War sovereign Soaring The Heavens 1752

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1752 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,752 : มีเรื่อง

 

เนื่องจากมันไม่อาจยอมรับเรื่องที่จะให้ความสำคัญกับ ตัวถ่วง อย่างหลิวเจี้ยนก่อนได้ ทำให้เกาเผิงไม่คิดกล่าวถึงเรื่องร่วมมือกันในแดนลับเซียนกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป เพียงยิ้มขออภัยต้วนหลิงเทียนออกมา “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าดีกว่า”

 

ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าต้วนหลิงเทียนเจื่อนไป เหมือนเป็นคนที่กำลังทวงหนี้กับสหาย…

 

“แม่นางหวาง คราวนี้ข้าได้เจ้าช่วยไว้แล้วจริงๆ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้เกาเผิง ก่อนที่จะส่งเสียงกล่าวขอบคุณไปให้หวางเฟยเซวียน

 

หวางเฟยเซวียนไม่เพียงกล่าวปฏิเสธแทนทำให้เขาไม่ต้องลำบากใจอะไร แต่ยังกำจัดเกาเผิงไปได้ในไม่กี่คำ!

 

“ฮึ! เจ้ามันทึ่ม! ต่อให้เจ้าปฏิเสธไปตรงๆ มันจะทำอะไรเจ้าได้เล่า”

 

หวางเฟยเซวียนหยีตามองจ้องต้วนหลิงเทียน ส่งเสียงกล่าวตอบด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

 

แน่นอนว่าด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ต่อให้ปฏิเสธไปตรงๆอย่างไม่ไว้หน้า เกาเผิงก็ไม่มีปัญญาจะต่อต้านอะไร

 

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินวาจานี้ ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆออกมา

 

“เฟยเซวียน…”

 

ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้สำหรับต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆแล้วไม่นับว่าแปลกหูอะไร

 

หากแต่ได้ยินเสียงของจ้าวจี้คราวนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะจากน้ำเสียงนั่น…แลคล้ายเรียกหาคนที่สนิทสนมกันนัก อดไม่ได้ที่เขาจะหันไปมองหวางเฟยเซวียนด้วยสายตาสงสัยทัปานจะกล่าวถาม…

 

เจ้ารู้จักมันด้วยเหรอ?

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยสายตาสงสัย หวางเฟยเซวียนพลันส่ายหน้าไปมา ก่อนที่จะหันไปมองจ้าวจี้และผู้ติดตามอีก 2 คนที่เหินร่างเข้ามา “พวกเรารู้จักกันด้วยหรือ?”

 

“เฟยเซวียน…เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ ข้าพี่จ้าวจี้ไงจะเป็นผู้ใดอีกเล่า…หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าตอนที่เจ้าอายุได้ 3 ขวบ ข้ากับบิดาเคยไปเป็นแขกของคฤหาสน์ดาบทรราช?”

 

คราวนี้จ้าวจี้เรียกว่าไม่สนใจต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย สายตาเร่าร้อนหื่นกระหายของมันมองจ้องหวางเฟยเซวียนไม่วาง

 

“ข้าจำไม่ได้หรอก ท่านปู่ของข้าก็มิเคยกล่าวถึง”

 

ได้ยินวาจาของจ้าวจี้ทั้งเห็นแววตาที่มันมองมา หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะลอบสบถในใจด้วยความรังเกียจ กล่าวตอบเสียงห้วนอย่างไม่ไว้หน้า

 

นางที่ควรจะยำเกรงจ้าวจี้…ทว่าพอโดนจ้าวจี้ทำท่าคล้ายจะเข้ามาจีบ นางไม่เพียงรู้สึกรังเกียจมันขึ้นมา ยังเผยความไม่พอใจออกด้วยวาจา!

 

ใจนางมีความคิดเดียวเท่านั้น ไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจผิด

 

นอกจากนี้นางยังไม่รู้จักจ้าวจี้จริงๆ และปู่นางก็ไม่เคยพูดถึงอีกฝ่ายด้วย

 

เป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้เลยว่าที่จ้าวจี้กล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่

 

“อะไร?”

 

จ้าวจี้ชักสีหน้างุนงงสับสนขึ้นมาทันใด “ปู่ของเจ้ามิได้บอกกับเจ้าไว้หรือ…ว่าเจ้ามีสัญญาวิวาห์กับข้าตั้งแต่ตอนที่เจ้า 3 ขวบ สัญญาหมั้นหมายตบแต่งนั้นบิดาข้ากับปู่เจ้าก็ทำกันวันนั้น”

 

สัญญาวิวาห์!

 

ทันทีที่จ้าวจี้กล่าวคำนี้ออกมา ผู้คนก็รู้สึกพุ่งพล่านอย่างบอกไม่ถูก

 

ในขณะที่สายตาของผู้คนโดยรอบไปตกยังร่างหวางเฟยเซวียนด้วยความอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ ต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองจ้าวจี้ด้วยสายตาเฉยเมย ด้วยไม่คิดว่าเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้จะเป็นไปได้

 

“นี่มันอันใดกัน จ้าวจี้กับแม่นางหวางที่แท้หมั้นกันแต่เด็กแล้วรึ?”

 

“ไฉนข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย?”

 

“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน”

 

“หากจ้าวจี้หมั้นกับหวางเฟยเซวียนจริง เรื่องนี้สมควรดังไปทั่วเขตฟ้าลี้ลับนานแล้ว พวกเราจะไม่รู้ได้อย่างไร?”

 

“ใช่จ้าวจี้แต่งเรื่องหรือไม่”

 

……

 

เหล่าศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับกระซิบกระซาบกันระงม ทุกสายตาหันไปมองจ้าวจี้ด้วยความสงสัย ว่าใช่มันปั้นน้ำเป็นตัวหรือไม่

 

“สัญญาวิวาห์?”

 

เมื่อได้ยินวาจานี้ของจ้าวจี้ หวางเฟยเซวียนอดไม่ได้ที่จะมีโมโห “จ้าวจี้เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือ…หากข้ามีสัญญาวิวาห์อะไรกับเจ้าจริงไฉนข้าถึงไม่รู้ ท่านปู่ไหนเลยจะไม่บอกข้า?”

 

ทันทีที่หวางเฟยเซวียนกล่าวประโยคนี้ออกมา ผู้คนก็เชื่อว่าเป็นจ้าวจี้ที่โกหก

 

“หากข้าบอกว่าพวกเรามีสัญญาวิวาห์ มันก็ต้องมีสัญญาวิวาห์”

 

เมื่อถูกมองมาด้วยสายตาแปลกๆจากคนรอบๆ จ้าวจี้พลันยกยิ้มแสยะ “เจ้าไม่ต้องกลัวรอนาน ข้าจะให้บิดาไปเยือนคฤหาสน์ดาบทรราชเพื่อคุยเรื่องวันแต่ง…ข้าเชื่อว่าปู่ของเจ้าต้องไม่ปฏิเสธการเกี่ยวดองกับตระกูลข้า”

 

กล่าวถึงจุดนี้แววตาจ้าวจี้เผยความบ้าคลั่งขึ้นมา ยังส่งเสียงไปหาหวางเฟยเซวียน “หวางเฟยเซวียนเจ้าควรดีใจที่ต้องตาพึงใจข้านายน้อย!”

 

“คิดให้ข้าหวางเฟยเซวียนแต่งกับเจ้าหรือ เจ้าฝันไปเถอะ!!”

 

ได้ยินวาจาผ่านปราณของจ้าวจี้ หวางเฟยเซวียนก็เผยท่าทีขยะแขยง ยังส่งเสียงตอบกลับด้วยความรำคาญ

 

“ข้าเกรงว่าเรื่องนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก!”

 

รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากจ้าวจี้ยิ่งมายิ่งมากในขณะที่มองร่างได้รูปของหวางเฟยเซวียน ยิ่งเห็นสีหน้าดุร้ายของนางมันยิ่งรู้สึกอยากสยบ พาลให้ช่วงล่างของมันรู้สึกอุ่นร้อนพองตัวขึ้นมา

 

ด้านหวางเฟยเซวียนพอได้ยินคำนี้ของจ้าวจี้ สีหน้านางก็เริ่มกลายเป็นมืดครึ้มทันที

 

หากบิดาของจ้าวจี้ไปกล่าวเรื่องตบแต่งกับปู่ของนางจริงๆล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ปู่ของนางจะปฏิเสธ เพราะไม่เพียงแต่ต้องระวังบิดาของจ้าวจี้เท่านั้น แต่ยังมีปู่ของจ้าวจี้อีกคน…

 

แม้ตำหนักฟ้าลี้ลับจะไม่คิดบีบคั้นคฤหาสน์ดาบทรราช แต่ทว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวเกรงว่าคงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง!

 

บิดาของจ้าวจี้ปู่นางย่อมไม่กลัว!

 

ทว่าปู่ของจ้าวจี้นั้นเป็นถึงผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยอดฝีมือระดับแนวหน้าของภูมิภาคเบื้องล่าง! เป็นรองก็แต่ชนชั้นจ้าวตำหนักเท่านั้น ไม่ใช่อะไรที่ปู่นางจะต่อต้านได้เลย!!

 

“สุนัขที่ไหนมาเห่าหอนไม่เลิก หนวกหูจริงๆ”

 

ในขณะที่ทุกสายตากำลังมองหวางเฟยเซวียนด้วยความสงสาร พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

หลังจากนั้นทุกคนรู้สึกเสมือนมีประกายแสงหนึ่งวาบผ่านหน้า แสงดังกล่าวยังสว่างปานดวงอาทิตย์ ติดตามมาด้วยเสียงดังหนึ่ง!

 

ผัวะ!!

 

ทันใดนั้นท่ามกลางสายตาตะลึงของผู้คน พลันมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวจี้ปานภูตผี!!

 

ส่วนจ้าวจี้นั้น ร่างของมันพลันปลิดปลิวหมุนติ้วไปในอากาศปานลูกข่าง ยังพ่นโลหิตออกมาเป็นสายพร่างพราวไปในอากาศ เบ่งบานเป็นดวงปานกุหลาบสีเลือด! ใบหน้าปรากฏรอยมือสีแดง!!

 

เงียบ!

 

สายตาของทุกผู้คนมองค้างไปยังร่างที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจุดที่จ้าวจี้ลอยก่อนหน้า

 

ตูมม!!

 

เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอีกครั้ง เป็นร่างจ้าวจี้ที่ร่วงตกไปยังลานศิลาจนกลิ้งหลุนๆไปหลายรอบ ต่อมาทั่วร่างค่อยปะทุปราณแรกกำเนิดออกมาขุมหนึ่งและหยุดร่างไว้ได้สำเร็จ

 

จ้าวจี้ที่หน้าซีดพยายามลุกขึ้นยืน สีหน้าของมันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก ดวงตาฉายแววอาฆาต!

 

“หลิงเทียนเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ลอบทำร้ายข้า! เจ้าเบื่อชีวิตมากงั้นเหรอ!!”

 

จ้าวจี้มองร่างที่ตบมันจนร่วงด้วยแววตาเปี่ยมจิตสังหาร แลดูน่ากลัวนัก!

 

“ลอบทำร้าย?”

 

ได้ยินคำนี้ต้วนหลิงเทียนพลันยิ้มออกมาบางๆ “ถ้าเจ้าคิดว่าเสียเปรียบเพราะข้าลอบทำร้าย…งั้นข้าเปิดโอกาสให้เจ้าได้สู้กับข้าอย่างยุติธรรมดีไหม? ข้าต่อให้เจ้าก่อน 3 กระบวนท่าเลยด้วยเอ้า…”

 

สู้กันอย่างยุติธรรม!

 

ต่อให้ก่อน 3 กระบวนท่า!

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องนี้ออกมา ผู้คนที่ยังตะลึงกับเรื่องราวพลันดึงสติกลับเข้าร่างได้สำเร็จ สายตาของทุกคนหันไปมองจ้าวจี้อย่างพร้อมเพรียง ในแววตายังเผยความเย้ยหยันไม่น้อย

 

ในสายตาของพวกมัน

 

จ้าวจี้แม้จะมีภูมิหลังแข็งแกร่งเพียงใด แต่พลังฝึกปรือของมันก็แค่เซียนขัดเกลาขั้นกลาง มันจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้หลิงเทียน?

 

หลิงเทียนเป็นใคร?

 

อัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของตำหนักฟ้าลี้ลับ!

 

อายุไม่ถึง 40 ปีก็บรรลุเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุดแล้ว!

 

ตัวตนเช่นนี้อาศัยพลังฝีมือของจ้าวจี้จะเอาอะไรไปสู้?

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนต่อให้จ้าวจี้ 3 กระบวนท่าด้วยซ้ำ ให้ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่เฉยๆทั้งวัน น่ากลัวว่าจ้าวจี้ก็ยังอาจฝ่าม่านพลังป้องกันที่ต้วนหลิงเทียนใช้ออกส่งๆได้…นี่คือความแตกต่างของด่านพลังที่ต่างชั้นกันประหนึ่งห่างกันคนละโลก!

 

เผชิญกับวาจาท้าทายของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของจ้าวจี้ก็เปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ดในพริบตา

 

มันไม่ใช่ตัวโง่งม มันรู้ดีว่าไม่มีทางสู้ต้วนหลิงเทียนได้เลย ต่อให้ลงมือก่อน 3 กระบวนท่าก็ไร้ความหมาย รับคำท้าไปก็แค่รนหาที่ตายเท่านั้น!

 

เนื่องจากสายตาของทุกคนมัวแต่สนใจจ้าวจี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เลยว่ามีศิษย์วังนภาคนหนึ่งที่ติดตามจ้าวจี้มาแต่แรก ได้ลอบจากไปอย่างเงียบงัน หลังออกจากยอดเขาวังนภา มันก็เหินร่างขึ้นไปยังเกาะลอยฟ้าทันที

 

‘เขาห่วงใยข้าจริงๆ…’

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนลงมือเพื่อนาง หวางเฟยเซวียนพลันเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา ยามมองแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียน แววตายังอ่อนโยนลงราวสายน้ำ

 

“หลิงเทียน เจ้าได้โอหังให้มันมากนัก! ข้าไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเจ้า ไฉนเจ้าต้องมาตบหน้าข้าด้วย!?”

 

จ้าวจี้ถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย กล่าวถามออกมาเสียงดัง

 

“ทำไมถึงตีเจ้างั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้ม “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าข้าตีเจ้าทำไม?”

 

“บัดซบ! วันนี้หากเจ้าไม่อธิบายมาอย่าหวังว่าข้าจะยอมเลิกราง่ายๆ! ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่เจ้าก็ไม่อาจอวดเบ่งในตำหนักฟ้าลี้ลับได้…ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ในตำหนักฟ้าลี้ลับมีคนมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า! แค่ศิษย์ของบิดาข้ามาที่นี่สักคน ก็ทุบตีเจ้าให้เป็นสุนัขตายได้ง่ายดาย!!”

 

จ้าวจี้กล่าวออกด้วยอาฆาต ท้ายประโยคน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความข่มขู่

 

“รังแกผู้หญิงอ่อนแอต่อหน้าผู้คนมากมายกลางวันแสกๆ…แต่เจ้ายังมีหน้าร้องหาคำอธิบาย?”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยหยันออกมา ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าเขายังสงบไม่ได้หวาดกลัวจ้าวจี้แม้แต่น้อย อันที่จริงกระทั่งวาจาข่มขู่ของจ้าวจี้ก็คล้ายไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ

 

“เฮอะ! ที่แท้เจ้าก็ทำเพื่อนาง!!”

 

สายตาจ้าวจี้เบนจากร่างต้วนหลิงเทียนไปตกหวางเฟยเซวียน ก่อนที่จะยิ้มเยาะ “ข้าบอกว่าจะแต่งกับเจ้า เจ้าก็ต้องแต่งกับข้า! ข้าเชื่อว่าปู่ของเจ้าที่เป็นผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชต้องตกลงเรื่องนี้!!”

 

“เจ้าล้างคอรอแต่งกับข้าให้ดีเถอะ และถ้าข้าเล่นกับเจ้าเบื่อเมื่อใดข้าจะให้ทาสสักร้อยคนมาเวีนกันถล่มเจ้า!!”

 

วาจาก้าวร้าวที่จ้าวจี้กล่าวออกมาครั้งนี้ แน่นอนว่ากล่าวกับหวางเฟยเซวียน

 

“ให้ข้าหวางเฟยเซวียนต้องตาย ก็ไม่มีวันแต่งกับเจ้า!!”

 

หวางเฟยเซวียนกล่าวส่งเสียงตอบกลับเยียบเย็น แม้นางรู้ดีว่าครอบครัวนางไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน และปู่ของนางไม่พ้นต้องตอบตกลงเรื่องการแต่งนี้ถึงจะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่นางยอมตายดีกว่าแต่งกับตัวอุบาทว์นี่!

 

“ประเสริฐ! ประเสริฐนัก!! เช่นนั้นก็รอดูกันไปเถอะ!!”

 

จ้าวจี้เองก็ตอบกลับด้วยการส่งเสียง ในน้ำเสียงยังแฝงความขุ่นขึ้งไม่ได้ดั่งใจ พอใจเย็นลงหน่อยค่อยกล่าวสืบต่อ “คนของข้าขึ้นไปตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อเชิญศิษย์พี่ของข้ามาแล้ว…เดี๋ยวพอศิษย์พี่ข้ามาถึงเมื่อไหร่ข้าจะให้เจ้าเห็นผลลัพธ์ที่เจ้าเลือก! และเห็นว่าสหายที่ยืนหยัดเพื่อเจ้า…มันจะตกตายอนาถถึงเพียงใด!!”

 

หวางเฟยเซวียนไม่กลัวตาย แต่หากต้วนหลิงเทียนต้องเจอปัญหาเพราะนาง นางไม่อาจทานทนรับได้

 

“เจ้ารีบออกไปกับศิษย์พี่หวังพีเร็วเข้า บอกว่ามีเรื่องที่เจ้าต้องพบกับรองจ้าววังเซียวยี่ก็ได้…จ้าวจี้มันส่งคนไปเรียกใครบางคนจากตำหนักหลักมาที่นี่แล้ว และศิษย์ที่ตำหนักหลักทุกคนล้วนบรรลุขอบเขตอริยะเซียนทั้งสิ้น!!”

 

หวางเฟยเซวียนเร่งส่งเสียงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนทันที น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความร้อนรนไม่น้อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด