War sovereign Soaring The Heavens 1713

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1713 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,713 : อวิ๋นคุน…ตาย?

 

เมื่อเห็นอวิ๋นคุนลงมือ จูมูจื่อ จูหยวนและจูเลี่ยพลันแสยะยิ้มบ้างก็หัวเราะร่าออกมา!

 

ราวกับวินาทีนี้พวกมันได้เห็นภาพชายหนุ่มที่กล่าววาจาโอหังถูกฆ่าก็ไม่ปาน!

 

อนิจจายิ้มร่าของพวกมันแสยะเผยออกไม่ทันไร ก็จำต้องชะงักค้างแข็งเติ่ง…

 

ตั้งแต่ที่พวกมันเริ่มหัวเราะร่าจนถึงหยุดยิ้ม ทุกสิ่งอย่างบังเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่พริบตาเท่านั้น! เร็วเสียจนผู้คนทั่วไปไม่อาจตอบสนองใดได้!!

 

สาเหตุที่รอยยิ้มของพวกมันจำต้องแข็งค้างก็เป็นเพราะฉากเรื่องราวเบื้องหน้า!

 

อวิ๋นคุนที่ปะทุพลังเกรี้ยวกราดโถมถันไปพร้อมเขตแดนทรงพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงด้วยความเร็วสูงล้ำ อย่างที่พวกมันทั้ง 3 มิอาจมองตามร่างอวิ๋นคุนได้ทัน…อย่างไรก็ตาม เพียงเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นแล้วดับไปวูบหนึ่ง ร่างอวิ๋นคุนก็ปรากฏให้เห็นอีกครา…

 

อนิจจาร่างอวิ๋นคุนที่ปรากฏขึ้น กลับแลต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง…

 

กล่าวให้ชัดร่างอวิ๋นคุนที่ปรากฏขึ้นนั้น…แว่บแรกก็มีรอยแดงลากจากกลางกระหม่อมจรดหว่างขา และพริบตาต่อมาร่างที่พุ่งไปตามแรงเฉื่อย ก็แยกออกเป็น 2 เสี่ยง…

 

หลังจากนั้นโลหิตก็สาดกระจาย ตับไตไส้พุงคล้ายจะแย่งกันกรูทะลักออกไปกองบนพื้น

 

“อะ…”

 

เห็นฉากนี้ จูมูจื่อก็ตะลึงงันไปปานซิญญาณหลุดลอย

 

อาจารย์อวิ๋นที่ทรงพลังแข็งกล้าเหนือใดในสายตาของมัน…ถูกสังหารแล้วหรือ?

 

ในขณะเดียวกันกับที่อวิ๋นควินถูกผ่าร่างตกตายคาที่ ป๋ายลี่หงที่แลเห็นฉากเรื่องราวเช่นกันก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ สองตาที่มองต้วนหลิงเทียนยังเลื่อนลอยไปคล้ายเห็นสิ่งอภินิหาร

 

พลังฝีมือของศิษย์น้องมันคนนี้…บรรลุถึงจุดที่มันมิอาจจินตนาการได้ออกแล้ว!

 

ยอดฝีมือทรงพลังที่บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด…ตกตายในกระบี่เดียวหรือ?

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่ากระบี่ที่ตวัดฟาดออกไปเมื่อครู่นั้น…มันมีพลังอำนาจบรรลุขอบเขตอริยะเซียน?

 

เพราะคงมีแต่ตัวตนขอบเขตพลังอริยะเซียนเท่านั้น ที่จะฆ่าอวิ๋นคุนได้ง่ายดายเหมือนตัดหญ้าฆ่าไก่ พรากชีวิตของมันไปได้ง่ายดาย…

 

ต้องทราบด้วยว่าอวิ๋นคุนเป็นคนของขุมพลังกึ่งชั้น 3 เช่นนั้นแล้วนอกจากพลังฝึกปรือของมัน วรยุทธ์เซียนทั้งสรรพวิชากระทั่งทักษะลับอะไรทั้งหลายย่อมไม่ธรรมดา อย่างน้อยๆก็ต้องเหนือกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดหลายคนในแดนดิน…

 

ทว่าตัวตนเช่นนั้นกลับตกตายภายใต้หนึ่งคมกระบี่ของศิษย์น้องมัน?

 

แน่นอนที่ว่าหนึ่งคมกระบี่นั้น เป็นป๋ายลี่หงได้แต่คาดเดาไปเอง…เพราะกระทั่งเสียงหอนของกระบี่ยามตวัดฝ่าอากาศมันยังไม่ได้ยิน!

 

แต่แน่นอนมันรู้ว่าสมควรเป็นต้วนหลิงเทียนใช้กระบี่อันน่าอัศจรรย์นั่นแน่ๆ เพียงแค่พลังฝึกปรือมันต่ำต้อยเกินไปจึงไม่อาจรับรู้ได้ยามลงมือ…

 

และความจริงก็พิสูจน์ว่าป๋ายลี่หงคาดถูก

 

มันไม่ได้ยินเสียงหอนของกระบี่ หากแต่จูมูจื่อที่มีพลังฝึกปรือเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ซึ่งเป็นด่านพลังสูงสุดในที่นี้สามารถได้ยินเสียงดังกล่าว แม้จะแผ่วเบาและหายไปในเวลาแค่เสี้ยวพริบตาก็ตามที…

 

ด้วยเหตุนี้พอจูมูจื่อเห็นร่างอวิ๋นคุนปรากฏตัวและเริ่มแยกออกเป็นสองเสี่ยง มันจึงคล้ายวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง สีหน้ายังเริ่มซีดลง เหงื่อกาฬแตกพลั่ก!

 

การตกตายของอวิ๋นคุน สุดที่มันจะคาดคิดได้จริงๆ

 

และเมื่อนึกถึงทีท่า ‘เขียนเสือให้วัวกลัว’ ก่อนหน้าที่มันกระทำต่อต้วนหลิงเทียน ใจมันอดไม่ได้ที่จะสะท้านขึ้นมา

 

หากสวรรค์ให้โอกาสมันอีกสักครั้ง ต่อให้มันมีความกล้ามากกว่านี้เป็นร้อยเท่า มันก็ไม่กล้าท้าทายยั่วยุชายหนุ่มเบื้องหน้าแน่นอน!

 

‘บัดซบ! สารเลวอวิ๋นคุน! ไหนเจ้ากล่าวด้วยความมั่นใจนักมั่นใจหนาว่าแก้ปัญหานี้ได้ง่ายดาย…หาไม่แล้วข้าคงไม่ไปท้าทายมันเช่นนั้น!!’

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ จูมูจื่อก็มองร่างที่แยกเป็น 2 เสี่ยงของอวิ๋นคุนด้วยสายตาโกรธแค้น ยังดุร้ายอาฆาตปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน!

 

‘ไม่คิดเลยว่าเพียงจ่ายปราณสุริยันแรกกำเนิดลงกระบี่นิลสวรรค์แค่ไม่กี่ส่วน กลับให้พลังอำนาจขนาดนี้…อวิ๋นคุนนั่นเป็นของขุมพลังกึ่งชั้น 3 แถมบรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด ยังตกตายโดยที่ข้าไม่เหนื่อยแรงอะไร…’

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สีทองเจิดจ้าที่เปล่งออกมาจากกระบี่นิลสวรรค์ ก็ค่อยๆลดความสว่างลงเหลือเพียงแค่เปล่งประกายแสงทองเรืองรองนวลตา ยังผลให้กระบี่ธรรมดาแลดูงดงามขึ้นหลายส่วน ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ใบกระบี่นิลสวรรค์เบาๆ

 

ฟุ่บ!

 

ทันใดนั้นเองร่างต้วนหลิงเทียนพลันเหินพุ่งออกไปดั่งกระสุน พริบตาก็หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกจูมูจื่อทั้ง 3 แน่นอนว่าระหว่างทางยังไม่ลืมสะบัดมือเรียกเก็บแหวนพื้นที่ของอวิ๋นคุนมาด้วย

 

และตอนนี้สีหน้าทั้ง 3 นับว่าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ในแววตาของพวกมันคงเหลือแต่เพียงความหวาดผวาขลาดกลัว!

 

“อะไร? พวกเจ้ากลัวแล้ว?”

 

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของทั้ง 3 ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา…หากแต่เป็นยิ้มแสยะมุมปากที่แลดูน่ากลัวนัก!

 

“ใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าจูมูจื่อนับว่ามีตาแต่ไร้แวว ไท่ซันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้าแต่ข้ามิอาจแลเห็น! ขอใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ได้โปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าสักครา…ตราผนึกมารนับว่าคู่ควรที่จะอยู่ในมือใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่เพียงคนเดียว อวิ๋นคุนนั้นมันก็แค่ตัวโง่งมมิรู้ต่ำสูง เป็นเพียงหิ่งห้อยแต่หาญกล้าคิดแข่งขันประชันกับแสงจันทร์!!”

 

จูมูจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะคุกเข่าทั้งก้มหัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

 

ตอนนี้สง่าราศีทั้งบารมีที่เคยประดับอยู่ทั่วร่างของมัน สลายหายไปสิ้น ไม่ต่างอะไรจากมุสิกขลาดเขลาตัวหนึ่ง

 

และเมื่อเห็นทีท่าการกระทำนี้ของจูมูจื่อ จูหยวนและจูเลี่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะตั้งแต่ที่พวกมันเกิดมา…ต่างไม่เคยพบเคยเจอด้านนี้ของเสด็จลุงเลย…คล้ายกับนี่เป็นคนอื่นไม่ใช่เสด็จลุงของพวกมัน!!

 

แต่พวกมันก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะจูมูจื่อหวาดกลัวความตาย

 

หากก่อนหน้านี้เสด็จลุงไม่ไปยั่วยุท้าทายชายหนุ่มเบื้องหน้า บางทีอีกฝ่ายคงไม่คิดทำอะไร

 

ปัญหาก็คือเสด็จลุงได้ยั่วยุท้าทายชายหนุ่มไปแล้ว…

 

มันลองถามตัวเองว่าหากเป็นอีกฝ่าย จะปล่อยคนที่หาญกล้าท้าทายเช่นนี้ไปหรือไม่…ย่อมไม่!

 

ทว่าอันที่จริงแล้วหลังจากที่ฆ่าอวิ๋นคุนไป ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรพวกจูมูจื่อและอีก 2 คนแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังไม่ได้แยแสวาจาที่พวกมันกล่าวออกมาก่อนหน้าด้วยซ้ำ

 

เหมือนท่านกำลังเดินอยู่บนถนน แล้วถูกสุนัขตัวหนึ่งเห่าใส่…ท่านคงไม่ลดตัวลงไปฆ่าสุนัขตัวนั้นใช่หรือไม่?

 

อย่างไรก็ตามพอได้เห็นอาการขี้ขลาดน่าสมเพชนี้ของจูมูจื่อ ต้วนหลิงเทียนพลันบังเกิดความรู้สึกขัดใจขึ้นมาตงิดๆ กระบี่ในมือพลันตวัดออกตามอำเภอใจ ปรากฏเป็นคลื่นพลังสะบั้นสีทองพุ่งยิงออกไปสายหนึ่ง! คลื่นพลังแล่นวาบตัดฟ้าดั่งดาวหาง พุ่งผ่านลำคอจูมูจื่อไปก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนองใดๆ…

 

อวิ๋นคุนที่บรรลุขอบเขตพลังเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดยังตกตายอย่างที่ไม่อาจต่อต้าน…

 

คงไม่ต้องกล่าวถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเช่นมัน…

 

และแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะใช้พลังกระบี่ออกไปส่งๆอย่างไร้เรื่องราว ทำให้พลังกระบี่รอบนี้นับว่าอ่อนด้อยกว่าตอนที่เขาใช้ฆ่าอวิ๋นคุนหลายส่วน…ทว่านั่นก็มากเกินพอจะฆ่าจูมูจื่อให้ตายซ้ำซากสักสิบรอบ!

 

“เสด็จลุง!!”

 

จูหยวนและจูเลี่ย เมื่อเห็นศีรษะของเสด็จลุงร่วงตกลงไปกลิ้นหลุนๆบนพื้น พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า หน้ายังเปลี่ยนสีไปทันใด!

 

อย่างไรก็ตามแม้สองตาของพวกมันจะแดงปานสีเลือด แต่พวกมันก็ไม่กล้าเผยความคับแค้นชิงชังอะไรออกมา

 

ผู้ใดจะไปรู้ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าติดคิดฆ่าพวกมันเพื่อตัดรากถอนโคนหรือไม่..หากพวกมันเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังคับแค้น!?

 

แม้ในใจของพวกมันอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายตกคามือ แต่พวกมันย่อมรู้ดีว่าพลังฝีมือของตัวไม่ร้ายกาจสามารถถึงขั้นนั้น สิ่งที่พวกมันพอจะกระทำได้ก็คือ…พยายามไม่กระตุ้นโทสะหรือสร้างความขุ่นเคืองใจให้อีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด!

 

อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะฆ่าจูหยวนกับจูเลี่ยตั้งแต่แรก

 

ถึงแม้ว่าสำหรับเขาตอนนี้คิดฆ่าจูหยวนกับจูเลี่ยเป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก แต่จะอย่างไรทั้งคู่ก็เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูเฟิง หากประเทศฝูเฟิงไร้ผู้เข้มแข็งเช่นพวกมันควบคุม น่ากลัวจะโกลาหลวุ่นวาย

 

และหากประเทศฝูเฟิงกลายเป็นโกลาหลวุ่นวาย ที่จะตามมาก็คือการแก่งแย่งชิงดี คราวนี้น่ากลัวว่าทั้งประเทศคงพยายามแบ่งพรรคแบ่งพวก ทั้งหาขุมพลังสนับสนุน กลายเป็นปั่นป่วนไปทั้งประเทศ…

 

เกรงว่าถึงตอนนั้นไม่แคล้วตระกูลซือถูซึ่งกล่าวได้ว่าเกี่ยวดองกับราชวงศ์ส่วนหนึ่ง คงต้องถูกฉุดลากลงกองเพลิงแห่งความแก่งแย่งชิงดีด้วย…

 

ตระกูลซือถูเป็นที่อยู่ของสหายและผู้หลักผู้ใหญ่ รวมถึงศิษย์พี่ของเขา ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อยากให้ตระกูลซือถูต้องมาเดือดร้อนอะไร

 

เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้ฆ่าจูหยวนกับจูเลี่ยทิ้ง

 

“ตราผนึกมารเป็นสิ่งที่ข้าต้องได้มาครองให้จงได้! หากข้าเห็นว่าตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้ากล้ากระทำเรื่องปัญญาอ่อนจนทำให้ข้าเสียเรื่อง อย่างไปลงมือกับสหายของต้วนหลิงเทียนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นอีกล่ะก็…ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าล้างตระกูลราชวงศ์ของพวกเจ้า!”

 

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจูหยวนและจูเลี่ยด้วยสายตาเย็นชาอีกรอบ ก่อนที่ร่างเขาจะอันตรธานหายไปในอากาศ

 

สำหรับป๋ายลี่หงนั้น…เขาไม่ได้พาไปด้วยแต่อย่างไร!

 

สถานะของตัวเขาตอนนี้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับป๋ายลี่หง ย่อมไม่เหมาะที่จะพาป๋ายลี่หงออกไปด้วย

 

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าแม้เขาจะจากไปโดยไม่พาป๋ายลี่หงไปด้วย แต่ตราบใดที่ฮ่องเต้ฝูเฟิงยังหลงเหลือสมองอยู่บ้าง มันก็คงไม่คิดสร้างปัญหาให้ป๋ายลี่หงอีกต่อไป…กระทั่งยังต้องพยายามปกป้องป๋ายลี่หงด้วยซ้ำ!

 

และความเป็นจริงก็เป็นหมือนสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไม่มีผิด! การเดินออกจากวังหลวงของป๋ายลี่หงนับว่าราบรื่นนัก ตลอดทางไม่มีใครกล้าขัดขวาง สุดท้ายก็เดินกลับมาถึงตระกูลซือถูโดยสวัสดิภาพ!!

 

เมื่อเห็นว่าป๋ายลี่หงที่ถูกตระกูลราชวงศ์จับตัวไปเมื่อ 2 เดือนก่อนเดินกลับมา ตระกูลซือถูทั้งหมดก็ตกตะลึงกันยกใหญ่ ด้วยไม่คิดว่าป๋ายลี่หงจะรอดกลับมาแบบนี้ได้!

 

ป๋ายลี่หงที่เป็นปรมาจารย์เซียนจารึกระดับ 4 ดาวแบบนี้…มีความสำคัญขนาดไหน ทำไมพวกมันจะไม่รู้ได้! น่ากลัวว่าหากไม่เชื่อฟังตระกูลราชวงศ์ ก็จำต้องตาย!!

 

ในสายตาของพวกมัน ป๋ายลี่หงมีแค่ 2 ทางเลือกที่ว่าเท่านั้น!

 

แต่พวกมันไม่คิดเลยว่าป๋ายลี่หงที่เป็นเหมือนเนื้อแกะเข้าปากเสือไปแล้วแบบนี้…จะสามารถหนีรอดกลับมาได้!

 

“ปรมาจารย์ป๋ายลี่”

 

เมื่อได้รับทราบถึงการกลับมาของป๋ายลี่หง พ่อลูกตระกูลซือถูก็รีบเร่งออกมาต้อนรับเป็นการใหญ่ ใบหน้าของพวกมันฉาบไว้ด้วยความประหลาดใจถึงที่สุด อีกทั้งยังเจือไว้ด้วยความรู้สึกผิดนัก! เพราะพวกมันไร้สามารถปกป้องอีกฝ่าย…ได้แต่ปล่อยให้ตระกูลราชวงศ์จับตัวอีกฝ่ายไปดื้อๆ…

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายใหญ่ตระกูลซือถูอย่างซือถูหัง พอเห็นป๋ายลี่หงกลับมาถึงตระกูลซือถูในสภาพครบสามสิบสอง มันก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก

 

มันยังจดจำได้ดีว่าครั้งที่ปรมาจารย์ต้วนจากไป อีกฝ่ายฝากฝังสหายและศิษย์พี่เอาไว้กับมัน ยังกำชับให้ดูแลทุกคนอย่างดี

 

ทำให้ตอนที่ป๋ายลี่หงถูกจับตัวไป มันรู้สึกเศร้าเสียใจทั้งรู้สึกผิดถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับไปเป็นเดือน พอมาตอนนี้ได้เห็นป๋ายลี่หงกลับมาตระกูลซือถูอย่างปลอดภัย มันจึงอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้จริงๆ…

 

อย่างไรก็ตาม ความประหลาดใจของทุกคนในตระกูลซือถูก็ไม่ได้หายไปไหน ด้วยเพราะทั้งหมดคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนป๋ายลี่หงถึงรอดพ้นเงื้อมมือคนของตระกูลราชงศ์และกลับมาได้เช่นนี้?

 

เพราะในสายตาของพวกมัน ตระกูลราชวงศ์ไม่มีวันปล่อยปรมาจารย์จารึกเซียนระดับ 4 ดาวให้รอดพ้นเงื้อมมือมาง่ายๆแน่นอน!

 

และไม่นานมานี้ประมุขนิกายอัคคีล่องลอยอย่างสื่ออวิ๋น ก็ได้ไปเยือนวังหลวงเป็นการส่วนตัว เรียกร้องให้ปล่อยคนมาแล้ว ทว่าต่างเห็นกันชัดเจนว่านางล้มเหลว เพราะกระทั่งนางก็จำต้องล่าถอยกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส…!

 

“เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้”

 

เป็นธรรมดาที่ป๋ายลี่หงจะไม่กล่าวเล่าความจริงออกมา เพราะต้วนหลิงเทียนก็ได้กำชับเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก

 

“ยอดฝีมือผู้นั้น ต้องการครอบครองตราผนึกมารที่อยู่ในมือศิษย์น้อง มันจึงกลัวว่าหากข้าตกตายไปเพราะการทรมานของตระกูลราชวงศ์ จะทำให้ศิษย์น้องข้าตื่นตัวและเลือกที่จะซ่อนตัวให้มิดชิดกว่าเดิม…เช่นนั้นยอดฝีมือผู้นั้นจึงช่วยเหลือข้าออกมา และกล่าวย้ำเตือนฮ่องเต้ฝูเฟิงไว้ชัดเจน ว่าอย่าได้บังเกิดความคิดแตะต้องข้าอีก…”

 

พอได้ยินวาจาเล่าความของป๋ายลี่หง ซือถูหัง ซือถูฮ่าวและคนอื่นๆของตระกูลซือถูอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจไปพักหนึ่ง

 

เช่นนี้ก็ได้หรือ?!

 

“เป็นยอดฝีมือลึกลับที่ร้ายกาจนัก…แต่นับว่าโชคดีแล้วจริงๆที่ท่านปรมาจารย์ป๋ายลี่ได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือลึกลับเช่นนี้ หาไม่แล้วคงมิอาจกลับมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”

 

อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลวือถูกล่าวออกพร้อมถอนหายใจ

 

ไม่อาจกลับมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?

 

ได้ยินวาจานี้ของอาวุโสตระกูลซือถู ป๋ายลี่หงอดไม่ได้ที่จะแค่นคำเย้ยเยาะในใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด