War sovereign Soaring The Heavens 1715

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1715 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,715 : มณฑลฟ้าลี้ลับ

 

การฝากให้ศิษย์คนหนึ่งไปกล่าวบอกประมุขสื่ออวิ๋นว่าเขาลงมือล้างแค้นให้นางแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้คิดทบทวนมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่วู่วามฝากฝังไปเรื่อยเปื่อย

 

ถึงแม้การบุกเข้าวังหลวงไปช่วยป๋ายลี่หงเขาจะปลอมแปลงรูปโฉมไป แต่ในเมื่อสื่ออวิ๋นเป็นอาจารย์ของเฟิ่งเทียนหวู่ เขาจึงไม่คิดจะปกปิดนาง

 

สำหรับเรื่องศิษย์ส่วนตัวของประมุขสื่ออวิ๋นที่ต้วนหลิงเทียนฝากให้นางไปส่งข้อความคนนี้ ตอนที่ต้วนหลิงเทียนเจอกับเฟิ่งเทียนหวู่ครั้งแรกในนิกายอัคคีล่องลอย เขาก็ได้รับทราบจากเฟิ่งเทียนหวู่ตั้งมา ว่าศิษย์พี่หญิงของนางคนนี้เดิมทีเป็นเด็กกำพร้า แต่ได้อาจารย์รับมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็กๆ เช่นนั้นนางจึงเห็นสื่ออวิ๋นเป็นดั่งมารดาแท้ๆ และเป็นห่วงเป็นใยสื่ออวิ๋นยิ่งกว่าใคร…

 

เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่กลัวว่านางจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกมา เพราะนั่นจะเป็นการชักนำเภทภัยมาสู่อาจารย์ที่นางรักและเคารพไม่ต่างจากมารดา…

 

และถึงแม้ว่านางจะพลั้งเผลอแพร่งพรายเรื่องราวออกมา แต่เกรงว่าคงมีน้อยคนที่จะเชื่อนาง!

 

เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนบุกมายังวังหลวง กระทั่งฆ่าจูมูจื่อและอวิ๋นคุนไป เขาได้ใช้โฉมหน้าที่ปลอมแปลงขึ้นมาด้วยทักษะลับแปลงโฉมที่ผู้เฒ่าหั่วถ่ายทอดมาให้! อีกทั้งเขาเองก็ตระหนักได้ชัดเจนว่าจูหยวนกับจูเลี่ยได้พยายามตรวจสอบเขาด้วยสำนึกเทวะ นั่นทำให้ทั้งคู่คงเชื่อไปแล้วว่านั่นคือใบหน้าที่แท้จริงของเขา…

 

ทักษะลับแปลงโฉมของผู้เฒ่าหั่วนับว่าเป็นยอดวิชาปาฏิหาริย์ก็ว่าได้! น่ากลัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคงยากจะมีบุคคลที่ 2 ที่สำเร็จทักษะแปลงโฉมอันร้ายกาจเช่นนี้อีก กระทั่งคงยากจะมีใครล่วงรู้ถึงการดำลงอยู่ของทักษะแปลงโฉมเลิศล้ำถึงขั้นไร้ร่องรอยให้สืบสาวแบบนี้!!

 

กระทั่งต่อให้เรื่องนี้เริ่มลือกันออกมา ต้วนหลิงเทียนยังเชื่อว่าจูหยวนกับจูเลี่ยเองคงเป็น 2 คนแรกที่ออกมากล่าวยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเขา!

 

หลังจากที่ออกจากนิกายอัคคีล่องลอยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะเดินทางออกจากประเทศฝูเฟิงทันที ไม่คิดย้อนกลับไปเมืองหลวงอะไรอีก

 

‘ไม่รู้ป่านนี้เทียนหวู่ไปอยู่ที่ไหนแล้ว…แถมเรื่องท่านพ่อท่านแม่เองก็ยังมืดแปดด้าน บ้าจริง…หากข้าไม่พลั้งมือทำลายหยกบันทึกเสียงนั่นไป ป่านนี้ข้าคงได้เจอท่านพ่อท่านแม่แล้ว จากที่เฉวี่ยไน่บอกมา…สมควรเป็นคนของท่านพ่อที่พาตัวเสี่ยวเฟยเอ๋อไป…ไม่รู้จริงๆว่าท่านพ่อไปรู้ได้ยังไงว่าเสี่ยวเฟยเอ๋ออยู่ที่คฤหาสน์คลื่นขจี?’

 

ในขณะที่เดินทางออกจากประเทศฝูเฟิง ใจต้วนหลิงเทียนก็ล่องลอยครุ่นคิดไปไกล

 

‘เค่อเอ๋อ…ไม่รู้ป่านนี้เจ้ากับลูกเป็นอย่างไรแล้ว จะปลอดภัยดีกันอยู่ไหม…’

 

ตอนที่ได้รู้ว่าลี่เฟยสมควรอยู่กับบิดาของเขาแล้ว ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ทว่าด้านเค่อเอ๋อนั้น…เทียบกับลี่เฟยที่สมควรปลอดภัยแล้ว สถานการณ์ของนางเป็นอย่างไรบ้างเขาไม่อาจรู้ได้เลย จึงทำให้ในใจเป็นกังวลมาก

 

หลังออกจากเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะแวะที่คฤหาสน์คลื่นขจีแต่อย่างใด ทว่าเลือกจะมุ่งหน้าไปยังตำหนักฟ้าลี้ลับโดยตรง

 

ในฐานะขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่มีอยู่ไม่มากในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ตำหนักฟ้าลี้ลับนั้นปกครองพื้นที่ทางตอนเหนือในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และต่อให้ต้วนหลิงเทียนเดินทางโดยไม่พัก เขาก็ต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะไปถึง

 

แน่นอนว่าด้วยพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ การเดินทางโดยไม่ได้นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันทั้งเดือนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

 

สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปเจียนครบเดือน ต้วนหลิงเทียนก็มาถึงพื้นที่ปกครองของตำหนักฟ้าลี้ลับในที่สุด

 

พื้นที่แถบนี้ยังเรียกกันอีกอย่างว่า มณฑลฟ้าลี้ลับ

 

ความกว้างใหญ่ของมณฑลฟ้าลี้ลับนั้น เทียบได้กับเขตอิทธิพลหลักของขุมพลังชั้น 4 จำนวน 2 ขุมพลังควบรวมเข้าด้วยกัน…ที่สำคัญ 1 ใน 2 ขุมพลังชั้น 4 ที่อยู่ในมณฑลฟ้าลี้ลับก็ไม่ใช่ขุมพลังแปลกใหม่สำหรับต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร เพราะมันไม่ใช่ขุมพลังอื่นใด…เป็นคฤหาสน์คลื่นคลั่ง!

 

หลิวหงกวง อาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่งนั้นเป็น 1 ในผู้ดูแลการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ที่จัดขึ้นในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง

 

เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะเข้าร่วมกับคฤหาสน์ข้ามฟ้าหรือไม่ก็คฤหาสน์คลื่นคลั่ง แต่พอเขาบังเอิญได้รับทราบว่าตำหนักฟ้าลี้ลับกำลังเฟ้นหาอัจฉริยะเป็นศิษย์ เขาก็เปลี่ยนใจแทบจะทันที และทิ้งให้หลิวหงกวงกับเริ่นจงรอเก้อ…

 

และเริ่นจงที่ว่านั่นก็เป็นถึงรองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้า…

 

สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกผิดไม่น้อย เช่นนั้นวันหน้าหากมีโอกาสเขาจะต้องหาทางตอบแทนคฤหาสน์ข้ามฟ้าและคฤหาสน์คลื่นคลั่งแน่นอน

 

หลังจากที่มาถึงมณฑลฟ้าลิ่วล่องแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะแวะพักที่เมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่เขาบังเอิญเหินผ่าน และเป็นที่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พลาดการเข้าไปเก็บข้อมูลในเหลาอาหาร…

 

ต้วนหลิงเทียนที่เข้ามาในเหลาอาหารใหญ่โตแลดูหรูหราแห่งหนึ่ง พึ่งนั่งลงก้นไม่ทันอุ่น ก็ได้ยินเสียง 2 เสียงแว่วดังเข้าหู

 

“เฮ่! เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ เห็นว่านายน้อยของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องที่เรียกว่าฉีจิ้งอันใดนั่น มันถึงกับตกตายคาการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องล่ะ!”

 

“อ๋อ เรื่องนี้น่ะรึ ข้าได้ยินมาแล้ว…ยังกล่าวกันว่าในการประลองยังมียอดฝีมือที่ร้ายกาจปานปีศาจปรากฏตัวขึ้นมา กระทั่งคฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่งยังต้องตาพึงใจถึงกับยืนหยัดช่วยเหลือ…แต่สุดท้ายยอดฝีมือพเนจรผู้นั้นกลับหายตัวไปไปดั่งนกหลุดกรง ไม่ไว้หน้ารองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าเริ่นจงกับอาวุโสลำดับ 2 ของคฤหาสน์คลื่นคลั่ง หลิวหงกวง”

 

“อันที่จริงเรื่องนี้ก็เข้าใจได้มิยาก ด้วยพลังฝีมือกล้าแข็งของมัน อย่าว่าแต่ขุมพลังชั้น 4 เลย ต่อให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ข้ากลัวว่ายังจะรีบไปเชิญให้มันเข้าร่วมด้วยซ้ำ…นอกจากนี้แดนลับเซียนของตำหนักฟ้าลี้ลับเองก็ใกล้จะเปิดเต็มที จึงประกาศรับสมัครอัจฉริยะที่อายุมิเกิน 40 ปีกันให้วุ่น…ข้าเชื่อว่าผู้ฝึกตนพเนจรผู้นั้นย่อมบังเกิดความสนใจ และตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเป็นแน่!”

 

“เฮ่ ข้าว่าคนผู้นั้นคงไม่ปล่อยให้คฤหาสน์ข้ามฟ้ากับคฤหาสน์คลื่นคลั่ง ‘นก’ เพราะสาเหตุนี้หรอก…เพราะจากที่ข้าทราบมาตอนที่จัดการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ข่าวที่ตำหนักฟ้าลี้ลับเฟ้นหาอัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตเซียนก่อนอายุ 40 ปียังมิทันแพร่ไปถึงเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเลยมิใช่หรือ?”

 

……

 

ทั้งสองคุยกันเสียงดังไม่น้อย เช่นนั้นวาจาของพวกมันทั้งคู่ย่อมดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนชัดทุกคำ ยังทำให้เขาอดยิ้มออกมาเสียไม่ได้

 

เขาไม่คิดเลยว่าวีรกรรมที่เขาก่อไว้ในเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะดั่งมาถึงมณฑลฟ้าลิ่วล่องนี่ได้!

 

ไม่เพียงแค่นั้น นาม ‘ลี่เฟิง’ ของเขายังมีผู้คนจำนวนมากรู้จัก!

 

“กล่าวกันว่าทางตำหนักฟ้าลี้ลับเองก็ได้ปิดประกาศเอาไว้เช่นกัน ว่าหากผู้ชนะอันดับ 1 ในการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องยินดีเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับ ทางตำหนักฟ้าลี้ลับยินดีที่จะมอบสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนให้ทันที มิจำเป็นต้องต่อสู้ช่วงชิงกับผู้อื่น…ยิ่งไปกว่านั้นตำหนักฟ้าลี้ลับจะพยายามสนับสนุนส่งเสริมด้านการบ่มเพาะอย่างดีที่สุด!”

 

“ฮัยยา นับว่าคราวนี้ตำหนักฟ้าลิ่วล่องใจป้ำเสียจริง นี่เผยให้เห็นชัดว่าพวกมันกระสันอยากได้ตัวยอดฝีมือพเนจรอย่าง ลี่เฟิง มาเข้าร่วมขุมพลังมากมายเพียงใด”

 

“เหอะๆ แล้วจะให้ไม่กระสันกันได้อย่างไรไหว ลี่เฟิงนั้นอายุยังไม่ทันถึง 40 ปีที แต่กลับบรรลุขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดเข้าไปแล้ว…อันที่จริงต่อให้ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่มอบสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนให้ หรือลี่เฟิงยังต้องกลัวว่ามิอาจใช้พลังฝีมือช่วงชิงมาได้? ข้อเสนอนี้นับว่าช่างไร้ค่าสำหรับลี่เฟิงนัก!”

 

“บางทีลี่เฟิงอาจไม่สนใจข้อเสนอนี้ แต่เรื่องที่ตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวว่ายินดีสนับสนุนส่งเสริมเรื่องการบ่มเพาะอยางดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เล่า? เช่นนั้นน่ากลัวว่าไม่นานพลังฝึกปรือของลี่เฟิงคงก้าวหน้าขึ้นด้วยความเร็วอัศจรรย์เป็นแน่ กระทั่งอีกมินานเผลอๆจะได้กลายเป็น เสาหลัก ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!”

 

“นั่นสิ ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเรา กลับมีอัจฉริยะที่ร้ายกาจปานปีศาจเช่นลี่เฟิงปรากฏตัวขึ้นมาได้…เห็นว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่ตำหนักฟ้าลี้ลับนะ แต่ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อื่นๆที่รับทราบเรื่องนี้แล้ว ก็พยายามประกาศข้อเสนอเพื่อล่อให้ลี่เฟิงมาเข้าร่วมกันทั้งนั้น…เรียกว่าตอนนี้ให้เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมพลังใดลี่เฟิงก็สามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น ทั้งยังจะได้รับการดูแลส่งเสริมอย่างดีที่สุด”

 

“น่าอิจฉาจัง..ถึงข้าจะไม่เคยไปภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า แต่ข้าว่าอัจฉริยะเบื้องบนก็ยากจะเทียบกับลี่เฟิงได้! ไฉนมารดาข้าไม่ให้พรสวรรค์เช่นนี้กับข้ามาบ้างนะ…”

 

“เหอะๆ แข่งอันใดแข่งใดแต่บุญวาสนาแข่งันได้หรือ แต่น่าเสียดายที่หลังจบการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง ลี่เฟิงผู้นี้ก็คล้ายจะหายสาบสูญไปจากโลกหล้า…ทางคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเองก็ระดมออกตามล่าตัว หมายล้างแค้นให้นายน้อยของพวกมัน แต่เห็นว่าสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว มิพบเจอร่องรอยใดๆ…ไม่รู้คนไปอยู่ที่ใดกันแน่”

 

“อ้อ…เรื่องนี้บางคนลือกันว่า ลี่เฟิง ถูกยอดฝีมือที่มาจากภูมิภาคเบื้องบนต้องตาพึงใจ กระทั่งนำตัวไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว…พวกเจ้าว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ?”

 

“ใต้หล้ามากอัศจรรย์ มิว่าอันใดก็เป็นไปได้หมดแหล่ะ…อันที่จริงพวกข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน ว่าลี่เฟิงผู้นี้ที่แท้เป็นอัจฉริยะจากภูมิภาคเบื้องบนที่ลงมาหาประสบการณ์! จนจับพลัดจับผลูมาเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่อง…ทั้งหมดเป็นแค่การเดินทางเคี่ยวกรำฝึกฝน หมายขัดเกลาพลังฝีมือตัวเองเท่านั้น!!”

 

……

 

ต้วนหลิงเทียนพบว่าตอนนี้ผู้คนมากมายล้วนสนทนากันถึงเรื่องของเขา

 

แน่นอนว่าเขารู้ดีว่านี่คงเป็นเพราะเรื่องราวของเขาพึ่งจะแพร่กระจายมาถึงมณฑลฟ้าลี้ลับได้ไม่นาน คงต้องรอสักพักกว่าเรื่องราวจะซาลง คนเราย่อมเห่อของใหม่กันเป็นธรรมดา ข่าวเรื่องราวอะไรก็เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ เพราะเขาไม่คิดเลยว่าการเข้าร่วมการประลองจัดอันดับยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องคราวนี้ จะทำให้เขากลายเป็นคนดังอย่างที่ไม่คิดไม่ฝัน กระทั่งขุมพลังมากมายพากันยื่นข้อเสนอให้เขาแบบนี้…

 

‘เอ่อ…หรือว่าข้าจะเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับในฐานะลี่เฟิงเลยดี?’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ

 

อย่างไรก็ตามหลังจากครุ่นคิดไปสักพัก เขาก็ปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปทันที ‘ไม่ดีกว่า ด้วยพลังฝีมือของข้าตอนนี้ต่อให้ไม่ใช้ฐานะลี่เฟิง ก็เข้าตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งชิงสิทธิ์เข้าแดนลับเซียนอะไรนั่นมาได้ไม่ยาก…และเพียงเผยพลังฝีมือให้พวกมันเห็นคุณค่า เดี๋ยวทรัพยากรของตำหนักฟ้าลี้ลับก็ตกมาถึงมือข้าเอง…’

 

‘เรื่องที่สำคัญที่สุดหากข้าเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับโดยใช้ตัวตนลี่เฟิง เทียนหวู่ย่อมไม่มีวันรู้ได้เลยว่าข้าอยู่ที่ตำหนักฟ้าลี้ลับ…เช่นนั้นใช้ชื่อ หลิงเทียน น่าจะเข้าท่ากว่า ด้วยไหวพริบของเทียนหวู่ แม้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้ารึเปล่า แต่นางต้องระแคะระคายและมายืนยันด้วยตัวเองก่อนแน่นอน!’

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้ชัด ว่าจะเข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับในนาม ‘หลิงเทียน’

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีเวลาเหลืออีกถึง 10 เดือน กว่าที่ตำหนักฟ้าลี้ลับจะเริ่มการทดสอบคัดเลือกศิษย์ เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากมาย เขาหาเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลเมืองและความวุ่นวายก่อนที่จะขุดถ้ำบนเขา กระทั่งยังปกปิดปากถ้ำเอาไว้อย่างดี ไม่ให้มีลมฝนกล้ำกราย และวางเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไว้ด้านใน

 

หลังจากนั้นเพียงห้วงคิด ร่างของเขาก็วูบเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ทั้งยังเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ทันที

 

เวลา 10 เดือนในโลกภายนอกนั้น ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมันมากกว่า 4 ปีเสียอีก!

 

ถึงแม้จะหักลบกับเวลาที่ต้วนหลิงเทียนต้องใช้เดินทางไปถึงตำหนักฟ้าลี้ลับแล้ว เขาก็ยังเหลือเวลาฝึกฝนบ่มเพาะถึง 4 ปี! มีเวลาขนาดนี้พลังฝึกปรือของเขาต้องก้าวหน้าอีกครั้งแน่!!

 

และเขามั่นใจมากว่าจะสามารถยกระดับพลังฝึกปรือของเขาให้บรรลุเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด!

 

ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเริ่มบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็งอีกครั้ง

 

เป็นธรรมดาที่ในขณะบ่มเพาะพลังเขาจะกอดกระบี่นิลสวรรค์เอาไว้ และใช้ความสามารถแยกใจหลายทาง พยายามทำความเข้าใจเคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่าง ยอดใจกระบี่ เต็มกำลัง

 

ต้วนหลิงเทียนได้เห็นซึ้งถึงพลังของ ยอดใจกระบี่ แล้ว เขาจึงทุ่มเททหมดใจให้เคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ โดยที่ไม่สนใจวรยุทธ์เซียนอื่นใดอีกเลย…

 

เพราะต่อหน้า ยอดใจกระบี่ วรยุทธ์เซียนใดๆในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ล้วนไม่อาจนับเป็นอะไรได้!

 

เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับสิ่งที่อ่อนด้อย ในเมื่อมีสิ่งที่ดีกว่าตั้งอยู่เบื้องหน้า!

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจมจ่อมในภวังค์บ่มเพาะ ในที่สุดอาจารย์ของหานเฉวี่ยไน่ก็ได้หวนกลับมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจี และนำพาหานเฉวี่ยไน่รวมถึงเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 เดินทางออกจากคฤหาสน์คลื่นขจี มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่จะขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน…

 

“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”

 

หานเฉวี่ยไน่ที่กำลังจะเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า หันมองกลับไปยังสุดขอบฟ้าไกลตาทิศทางหนึ่งตามสัญชาตญาณด้วยใบหน้าเศร้าซึม…

 

เมื่อไม่ทราบว่าจากกันคราวนี้…อีกนานเพียงใดนางถึงจะได้เจอพี่ใหญ่หลิงเทียนของนางอีกครั้ง ทำให้ใจของนางบังเกิดความลังเลทั้งคิดถึงอยู่บ้าง…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด