War sovereign Soaring The Heavens 1574

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1574 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต้วนหรูเฟิงที่ทะยานขึ้นมาดั่งจรวด

 

ที่ตั้งของนิกายอัคคีล่องลอยนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ใจกลางที่มีภูเขาไฟล้อมรอบ

 

แน่นอนว่าภูเขาไฟหลายลูกที่อยู่บริเวณนี้นอกจากลูกที่ตั้งติดกับพื้นที่ตรงกลางที่ยังคุกรุ่นอยู่เสมอ ลูกอื่นนั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทไปแล้วทั้งสิ้น

 

เขตในกับเขตนอกของนายก็แบ่งแยกกันในพื้นที่ระหว่างภูเขาไฟที่ดับกับยังคุกรุ่นอยู่

 

พื้นที่ๆภูเขาไฟยังคุกรุ่นอยู่นั้น กล่าวไปยังเป็นเขตหวงห้ามของนิกายอัคคีล่องลอย ยังเป็นพื้นที่อันพิเศษของเขตใน เพราะมันเป็นสถานที่บ่มเพาะพลังของตัวตนในขอบเขตเซียนของนิกาย

 

โดยปกติแล้วพื้นที่ส่วนนี้จะอนุญาตให้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายในระดับสูงๆเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ แน่นอนว่ายังต้องมีเรื่องที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น…

 

อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กฏดังกล่าวกลับต้องถูกละเว้นไปเพื่อคนๆหนึ่ง!

 

ยังเป็นคนแรกที่ไม่ได้บรรลุขอบเขตเซียน แต่สามารถมาฝึกฝนบ่มเพาะพลังในพื้นที่ต้องห้ามส่วนนี้ของนิกายอัคคีล่องลอยได้! นอกจากนี้นางยังเป็นศิษย์ปิดสำนักของประมุขนิกายอัคคีล่องลอย ที่รู้จักกันดีในนาม ‘แม่นางเฟิ่ง’

 

ตอนนี้หลายคนยังจดจำได้ดีว่ายามที่นางมาถึงนิกายเป็นครั้งแรก ทั้งหลายต่างพากันอิจฉากันขนาดไหน ยังซุบซิบนินทาว่าร้ายกันอย่างไร…

 

ทั้งหมดคิดว่าเพียงเพราะนางโชคดีที่มีอาจารย์เป็นประมุขนิกาย ทำให้สามารถลอบเข้าประตูหลังมาได้เช่นนี้ อีกทั้งยังร่ำลือกันว่านางมีวาจาประจบประแจงเป็นเลิศ ประมุขถึงกล้าละเว้นกฏดังกล่าวให้นางเข้ามาฝึกปรือในพื้นที่หวงห้าม อันเป็นสถานที่ๆมีพลังวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นที่สุด…

 

ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้านี้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย เคยรับศิษย์ส่วนตัวไว้ 2 คน อนิจจาไร้ผู้ใดได้รับอภิสิทธิ์ดั่ง แม่นางเฟิ่ง สักคน! ไม่อาจเข้ามาฝึกฝนบ่มเพาะในพื้นที่ต้องห้ามของนิกายแบบนาง..

 

อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นผ่านมาไม่กี่ปี ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวนินทาว่าร้าย แม่นางเฟิ่ง ผู้นี้อีกต่อไป และไม่มีใครกล้าคิดว่านางไร้คุณสมบัติบ่มเพาะในพื้นที่อันประเสริฐแห่งนี้แม้คนเดียว!

 

ล้อกันเล่นหรือไร!

 

จากความสำเร็จที่นางเผยออกมาทุกวันนี้ นางถูกลิขิตมาแล้วเต็มสิบส่วนว่าต้องบรรลุขอบเขตเซียนได้แน่ๆ อีกทั้งพลังฝีมือในภายภาคหน้าย่อมไม่มีทางต่ำต้อยไปกว่าประมุขนิกายและยอดฝีมืออันเป็นเสาหลักของนิกายแน่นอน

 

นั่นเพราะให้เป็นประมุขนิกายและอาวุโสขอบเขตเซียนทั้งหลาย ตอนที่ทั้งหมดมีอายุเท่านาง ไม่มีผู้ใดมีความสำเร็จได้ถึงครึ่งของนางสักคน!

 

ดังนั้นไม่ว่าจะสูงหรือต่ำในนิกาย ไม่มีใครหาญกล้าว่าร้ายนางสืบไป

 

ในบริเวณใจกลางของพื้นที่ต้องห้ามของนิกาย มีลานแห่งหนึ่งถูกสร้างไว้อยู่กลางภูเขา

 

ในลานเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้อันเขียวขจี มีไม้ดอกไม้ประดับงดงามยากจะเห็น ปลูกเรียงรายกันเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกสงบเงียบนัก

 

ถัดจากลานก็เป็นบ้านหลังหนึ่ง และยามนี้ก็ปรากฏร่างสตรีในชุดสีแดงเพลิงปานเทพธิดาอัคคีเปิดประตูเดินเข้ามาในลานอย่างเงียบงัน

 

ผมยาวสลวยของนางทอดยาวลงมาถึงเอวบางดั่งม่านน้ำตก รูปโฉมพวงพักต์แลดูสมบูรณ์ไร้ตำหนิ แม้นกล่าวว่าธิดาสวรรค์จุติลงมาเกิดยังไม่เกินเลย

 

คิ้วโค้งงาม ดวงตากระจ่างใส จมูกเล็กโด่งสัน ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้นสีดั่งอิงเถา ทั้งหมดลงตัวปานภาพวาดที่รังสรรมาจากเซียนสวรรค์…

 

ไม่ใช่คำกล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย หากจะบอกว่าสตรีชุดแดงนางนี้ เป็นโฉมงามล่มเมือง!

 

“ยังอีกแค่ก้าวเดียว…”

 

สตรีนางนั้นพึ่งออกมาจากบ้านและยืนอยู่ในลานได้ไม่นาน นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า “พี่ใหญ่ต้วน…อีกไม่นานเทียนหวู่จะไปหาท่านแล้ว…ท่านอาจารย์กล่าวไว้ตราบใดที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนเมื่อใด ท่านอาจารย์จะวางใจให้ข้าออกจากดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับไปยังทวีปเมฆาล่อง…พี่ใหญ่ต้วนท่านรอข้านะ อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงผ่านจุดรอคอยสุดท้ายและบรรลุเซียนแล้ว…”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด หากแต่สตรีโฉมงามนางนั้นกลับแหงนมองฟ้าทิศใต้ ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง

 

สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเลื่อนลอยท่วมท้นไปด้วยคะนึงหา…คล้ายใจของนางลอยละลิ่วปลิวเหินข้ามเมฆไปยังแดนไกล

 

อย่างไรก็ตามไม่นานกลับมีร่างหนึ่งมาเยือนถึงที่ทำให้นางหลุดออกจากห้วงคิดแสนหวาน และผู้ที่พึ่งมาถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น สื่ออวิ๋น ประมุขนิกายอัคคีล่องลอย

 

สื่ออวิ๋นนั้นเป็นสตรีที่แลดูสง่างามทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งมากบารมี ใบหน้าของนางสะอาดหมดจดทั้งยังเต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ เผยให้เห็นว่าครั้งยังเยาว์นางก็ไม่ได้งดงามด้อยไปกว่าสตรีที่เรียกหาตัวเองว่า เทียนหวู่ เลย

 

“เทียนหวู่”

 

ทันทีที่สื่ออวิ๋นปรากฏตัวนางก็เดินมาหยุดข้างสตรีในชุดแดงเพลิงและเรียกหาทันที ยังผลให้สตรีชุดแดงต้องหลุดจากภวังค์กลับมามีสติอีกครั้ง

 

“อาจารย์”

 

ต่อหน้าสื่ออวิ๋น สตรีในชุดแดงเพลิงเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เพราะนางมีอย่างทุกวันนี้ได้ทั้งหมดเป็นเพราะอีกฝ่าย

 

“เจ้าเตรียมตัวเอาไว้…อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู จะมาเยือนนิกายเราและต้องการประลองกับเจ้า”

 

สื่ออวิ๋นยกมือขึ้นปรากฏสารม้วนหนึ่ง ยื่นส่งไปให้สตรีชุดแดง

 

“ตระกูลซือถู? ตระกูลซือถูในเมืองหลวงน่ะหรือ?”

 

สตรีชุดแดงรับสารท้าประลองมาด้วยความสงสัย

 

“มิผิด เป็นตระกูลซือถูในเมืองหลวง…หากแต่แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูผู้นี้ ข้าได้ยินมาว่ามันมิใช่ธรรมดา ยามประลองกับมันเจ้าก็อย่าได้ประมาทไป”

 

สื่ออวิ๋นกล่าวเตือน

 

“อื้อ”

 

สตรีชุดแดงพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยคลี่สารท้าประลองออกอ่าน เมื่อเห็นคำว่า ‘ต้วน’ นางอดไม่ได้ที่จะอื้ออึงไปเล็กน้อย

 

“ท่านต้วน? ชื่อเต็มไม่ระบุ..ท่าทางจะหยิ่งยะโสไม่น้อย”

 

สตรีชุดแดงกล่าว

 

“มิว่ามันจะเป็นผู้ใด จะหยิ่งยะโสหรือไม่…ข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า”

 

สื่ออวิ๋นกล่าว

 

ขณะเดียวกันทางด้านเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิง ซือถูหังก็ได้กลับมาหาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

 

“ปรมาจารย์ต้วน ข้าได้ส่งสารท้าประลองให้ท่านแล้ว…อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ท่านจะประลองกับ แม่นางเฟิ่ง แห่งนิกายอัคคีล่องลอยอย่างเป็นทางการ”

 

หลังจากพบต้วนหลิงเทียน ซือถูหังก็เปิดประตูเห็นภูผากล่าวรายงานทันที

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นลูกตาค่อยทอประกายเรืองขึ้นมาวูบหนึ่งถามว่า “ศิษย์สตรีของนิกายอัคคีล่องลอยที่ร้ายกาจคนนี้ นางแซ่ เฟิ่ง งั้นเหรอ?”

 

“ใช่”

 

ซือถูหังพยักหน้า

 

“แซ่เฟิ่งจากทวีปมนุษย์…หรือจะเป็นเทียนหวู่กัน?”

 

กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนอยู่ดีๆถึงบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา

 

“ท่านรู้จักชื่อแซ่เต็มๆของแม่นางเฟิ่งผู้นี้หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยถามซือถูหังออกไป

 

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้”

 

ซือถูหังส่ายหัวไปมา “ที่จริงอย่าว่าแต่ข้าเลยท่านปรมาจารย์ต้วน น่ากลัวว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศฝูเฟิง…กระทั่งคนในนิกายอัคคีล่องลอยเอง ก็ไม่ได้ล่วงรู้ถึงชื่อแซ่เต็มๆของนางด้วยซ้ำ…”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอีกรอบ ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาเบาๆ ล้มเลิกความคิดที่แม่นางเฟิ่งจะเป็น เฟิ่งเทียนหวู่ ออกไปทันที

 

‘ไม่น่าเป็นเทียนหวู่ไปได้ แม้ศักยภาพของเทียนหวู่จะดี แต่นั่นก็แค่ในทวีปเมฆาล่อง…ถึงนางจะมีรากฐานดีเพียงไหน แต่ก็ไม่น่าจะยกระดับพลังฝึกปรือขึ้นมาได้พรวดพราดหลังมาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้อย่างเหลือเชื่อแบบนี้’

 

เมื่อคิดถึงความสำเร็จที่ร่ำลือกันของ แม่นางเฟิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็ขจัดความสงสัยที่ว่านางอาจจะเป็นเฟิ่งเทียนหวู่ไปหมดสิ้น

 

อย่างไรก็ตามพอนึกถึงเฟิ่งเทียนหวู่ขึ้นมา ใจต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกเศร้าไปเสียไม่ได้ ‘เทียนหวู่ เจ้าไปอยู่ไหนแล้ว…รู้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่ต้วนกำลังตามหาเจ้าอยู่’

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนคล้ายจมอยู่ในห้วงอารมณ์ และท่าทางจะเป็นเอามากไม่น้อย ซือถูหังก็ไม่กล้ารบกวนอะไรเร่งเดินจากไปอย่างเงียบๆทันที

 

มันรู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่มันควรทำที่สุดคือไม่รบกวนเวลาของปรมาจารย์ต้วน

 

ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เผ่าพันธุ์มังกร

 

เผ่าพันธุ์มังกรนั้น สถานที่อยู่ของพวกมันเป็นอะไรที่ลึกลับสำหรับผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกเต๋าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านัก อย่างไรก็ตามต่อให้รู้…ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะเข้าไปได้!

 

ทว่าสำหรับบางคน การบุกมาเยือนรังมังกรถึงที่แบบนี้ ก็ง่ายดายเสมือนเดินชมสวนว่างร้างผู้คน…

 

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพร้อมร่างชราในชุดคลุมลมดำ บุกเข้ามาถึงที่ซ่อนเผ่าพันธุ์มังกรดื้อๆ! อย่างที่ไม่คิดจะปกปิดอะไรแม้แต่น้อย ยังคล้ายจะบุกเข้ามาอย่างดุดันด้วยซ้ำ!!

 

นั่นเพราะความเร็วในการพุ่งร่างเข้ามาของทั้งคู่มันเหนือชั้นเกินไป จนผู้ที่เฝ้าปากทางเข้ารังมังกร ไม่แม้แต่จะตอบสนองอันใดได้ทัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนล่วงล้ำเข้าถิ่นที่อยู่ของมันไปแล้ว…

 

ร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงจากขอบฟ้าไกลไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามและกู่มี่ หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีพลังสามารถสูงส่ง…

 

แต่เดิมด้วยความเร็วของต้วนหรูเฟิง สมควรบุกมาถึงรังมังกรในเวลาอันสั้นหลังจากที่ออกจากสำนักจันทร์จรัสแสง

 

ทว่าขณะที่เดินทางมาถึงครึ่งทาง กลับต้องเจอปัญหาบางอย่าง

 

‘ไม่คิดเลยว่าคนของลัทธิบูชาไฟ จะลงมาจากภูมิภาคเบื้องบนมาเยือนภูมิบาคเบื้องล่างแบบนี้…หากเข้าใจไม่ผิด คนที่มันประกาศตามหาไปทั่วก็คือลูกสะใภ้ของข้าอย่างเค่อเอ๋อ เป็นแน่!’

 

แม้จะบุกเข้ามาถึงรังมังกรแล้วแต่ต้วนหรูเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรในเผ่าพันธุ์มังกรแม้แต่น้อย

 

จิตใจยังจมอยู่กับความคิดยามเผชิญหน้ากับคนองลัทธิบูชาไฟก่อนหน้า

 

คนกลุ่มนั้นของลัทธิบูชาไฟนับว่าพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลย แต่ละคนล้วนอ่อนด้อยกว่ากู่มี่แค่เล็กน้อยเท่านั้น…หากทั้งกลุ่มกลุ้มรุม กระทั่งกู่มี่ก็ไม่น่าจะเอาชนะพวกมันได้

 

และหลังจากที่ต้วนหรูเฟิงลงมือด้วยตัวเองจัดการคนทั้งกลุ่มจนตกตายเกือบหมด และเหลือคนสุดท้ายไว้ใช้ทักษะลี้ลับควาญวิญญาณ จึงได้ทราบว่าพวกมันไม่ใช่ตัวตนสำคัญอันใดในลัทธิบูชาไฟ

 

แน่นอนว่าในเมื่อมันไม่ใช่คนสำคัญอะไรในลัทธิบูชาไฟ พวกมันก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก

 

ต้วนหรูเฟิงพบว่า พวกมันลงมายังภูมิภาคเบื้องล่างคราวนี้ เพราะกำลังตามหาคนสำคัญของลัทธิบูชาไฟที่หายตัวไปนานปี…ธิดาเทพ

 

จากเบาะแสที่ต้วนหลิงเทียนบุตรชายของมันทิ้งไว้ที่ทวีปเมฆาล่อง ทำให้ต้วนหรูเฟิงอนุมานได้ว่า ธิดาเทพที่ลัทธิบูชาไฟกำลังตามหาสมควรเป็นเค่อเอ๋อ ที่ได้ถูกสตรีนางหนึ่งที่กล่าวว่าเป็นพี่สาวและอ้างว่ามาจากลัทธิบูชาไฟพาตัวไปแล้ว

 

ถึงแม้มันจะไม่เคยเห็นเค่อเอ๋อมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้จักเรื่องราวของนางอะไร

 

นั่นเพราะมันมักจะได้ยินภรรยากล่าวถึงเค่อเอ๋ออยู่บ่อยครั้ง ว่าลูกสะใภ้คนนี้เติบโตมาด้วยกันกับต้วนหลิงเทียน ทั้งเรื่องราวต่างๆความเป็นมาของนาง ภรรยามันก็เล่าให้ล่วงรู้หมดสิ้น

 

ฟุ่บ!

 

สายลมหอบหนึ่งพัดมาฉับไว ปรากฏเป็นร่างชายชราในชุดคลุมสีแดงฉานผุดโผล่ขึ้นมาปิดกั้นต้วนหรูเฟิงและกู่มี่เอาไว้

 

ต้วนหรูเฟิงได้สังเกตเห็นถึงการมาของคนผู้นี้แต่แรก จึงหยุดคิดเรื่องราวอะไร และหยุดร่างลง

 

“ข้าล่ะกำลังสงสัยอยู่นัก ว่าผู้ใดมันกล้าบุกรุกเผ่าพันธุ์มังกร…ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองหรือ เจ้าเฒ่ากู่มี่”

 

ชายชราในชุดคลุมสีแดงเลือดหันไปมองกู่มี่ด้วยความสนใจทันที เห็นชัดว่ามันรู้จักกันกับกู่มี่มาก่อน

 

หลังจากนั้นมันก็เบนตาไปมองยังร่างต้วนหรูเฟิงที่ลอยร่างอยู่ด้านหน้ากู่มี่ ถึงแม้มันจะไม่รู้จักมักคุ้นกับต้วนหรูเฟิง แต่ก็ไม่ยากอะไรที่จะเดาฐานะของอีกฝ่ายออก จากการสังเกตเห็นท่าทางเรียบๆร้อยๆของกู่มี่ที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังแบบนี้

 

“ยินดีที่ได้พบ ท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม”

 

หลังจากคาดเดาความเป็นมาของชายวัยกลางคนเบื้องหน้าออก ชายชราก็ค่อยโค้งคารวะกล่าวทักอีกฝ่ายอย่างสุภาพ

 

ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาคราม ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปีด้วยซ้ำ ในการก้าวขึ้นมาถึงจุดๆนี้!

 

ระยะเวลา 40 ปี สำหรับเผ่าพันธุ์มังกรแล้ว เสมือนนอนหลับฝันไปตื่นหนึ่งเท่านั้น!

 

หากทว่าเพียงระยะเวลาอันสั้น ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากลับบังเกิดยอดคนเช่นนึ้นมาได้ ยอดคนที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นเป็นต้วนหรูเฟิงเอง!

 

ใช้เวลาไม่ถึง 40 ปี ต้วนหรูเฟิงก็สามารถครองอำนาจในตำหนักเมฆาครามได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนั่นคือขุมพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มังกรของมันเลย เสมือนจ้าวในที่แจ้งกับผู้ยิ่งใหญ่ในความมืดก็ไม่ปาน

 

ถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะอายุน้อยกว่ามันเป็นรอบๆ แต่มันไม่กล้าละเลยท่าทีปฏิบัติต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย

 

เพราะมันรู้ดีว่าพลังฝีมือของต้วนหรูเฟิงเหนือล้ำกว่ามันไปมาก กระทั่งยังเทียบได้กับผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรของพวกมันด้วยซ้ำ!

 

ทั้งพลังและสถานะของต้วนหรูเฟิง คือตัวตนที่ทัดเทียมกับผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรอย่างแท้จริง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด