War sovereign Soaring The Heavens 1772

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1772 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,772 : หนึ่งเดือนต่อมา

 

“หอคอยหกชั้น…หลังจากฆ่าสัตว์ร้ายที่ผนึกพลังกัน 3 ตัวแล้วจึงสามารถเข้าไปได้?”

 

“ด้านในหอคอยเต็มไปด้วยกองหิน 2 กอง?”

 

“บนชั้นที่ 6 นอกจากศิลา 2 กอง ยังมีกองศิลาขนาดใหญ่อีกกอง? ทั้งยังมีรูปปั้นประหลาดที่สงสัยว่าจะเป็นมรดกเวทย์พลัง?”

 

……

 

เหล่าอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับได้รับทราบข้อมูลจากปากศิษย์วังลี้ลับทั้ง 2…

 

“หากข้าจำมิผิด…นั่นสมควรเป็นหอคอยลิ่วเหอ! มรดกเวทย์พลังที่หลิงเทียนได้รับสมควรเป็น ร่างทองลิ่วเหอ!”

 

สุดท้ายก็เป็นเมิ่งฉิง จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับที่รู้สึกตัวและกล่าวออกมาก่อนใคร “ร่างทองลิ่วเหอ แม้จักมิได้เป็นเวทย์พลังระดับสูง แต่ก็มิได้อ่อนด้อย…นับเป็นเวทย์พลังระดับกลางในแดนลับเซียน!”

 

“เวทย์พลังระดับกลาง!”

 

จังหวะนี้ทุกคนถึงกับฮือฮาขึ้นมาทันที

 

พวกมันหลงคิดว่าหลังเข้าแดนลับเซียนไปได้ 3 วัน หลิงเทียนจะได้พบเพียงสถานที่เก็บมรดกเวทย์พลังระดับต่ำ และได้นับสืบทอดมรดกเวทย์พลังระดับต่ำมา…แต่มิคาดนั่นกลับเป็นเวทย์พลังระดับกลาง!

 

“ร่างทองลิ่วเหอข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง…เหมือนจักเป็นเวทย์พลังสายป้องกัน!”

 

จ้าววังเหลือง เฉียนผิงเชิง กล่าว

 

‘เวทย์พลังระดับกลาง…บัดซบ!’

 

พอได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนได้รับสืบทอดเวทย์พลังระดับกลาง พ่อลูกสกุลจ้าวถึงกับหน้าเบี้ยว โดยเฉพาะจ้าวจี้นั้นยิ่งอัปลักษณ์นัก ความเกลียดชังต้วนหลิงเทียนยังทวีขึ้นมากมาย

 

“ดี! ดี!!”

 

จูลู่ฉี จ้าววังนภาพยักหน้าออกมาด้วยความพอใจ แววตาไม่ขาดความพึงพอใจแม้แต่น้อย

 

“เพียง 3 วันได้รับมรดกเวทย์พลังระดับกลาง?”

 

กู่มี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กระทั่งตำหนักเมฆาครามของมันเอง ก็มีผู้ที่ประสบความสำเร็จหลังเข้าไปในแดนลับเซียนได้ไม่นานเช่นนี้น้อยคนนัก

 

แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้แต่แรกแล้วว่าเรื่องที่เขาพบมรดกเวทย์พลังไม่พ้นเผิงเฉินกับหูรุ่ยย่อมเอาไปโพทนาแน่

 

แต่เขาก็ไม่ได้คิดเลยว่าจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจะสามารถระบุเวทย์พลังที่เขาได้รับจากข้อมูลของทั้งคู่

 

‘เวทย์พลัง ร่างทองลิ่วเหอ นี่ข้าสามารถจดจำได้แต่กลับไม่อาจอธิบายได้…ไม่แปลกที่ทุกคนกล่าวว่ามีเพียงต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ก่อน…อย่างไรเสียจากที่ผู้เฒ่าหั่วบอก ข้าไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เพียงบรรลุอริยะเซียนก็จะสามารถทำความเข้าใจมันได้’

 

ต้วนหลิงเทียนทราบสถานการณ์ของตัวเองดี

 

กลางวันล่วงเลยจนมืดค่ำ ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ประสบความสำเร็จในการจดจำเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอได้สำเร็จ มันเป้นข้อมูลที่เขาตระหนักถึงได้ แต่ยากอธิบายออกมา

 

และเมื่อต้วนหลิงเทียนถอนรั้งสำนึกเทวะออกมา เขาก็พบว่ารูปปั้นมหึมาแลดูโบราณก่อนหน้าหายไปแล้ว

 

อีกทั้งหอคอยลิ่วเหอเองก็หายไป…รวมถึงค่ายกลทั้งหลายก็ไม่มีอีกต่อไป

 

เขากลับมายืนอยู่กลางป่าหินโล่งๆ

 

และตอนนี้ก็ไม่อาจจับสัมผัสถึงพลังผันผวนของค่ายกลใดๆได้เลย

 

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลรวมถึงทุกอย่างได้หายไปหลังเขาได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอ…

 

‘ไม่รู้ว่าเวทย์พลังร่างทองลิ่วเหอที่ข้าได้รับมันดีหรือไม่ดี และจัดเป็นระดับไหนกันแน่…หากผู้เฒ่าหั่วอยู่ด้วยคงรู้ได้ทันที’

 

ต้วนหลิงเทียนคิดในใจขณะเหินร่างออกจากป่าหิน

 

‘ที่สำคัญตอนนี้คือต้องไปหาพวกหวางเฟยเซวียนกับหลิวเจี้ยนให้เจอก่อน…ไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสองคนนั่นเป็นยังไงบ้าง จะได้เจอกันแล้วรึยัง…แดนลับเซียนนี่จะกว้างใหญ่ไปไหน!? คิดหาคนไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ’

 

หลังจากนั้น ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไปอีก 20 กว่าวัน ต้วนหลิงเทียนแม้จะพบเจอคนอื่นไม่น้อย แต่ยังไม่เจอหลิวเจี้ยนกับหวางเฟยเซวียนเลย กระทั่งเบาะแสก็ไม่มี

 

แน่นอนว่าในช่วง 20 วันที่ผ่านก็ไม่ใช่ว่าเขาคว้าน้ำเหลวอะไร

 

เขาได้พบมรดกเวทย์พลังอีกอย่างและจดจำมันมาได้สำเร็จ

 

เวทย์พลังที่เขาได้มาเรียกว่าร่างแฝดอัคคี ถึงแม้นามจะฟังดูไม่เลว แต่จากสายตาของต้วนหลิงเทียนมันก็ไม่ได้ดีเท่าร่างทองลิ่วเหอ

 

เพราะไม่เพียงแต่บททดสอบที่เจอจะง่าย กระทั่งการจดจำมันยังใช้เวลาไม่นาน

 

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรเขาได้มากหากใช้

 

‘ยังเหลืออีก 2 เดือนกว่า…หวังว่าข้าจะเจอทั้งคู่ได้ทันเวลา’

 

ต้วนหลิงเทียนได้แต่เหินร่อนไปทั่วแดนลับเซียนอย่างไร้จุดหมาย พยายามหาร่องรอยมรดกเวทย์พลังและคนไปทั่ว

 

ตลอดรยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา แม้คนที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอจะไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือทำร้ายใคร เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีเรื่องอะไรกับเขา เขาไม่ได้คิดว่าการที่มีคู่แข่งน้อยลงแล้วจะมีโอกาสเพิ่มอะไรทำนองนั้น จึงไม่ได้ลงมือทำร้ายผู้คนมั่วซั่ว

 

“หืม?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินร่างผ่านภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่งพลันได้ยินเสียงต่อสู้ดังก้องมาแต่ไกล อย่างไรก็ตามเสียงต่อสู้ดังกล่าวดังขึ้นไม่นานก็เงียบหายไป

 

ด้วยความอยากรู้ ต้วนหลิงเทียนจึงลดเพดานบินและมุ่งหน้าไปดูเรื่องราวทันที

 

เขาพบว่ามีร่าง 3 คน กำลังปิดล้อมร่างคนๆหนึ่งเอาไว้

 

คนที่ถูกล้อมนั้นต้วนหลิงเทียนก็จำได้ว่าเป็นคนที่เข้าร่วมตำหนักฟ้าลี้ลับพร้อมกันกับเขา แต่ก็ไม่เคยสนทนาอะไรกันมาก่อน

 

ส่วน 3 คนที่ล้อมคนอยู่เขาไม่คุ้นหน้า…ไม่ใช่คนวังนภา!

 

เมื่อเห็นว่าศิษย์ใหม่คนนั้นถูกกลุ้มรุม ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วและเลือกที่สอดมือเข้าช่วยทันที

 

ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น…ศิษย์คนนั้นเป็นคนของวังนภา!

 

“พวกเราเป็นคนของสกุลจ้าว…ตราบใดที่เจาบอกว่าโบราณสถานที่มีมรดกเวทย์พลังนั่นมันตั้งอยู่ที่ใดพวกเราจะเมตตาละเว้นเจ้า…แถมหลังออกจากแดนลับเซียนไปพวกเราจะบอกท่านรองจ้าวตำหนักจ้าวเติงถึงเรื่องนี้และให้ท่านรองตอบแทนเจ้ากระทั่งยังจะให้เจ้าเข้าร่วมสกุลจ้าว! ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมสกุลจ้าวของเรา เจ้าก็สามารถเดินเชิดหน้าชูตาในตำหนักฟ้าลี้ลับได้อย่างมิต้องกลัวผู้ใด!”

 

1 ใน 3 ศิษย์ที่ปิดล้อมคนของวังนภากล่าว

 

“ไอ้หนูด้วยพลังฝีมือของเจ้า ตัวเจ้าเองสมควรรู้ดีว่าสถานที่แห่งนั้นมันไร้ประโยชน์อะไรกับเจ้า เพราะเจ้าไม่แม้กระทั่งมีปัญญาผ่านบททดสอบเพื่อรับสืบทอดมรดกเวทย์พลังนั่นได้…ดีเสียกว่าที่เจ้าจะบอกพวกเรา เพื่อเป็นการสร้างบุญคุณให้สกุลจ้าว!”

 

อีกคนกล่าวเสริม

 

“ผู้รู้เหตุการณ์ย่อมเป็นคนฉลาด หากมิอยากถูกขับออกจากแดนลับเซียนเหมือนสหายโง่งมของเจ้าก็เร่งคายสถานที่นั่นออกมาแต่โดยดี!”

 

ต่างจากอีก 2 คนก่อนหน้าที่เลือกใช้ไม้อ่อน คนสุดท้ายกลับใช้ไม้แข็ง กล่าววาจาข่มขู่ออกมา

 

“ถูกกำจัดเหมือนสหายของข้า?”

 

เผชิญหน้ากับคนสกุลจ้าวทั้ง 3 ศิษย์ใหม่วังนภาไม่เผยอารมณ์ตื่นตระหนกใดๆ กลับเลือกจะเผยยิ้มเย้ยหยัน “ถึงแม้พวกเจ้าจะกำจัดข้าออกไปก็ช่าง ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะมีปัญญหาสถานที่แห่งนั้นเจอหรือไม่?”

 

คนของสกุลจ้าวทั้ง 3 หน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที ด้วยไม่คิดว่าศิษย์ใหม่วังนภาคนนี้จะพูดยาก!

 

“เช่นนั้นเอาอย่างนี้เป็นไร! ตราบใดที่เจ้าบอกสถานที่นั้นกับพวกเรา พวกเราก็จะรับเจ้าเข้าร่วมกลุ่มเล็กๆของพวกเรา…หลังจากนั้นหากพวกเราพบเจอมรดกเวทย์พลังอื่นใดอีกพวกเราจะให้เจ้า?”

 

ต่อมาเป็นศิษย์วังลี้ลับที่เป็นคนของสกุลจ้าวกล่าวออก

 

ฟังจากวาจามันแล้ว เหมือนจะหาทางลงโดยการยื่นข้อเสนอ

 

“เหอะ! ผู้ใดจะไปรู้ว่าพวกเจ้าจะกลับคำหรือไม่!”

 

ทว่าเมื่อศิษย์วังนภาได้ฟังวาจายื่นข้อเสนอ ก็ฉีกยิ้มหยามเหยียดกล่าวออกด้วยความไม่เชื่อ

 

“เจ้า…แล้วเจ้าต้องการอันใด!?”

 

คนของสกุลจ้าวทั้ง 3 ที่เป็นศิษย์วังลี้ลับมีโมโหไม่น้อย เผชิญหน้ากับความหัวแข็งของศิษย์วังนภาคนนี้พวกมันไม่รู้จะทำอย่างไรดี

 

พวกมันคิดว่าการฆ่าสหายอีกฝ่ายทิ้งไปจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ผลอันใด

 

“หากพวกเจ้าต้องการให้ข้าเข้าร่วมกลุ่มของพวกเจ้า…เช่นนั้นข้าต้องการมรดกเวทย์พลังชิ้นที่ 2 ที่เจอ! และพวกเจ้าทั้ง 3 ต้องสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้า ว่าจักไม่กลับกลอกวาจา!!”

 

ศิษย์วังนภาครุ่นคิดเล็กน้อย ค่อยกล่าวบอกความต้องการของตัวเองออกมา

 

“ไม่ได้!”

 

ได้ยินเงื่อนไขของศิษย์วังนภา ศิษย์วังลี้ลับสกุลจ้าวทั้ง 3 ถึงกับกล่าวปฏิเสธออกมาพร้อมกัน

 

“มรดกเวทย์พลังชิ้นที่ 2 มิอาจให้เจ้าได้…อย่างน้อยต้องชิ้นที่ 3 พวกเราถึงจะยินดีกล่าวคำสาบาน!”

 

หนึ่งในคนสกุลจ้าวกล่าว “นี่เป็นเงื่อนไขสุดท้ายของพวกเรา! หากเจ้าไม่คิดบอกพวกเราจริงๆเช่นนั้นพวกเราก็จะกำจัดเจ้าเสีย…ต่อให้จะไม่ได้รับที่ตั้งโบราณสถานมรดกเวทย์พลังจากเจ้าก็ตาม!”

 

ศิษย์วังนภาพอได้ยินก็เริ่มชักสีหน้าลังเลออกมา

 

และในขณะที่มันกำลังอ้าปากคิดตอบตกลง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “สกุลจ้าว?”

 

พอได้ยินเสียงที่อยู่ๆก็ดังขึ้น ทั้งหมดก็หันมองไปทางต้นเสียงทันที ต่างแลเห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาหนึ่งกำลังเหินมาจากไกลตา ยังหอบพลังกดดันไร้สภาพอันน่ากลัวขุมหนึ่งมาด้วย!

 

“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”

 

หลังได้เห็นใบหน้าผู้มาใหม่ ศิษย์วังนภาก็ชักสีหน้ายินดีทันที!

 

“หลิงเทียน!?”

 

พอได้ยินเสียงอุทานทักของศิษย์วังนภา คนสกุลจ้าวทั้ง 3 ก็หน้าเปลี่ยนสี!

 

หลิงเทียน!

 

ไม่ใช่ชื่อที่แปลกหูสำหรับพวกมันเลย…!

 

กระทั่งยังเป็นชื่อของคนที่กล้าตบหน้า จ้าวจี้ นายน้อยสกุลจ้าวหลายครั้งหลายคราต่อหน้าผู้คน! ศัตรูตัวฉกาจของสกุลจ้าวยามนี้!!

 

หลังจากที่ทั้ง 3 เห็นหลิงเทียนเหินร่างเข้ามาแต่ไกล พวกมันก็หันหน้ามาสบตากันเอง แต่ละคนหน้าดำคร่ำเครียดทั้งเผยความหวาดกลัวออกมาในแววตา ใจยังสั่นไปอย่างบอกไม่ถูก

 

“พวกเจ้าทั้ง 3 รู้หรือไม่ว่าตอนนี้จ้าวจี้อยู่ไหน?”

 

ต้วนหลิงเทียนที่มาหยุดขวางระหว่างกลุ่มสกุลจ้าวกับศิษย์วังนภาเอาไว้ ก็ว่ายตามองพวกมันพร้อมกล่าวถามด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

“พี่หลิง…ข้ามิรู้หรอกท่าน!”

 

“ใช่แล้วพี่ชายหลิงเทียน พวกเราไหนเลยจะรู้ได้ หากรู้พวกเราคงอยู่กับนายน้อยแล้ว”

 

“ใช่ๆ พี่ใหญ่หลิงเทียนหากพวกเรารู้พวกเราย่อมติดตามนายน้อยไปแล้ว! เพราะหากอยู่กับนายน้อย…ด้วยพลังฝีมือของนายน้อยพวกเราก็มีโอกาสในแดนลับเซียนมากขึ้น!!”

 

ทั้ง 3 คิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมาหาจ้าวจี้เพื่อชำระแค้น จึงเร่งแย่งกันกล่าวออกมาทันทีด้วยกลัวจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายแทน

 

ได้ยินทั้ง 3 กุลีกุจอกล่าวตอบ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปตาปริบๆ ที่เขากล่าวแบบนั้นไม่ได้คิดจะถามพวกมันสักนิด…พวกมันเข้าใจผิดแล้ว!

 

“ที่จริง ข้าไม่ได้จะถามพวกเจ้าว่าจ้าวจี้อยู่ไหน…”

 

ลูกตาต้วนหลิงเทียนเผยประกายเย็นชา “ข้าแค่จะบอกให้พวกเจ้ารู้…ว่าตอนนี้จ้าวจี้มันรอพวกเจ้าอยู่ข้างนอก!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด