War sovereign Soaring The Heavens 1688

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1688 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,688 : ฆ่าจงกู้!

 

พอได้ยินวาจาหยามเหยียดจากผู้ชมโดยรอบ คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องยกเว้นฉีเสิ่นถึงกับเผยใบหน้าอึมครึม

 

ส่วนด้านฉีเสิ่นเพียงมองแผ่นหลังฉีจิ้งไม่วางตาอย่างเหยียดๆ

 

เพราะในสายตาของมัน ฉีจิ้งไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาด! คงดีเสียกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่มาเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ อย่างน้อยๆก็คงไม่ต้องทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอับอายขายหน้า!

 

แน่นอนว่ามันทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่กล้ากล่าวออกมา

 

หากจะถามว่ามีใครในบรรดาคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่ยังเฉยอยู่ได้ เห็นทีจะมีแต่ชายหนุ่มหลังค่อมที่ยืนด้านหลังฉีจิ้งเพียงผู้เดียวเท่านั้น

 

หลังจากที่ฉีจิ้งละสายตาจากหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อแล้ว มันก็ว่ายผ่าน อวี้ชวีจื่อ หยินชวีจื่อ หลวงจีนเนื้อสุรา ก่อนที่จะไปตกยังร่างๆหนึ่ง

 

ร่างนี้มาในชุดธรรมดา สะพายดาบไร้ฝักแต่อาศัยผ้าพันเอาไว้ สีหน้าท่าทางเย็นชาไม่แยแสสิ่งโดยรอบ

 

หากแต่แววตาของมันกลับกระจ่างปานดารากลางฟ้าในราตรีกาล

 

“จงกู้!”

 

ในที่สุดฉีจิ้งก็เลือกผู้ที่ตัวจะท้าทายได้แล้ว

 

จงกู้นับเป็น 1 ใน 2 ผู้ฝึกตนพเนจรที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดที่เข้าร่วมการประลองจัดอันดับยอดนักรบครั้งนี้!

 

หากจะกล่าวว่าก่อนหน้านี้ผู้คนคิดว่าจงกู้คือผู้ฝึกตนพเนจรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีล่ะก็…ตอนนี้ทั้งหมดต้องปรับเปลี่ยนความคิดกันไปแล้ว เพราะการปรากฏตัวขึ้นมาของลี่เฟิง!

 

ลี่เฟิงสามารถรอดพ้นจากแรงระเบิดอันน่ากลัวจากกระบวนท่าหยวนปะทุทลายว่างเปล่าของฉีค่าน กระทั่งยังสังหารฉีค่านได้สำเร็จ เรื่องนี้เผยให้รู้ว่าพลังฝีมือมิได้ด้อยไปกว่าจงกู้เลย!

 

บางครั้งผู้ฝึกตนพเนจรก็ต้องการโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อมีชื่อเสียงโด่งดัง

 

‘สร้างชื่อลือนามจากการต่อสู้’ วาจานี้นับว่าเหมาะกับ ลี่เฟิง ตัวตนปลอมของต้วนหลิงเทียนจริงๆ

 

เห็นฉีจิ้งท้าทายจงกู้แบบนี้ ทุกผู้คนอดไม่ได้ที่จะตกใจจนอื้ออึง พักหนึ่งถึงคืนสติ

 

“ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เสียงกล่าวกันว่านายน้อยฉีจิ้งนั้นเป็นศัตรูเก่ากับจงกู้ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว…”

 

“ถูกแล้ว ตอนนั้นยามที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียน ฉีจิ้งแพ้พ่ายจงกู้…ทว่าหลังจากนั้นด้วยทรัพยากร พลังฝึกปรือของฉีจิ้งย่อมก้าวหน้าไวกว่าจงกู้…พอทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้นก่อน จงกู้ก็มิใช่คู่มืออีกต่อไป”

 

“แต่หนึ่งปีที่แล้วจะอย่างไรฉีจิ้งก็ยังพึ่งอยู่ในเซียนขัดเกลาขั้นต้น มาวันนี้แม้จะได้รับทรัพยากรมากมายเพียงใด ก็สมควรทำได้แค่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง…วันนี้จงกู้ก็อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นกลางเช่นกัน ประวัติศาสตร์ใช่กำลังจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?”

 

“ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเรา ยังมีผู้ใดไม่ล่วงรู้ว่าหากอยู่ในด่านพลังฝึกปรือเดียวกัน ฉีจิ้งจักมิใช่คู่มือของจงกู้…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าฉีจิ้งคิดจะเปลี่ยนแปลงสามัญสำนึกของผู้คน?”

 

“ฮึ่ม! นับเป็นเรื่องดีที่มีความมั่นใจ แต่หากมั่นใจมากเกินไปก็ไม่ต่างใดจากหยิ่งยะโส!”

 

……

 

พอถึงคนฟื้นคืนสติ เสียงซุบซิบนินทาก็ดังระงมขึ้นมาอีกครั้ง

 

แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ฉีจิ้ง ไม่ได้สนใจจะฟังคำซุบซิบนินทา ร่างเหินลอยขึ้นไปยังเวทีประลองเม็ดหมากที่มีจงกู้เป็นจ้าวเวทีอยู่ทันที

 

ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง

 

วันนี้มันจะล้างอาย และแก้ไขนามรองบ่อนของตัวเองได้หรือไม่?

 

เรื่องนี้ทุกผู้คนที่ชมดูอยู่ต่างอยากรู้กันทั้งสิ้น

 

แม้แต่ต้วนหลิงเทียนเอง ก็ให้ความสนใจในการประลองระหว่างจงกู้กับฉีจิ้งไม่น้อย

 

สำหรับจงกู้นั้น เขาให้ภาษีอีกฝ่ายดีไม่น้อย

 

ส่วนฉีจิ้งนั้นจะอย่างไรมันก็คือเป้าหมายที่เขาต้องสังหาร

 

หากเลือกได้เขาอยากให้ผลการประลองครั้งนี้ออกมาในรูปแบบ จงกู้ชนะการประลอง…กระทั่งฆ่าฉีจิ้งให้ตายไปเลยยิ่งดี!

 

“จงกู้ เจ้าฆ่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องข้า ตอนนี้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า!”

 

เผชิญหน้ากันไม่ทันไร ฉีจิ้ง พลันประกาศกร้าวออกมา

 

“เลิกกล่าวไร้สาระเถอะ จะสู้ก็มา!”

 

จงกู้กล่าวออกเสียงเรียบ

 

หากมันยังไม่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางมันอาจจะกริ่งเกรงฉีจิ้ง เพราะด้วยทรัพยากรของฉีจิ้งอีกฝ่ายสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้แล้วแน่ๆ

 

ทว่าตอนนี้มันเองก็บรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางแล้ว มันจึงไม่กลัวฉีจิ้งแม้แต่น้อย

 

เป็นตามข่าวลือที่ว่ามันไม่กลัวฉีจิ้งหากมีพลังฝึกปรือในขอบเขตเดียวกัน!

 

ทั้งฉีจิ้งคนนี้ก็กล่าวได้ว่า เป็นคู่ปรับเก่าของมัน

 

ฉีจิ้งมีไส้กี่ขด เรียกว่าจงกู้รู้ดีกว่าใคร

 

อนิจจาที่จงกู้ไม่ได้รู้เลย..ว่าฉีจิ้งในวันนี้แตกต่างจากฉีจิ้งในกาลก่อนลิบลับ!

 

เหตุผลเพราะฉีจิ้งได้ฝึก เคล็ดวิชามาร อย่างมารกลืนหยินเสียแล้ว…

 

ตลอดปีที่ผ่านฉีจิ้งได้เดินทางออกจากคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยเหตุผลว่าจะออกเดินทางฝึกฝนบ่มเพาะเพิ่มพูนพลังฝีมือ แต่อันที่จริงมันแค่จะออกไปหาสตรีมาดูดกลืนพลังหยินได้สะดวกเท่านั้น

 

เรียกว่าตลอดปีที่ผ่าน ดรุณีบริสุทธิ์ไม่เดียงสามากมายล้วนตกตายกลายเป็นซากเหี่ยวแห้งเกรอะกรังนับพันคน!

 

ด้วยเหตุนี้พลังฝึกปรือของฉีจิ้งจึงก้าวหน้ารวดเร็วนัก กระทั่งบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!

 

เซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด! เรื่องนี้จะให้คิดอย่างไร?

 

เรียกว่าอีกก้าวเดียวก็จะบรรลุถึง ขอบเขตพลัง อริยะเซียน แล้ว!

 

ท่ามกลางสายตาของผู้คน ทันทีที่จงกู้กล่าวคำออกมา ก็ไม่มีใครเห็นฉีจิ้งลงมืออะไร หากแต่อาณาบริเวณรอบกายกินรัศมี 100 หมี่ของมันคล้ายจะบังเกิดพายุขึ้น!

 

ผู้คนส่วนใหญ่รวมถึงต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่ทุกคนเห็นก็คือ ปรากฏพายุพลังหนึ่งก่อตัวฉับไวปานสายฟ้าฟาดด้านหน้าฉีจิ้ง และพริบตาต่อมามันก็พัดเข้าใส่จงกู้อย่างรวดเร็ว!

 

เมื่อเห็นการโจมตีในฉับพลันนี้ของฉีจิ้ง ผู้คนก็คิดว่าจงกู้สมควรต้านทานได้ไม่ยากเย็นอะไร เพราะเห็นจงกู้เพียงยกมือขึ้นมาอย่างไร้เรื่องราวและสะบัดฝ่ามือตบฟาดออกไป

 

แต่ผู้ใดจะไปรู้ ทันทีที่ฝ่ามือของจงกู้ปะทะต้านทานเข้ากับพายุพลัง พายุพลังดังกล่าวคล้ายถูกฉีดเลือดไก่! ความเร็วในการหมุนวนของมันทวีคูณขึ้นอย่างน่ากลัว ยังรุนแรงถึงขั้นทำให้อากาศโดยรอบสะท้านสะเทือน!!

 

พริบตาพายุลูกหนึ่งก็คล้ายจะกลับกลายเป็นสัตว์ร้ายมหึมากลืนกินร่างจงกู้เข้าไปทั้งตัว!

 

ปงงง!!

 

เสียงสนั่นลั่นดังขึ้นก้องหูผู้คน ท่ามกลางสายตาตกตะลึง พายุดังกล่าวก็เริ่มมีความเร็วลมทั้งความเร็วรอบในการหมุนลดต่ำลง…อนิจจาร่างจงกู้ที่เคยยืนอยู่ทั้งคน ตอนนี้กลับกลายเป็นหมอกโลหิตไปเสียแล้ว ที่หลงเหลืออยู่กลางฟ้าคือดาบพันผ้า ทั้งแหวนมิติที่หล่นลงมาท่ามกลางหมอกโลหิตดังกล่าว…

 

ตาย!

 

ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าอุบัติขึ้นในชั่วพริบตา เวลาตั้งแต่เริ่มลงมือจนจบยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ…

 

ด้วยเหตุนี้ทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนจึงอดไม่ได้ที่จะสะท้านในใจ

 

เหนือขึ้นไปบนฟ้า เริ่นจงและหลิวหงกวง ผู้ควบคุมดูแลการประลองต่างหันหน้มามองสบตากันทันใด ยังแลเห็นถึงความตกใจในแววตากันและกัน

 

สำหรับกิตติศัพท์ของนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง คนนี้ พวกมันรู้ดี พรสวรรค์อีกฝ่ายไม่ถือว่าเลิศล้ำอะไร แม้จะมีทรัพยากรบ่มเพาะมากมาย แต่สมควรอยู่ที่เซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ฉีจิ้ง กำลังเผยพลังอำนาจที่เหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลางออกมาให้เห็นกันอยู่โทนโท่

 

พริบตานั้น อยู่ดีๆพายุพลังก็ปะทุพลังอำนาจออกมาอย่างเกรี้ยวกราดปานถูกฉีดเลือดไก่ และจากสำนึกเทวะของพวกมัน กลิ่นอายพลังที่สัมผัสได้ ไม่ใช่อะไรที่เซียนขัดเกลาขั้นกลางจะมีได้!

 

“เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ!!”

 

เริ่นจงกับหลิวหงกวงแทบจะสรุปได้พร้อมเพรียงกัน ทั้งคู่มั่นใจว่าฉีจิ้งทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้วแน่ๆ!

 

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพวกมันไม่ได้ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบพลังฝึกปรือที่แท้จริงของฉีจิ้งให้แน่ชัด หากพวกมันกระทำก็คงรู้ได้ทันทีว่าพวกมันเข้าใจอะไรผิดไป!

 

เป็นการไม่สุภาพที่จะตรวจสอบพลังฝึกปรือของผู้อื่นด้วยสำนึกเทวะ พวกมันมีหน้ามีตาย่อมไม่คิดกระทำเช่นนั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยกิตติศัพท์ของอีกฝ่ายที่พวกมันรู้มานาน ไม่ว่าจะเริ่นจงหรือหลิวหงกวง ทั้งหมดก็พากันสรุปว่าอย่างดีฉีจิ้งก็ทำได้แค่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเท่านั้น การที่ทะลวงถึงขั้นเชี่ยวชาญได้ก็นับว่าสร้างความประหลาดใจให้พวกมันมากแล้ว

 

พวกมันไม่กล้าคิดไกลกว่านั้น

 

“เซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง?!”

 

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้เป็นเริ่นจงกับหลิวหงกวงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ทว่าผู้ที่อ่อนด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น ฉีเสิ่นนั่นเอง

 

และตอนนี้จากสัมผัสที่แผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบคร่าวๆ ฉีเสิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าพลังของฉีจิ้งเหนือกว่าเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!

 

ด้วยเหตุนี้ในใจของมันจึงท่วมท้นไปด้วยความตกตะลึง

 

ในความคิดของมัน เรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย!

 

ในฐานะอาวุโสหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ไส้ฉีจิ้งมีกี่ขด ฉีเสิ่นย่อมรู้ดี!

 

มันยังรู้ด้วยว่าต่อให้ฉีจิ้งได้รับทรัพยากรบ่มเพาะมากมายเพียงใด อีกฝ่ายก็ไม่มีวันทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้! ต้องทราบด้วยว่าเมื่อปีที่แล้วฉีจิ้งยังพึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น!

 

ในเวลาแค่ 1 ปี ทะลวงจะด่านพลังเซียนขัดเกลาขั้นต้นมาถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด!

 

‘ปีที่ผ่านมันต้องไปพบพานวาสนาปาฏิหาริย์อันใดมาแน่!’

 

ฉีเสิ่นคิดได้แต่แบบนี้เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามฉีเสิ่นเองก็คงไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะฉีจิ้ง บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารอย่าง มารกลืนหยิน!

 

และเจ้าของเดิมของเคล็ดบ่มเพาะพลังมารกลืนหยิน ก็คือผู้ที่ทำให้คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องร่วงจากขุมพลังกึ่งชั้น 3 มาเป็นขุมพลังชั้น 4!

 

เมื่อฉีเสิ่นรู้สึกตัว ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็กลับมาครองสติได้เช่นกัน ขณะเดียวกันสีหน้าเขาก็เผยความจริงจังขึ้นไม่น้อย ‘พลังของฉีจิ้ง…มันเกินขอบเขตเซียนขัดเกลาไปไกล นี่มันอะไรกัน?!’

 

ไม่เพียงแต่ฉีเสิ่น กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็กลัวความก้าวหน้านี้ของฉีจิ้ง

 

‘ทรัพยากรของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมันเลิศล้ำขนาดนั้นเลยหรอ?’

 

นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียน เขาไม่เหมือนฉีเสิ่นที่เป็นอาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง จึงไม่รู้ว่าทรัพยากรบ่มเพาะที่ฉีจิ้งได้รับมันมีอะไรบ้าง

 

‘ไม่คิดเลยว่ามันจะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ…ฆ่ามันอาจจะยากขึ้น’

 

สีหน้าที่แลดูสงบก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน เผยความขึงขังขึ้นมาทันใด

 

ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ เขาสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางทั้งหมดได้ไม่มีปัญหา ส่วนเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญนั้น เขาสามารถเอาชนะได้ก็แต่พวกที่มีพลังฝีมือทั่วไปรวมถึงพวกทีด่านพลังยังไม่มั่นคงสักเท่าไหร่

 

แน่นอนว่าหากเขาใช้ออกด้วยทุกอย่างที่มี แม้จะทุลักทุเลแต่ก็อาจจะเอาชนะเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่มีพลังฝีมือร้ายกาจเข้าหน่อยได้…

 

ทว่าหากเป็นเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่เป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือ เขาอาจทำได้แค่เสมอ กระทั่งมีโอกาสที่จะแพ้

 

สำหรับเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดนั้น ไม่มีหวังเลย…

 

อันที่จริงเหตุผลที่เขาเชื่อมั่นว่าสามารถรับมือกับเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญที่ร้ายกาจได้ ทั้งหมดเป็นเพราะห้วงเวลาที่ฉีเสิ่นลงมือกับเขาก่อนหน้านี้ จังหวะนั้นทันทีที่เขาหยิบกระบี่นิลสวรรค์ออกมาเตรียมรับมือ ในห้วงเวลาวิกฤตเป็นตาย ระหว่างมีชีวิตรอดกับตายตก…เขาพลันสัมผัสได้ถึงหนทางบรรลุถึงขั้นที่ 2 เงากระบี่สัมพันธ์ใจ ของเคล็ดบำเพ็ญเต๋ากระบี่ ยอดใจกระบี่ ได้อย่างเลือนราง…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด