 

ชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวถามเสียงเรียบ

 

ยกเลิกสารท้าประลองเป็นตาย?

 

ได้ยินคำของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปตาปริบๆ

 

หรือว่าทั้ง 2 คนนี่ยังไม่รู้อีกหรือไง ว่าเขาตอบรับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่านไปแล้ว?

 

อันที่จริงแล้วต้วนหลิงเทียนก็เดาถูกจริงๆนั่นล่ะ

 

ถึงแม้เขาจะยอมรับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่านไปแล้วเมื่อเช้า จนข่าวมันแพร่กระจายไปทั่วฝ่ายนอก อนิจจาสำหรับสถานที่แห่งนี้ข่าวดังกล่าวยังมาไม่ถึง

 

“ข้าคิดว่า…พี่ชายทั้ง 2 กำลังเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆกล่าวออก “ทันทีที่ข้าออกจากการปิดด่านบ่มเพาะและเห็นสารท้าประลองเป็นตาย ข้าก็ประทับลายนิ้วมือยอมรับคำท้า กระทั่งไปหาเฝิงฟ่านจนนัดวันประลองเรียบร้อยแล้ว… 3 วันหลังจากนี้หากพี่ชายทั้ง 2 ว่างก็สามารถไปชมดูข้ากับเฝิงฟ่านฆ่ากันที่ลานฝึกซ้อมฝ่ายนอกได้”

 

ต้องกล่าวเลยว่าวาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ถึงกับอึ้งไปด้วยประหลาดใจไม่น้อย

 

“ตอบรับไปแล้ว? นัดวันเรียบร้อย?”

 

ทั้งคู่ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้ารับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่าน!

 

เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคู่มั่นใจเต็ม 10 ส่วน ว่าต้วนหลิงเทียนต้องปฏิเสธสารท้าประลองเป็นตายแน่ๆ

 

พวกมันรู้ความเป็นมาของเฝิงฟ่านดี

 

อนิจจาคล้ายพวกมันถูกความจริงเล่นตลกเข้าให้แล้ว…

 

“ข้ารบกวนพี่ชายทั้งคู่ ช่วยนำความข้าไปแจ้งให้อาวุโสตงฟางให้ข้าด้วย”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวอีกรอบ

 

และตอนนี้ชายร่างใหญ่ทั้ง 2 ไม่กล้าที่จะดูถูกต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป

 

เพราะไม่ว่าต้วนหลิงเทียนจะรับสารท้าประลองเป็นตายกับเฝิงฟ่านด้วยความมั่นใจในตัวเอง หรือไม่ล่วงรู้ว่าเฝิงฟ่านเป็นใครมีพลังสามารถแค่ไหน แต่พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับนับถือจิตใจที่กล้าหาญของต้วนหลิงเทียน

 

“เจ้ารอข้าสักครู่”

 

ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกล่าวออก ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในคฤหาสน์

 

“ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ากล้ารับสารท้าประลองเป็นตายของเฝิงฟ่านจริงๆหรือ…แล้วนี่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นใคร?”

 

ชายร่างใหญ่ที่เหลืออยุ่อีกคน อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา

 

มันยังคิดไปด้วยซ้ำว่า เพราะต้วนหลิงเทียนไม่รู้ว่าเฝิงฟ่านเป็นใครรึเปล่า? ถึงได้บังเกิดอารมณ์ชั่ววูบรับสารท้าประลองเป็นตายอย่างวู่วามแบบนี้!?

 

“ก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนข้าไม่ใช่รึไง?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา

 

“เอ่อ นั่นก็ใช่… แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันต่างจากศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นๆอย่างไร?”

 

มุมปากของชายร่างใหญ่ที่อยู่อดไม่ได้ที่จะกระตุกไปวูบหนึ่ง ฟังแล้วท่าทางต้วนหลิงเทียนอาจจะไม่รู้จักเฝิงฟ่านจริงๆด้วย!

 

“ก็เป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่ได้อันดับ 5 …”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ

 

ในขณะที่ชายร่างใหญ่ชักสีหน้าเป็นเชิง ‘นั่นไง ว่าแล้วเชียว’ และเตรียมจะกล่าวคำใดออกมา ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับกล่าวเสริมออกมาอีกประโยค “อ่อจริงสิ ได้ยินมาว่ามันติดอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพีอะไรนั่นด้วย…”

 

“เฮ่ย! เจ้ารู้อยู่แล้วว่ามันติดอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพี…แต่เจ้ายังกล้ารับสารท้าประลองเป็นตายจากมันอีกเนี่ยนะ!?”

 

ชายร่างใหญ่อุทาน ทั้งจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความอึ้ง

 

ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่ได้แยแสอะไร มันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆกล่าวถามอีกรอบ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันดับที่ 99 ในรายนามปฐพีหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการจัดอันดับ ยอดฝีมือในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด 100 คน ในพื้นที่ปกครองของ 9 พันธมิตรหรือไง..”

 

“แถมฟังว่าอันดับต้นๆของผู้ที่อยู่ในรายนามปฐพี เพียงอาศัยพลังฝึกปรือสูงสุดหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ ยังสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนไม่ว่าจะยุทธ์หรือเต๋าในขอบเขตสู่เซียนขั้นต้นทั่วไปได้อีกด้วย…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเรียบราวกับอ่านเรียงความ

 

“เจ้ารู้ถึงขนาดนี้แล้ว…แต่เจ้ายังกล้ารับคำท้าประลองเป็นตายของคนที่อยู่ในรายนามฐพีอีกเนี่ยนะ!?”

 

คำตอบของต้วนหลิงเทียนเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของชายร่างใหญ่อย่างสิ้นเชิง และนั่นยิ่งทำให้มันยิ่งงุนงงไปกันใหญ่ หรืออีกฝ่ายจะไม่กลัวตาย?

 

‘หรือว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้มั่นใจว่าเอาชนะเฝิงฟ่านได้?’

 

ทันใดนั้นชายร่างใหญ่พลันบังเกิดความคิดประการหนึ่งขึ้นมาในใจ หากแต่ไม่ทันไรมันก็สลัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปทันที

 

‘เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้! และไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต่อให้ต้วนหลิงเทียนคนนี้จะมีพรสวรรค์และศักยภาพสูงส่งเพียงใด แต่ก็พึ่งเข้าร่วมสำนักจันทร์จรัสแสงมาได้แค่ 2 เดือนเท่านั้น อีกทั้งพลังฝึกปรือยังไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ’

 

ชายร่างใหญ่ลอบกล่าว

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงยืนเฝ้ารออย่างสงบ ไม่คล้ายเย่อหยิ่งถือดีและร้อนรนอะไร ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านในใจ

 

ชายหนุ่มเบื้องหน้ามัน คล้ายมีวุฒิภาวะเกินตัวไปมาก…

 

เรื่องนี้เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของมันนัก

 

“ถึงแม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาหาอาวุโสตงฟางเพราะอะไร…แต่ข้าต้องขอบอกเจ้าไว้ก่อน ว่าอาวุโสตงฟางก็ไม่แน่ว่าจะให้เจ้าเข้าพบ…”

 

ชายร่างใหญ่กล่าว

 

“ไม่พบข้า ก็นับว่าอาวุโสตงฟางพลาดแล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด