War sovereign Soaring The Heavens 1823

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1823 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,823 : ตัวแปร

 

หลังออกจากพื้นที่ตะวันตก ขณะเดินทางกลับตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวจี้ก็ได้คิดหาข้ออ้างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับอธิบายความก้าวหน้าของพลังฝึกปรือ….

 

มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์!

 

ด้วยเรื่องนี้ จะทำให้มันกลายเป็นผู้ฝึกมารอย่างไร้ข้อสงสัย!

 

คราวนี้ก็ยากจะมีใครโยงมันเข้ากับเคล็ดมารกลืนหยินได้อีก แม้ในเวลาแค่ 2 ปี พลังฝึกปรือของมันจะก้าวหน้าอัศจรรย์ทะลวงถึงเซียนมนุษย์จากเซียนขัดเกลาขั้นกลางก็ตามที!

 

“จี้เอ๋อ เจ้าได้รับสืบทอดมรดกของสัตว์มารดึกดำบรรพ์ตั้งแต่แต่เมื่อใด?”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ตอนนี้ใบหน้าของจ้าวเติงกลับเผยความจริงจังขึ้นมา

 

ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เคยได้ยินเรื่องมรดกในซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์ กระทั่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังมีผู้ที่เคยได้รับสืบทอดมรดกจากซากโบราณสถานดึกดำบรรพ์จนพบพานกับความเปลี่ยนแปลงน่าอัศจรรย์มาแล้วหลายคน!

 

ทว่าในบรรดาผู้โชคดีเหล่านั้นไม่มีใครบังเกิดความก้าวหน้าพลิกฟ้าคว่ำดินเช่นลูกมัน!

 

ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีดี ทะลวงผ่านด่านพลังจากขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางไปจนถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น! ความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันฝืนลิขิตสวรรค์เกินไป!!

 

“หลังออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้ 1 เดือนข้าก็บังเอิญเจอซากโบราณสถานนั่น…ท่านพ่อคิดว่าพลังฝึกปรือข้าก้าวหน้ารวดเร็วหรือไม่?”

 

จ้าวจี้ตอบบิดาเสร็จค่อยกล่าวถามเพิ่ม

 

“อืม”

 

จ้าวเติงพยักหน้า “ความเร็วในการบ่มเพาะของเจ้าน่ากลัวเกินไป กระทั่งผู้ฝึกมารที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินก็ไม่แน่ว่าจะมีความเร็วในการบ่มเพาะถึงขนาดนี้!”

 

ได้ยินวาจานี้ของจ้าวเติง แม้จ้าวจี้จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่หน้ามันก็ไม่เผยอาการอะไรออกมา

 

แม้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แต่จ้าวจี้ก็ไม่กล้ากล่าวบอกว่ามันฝึกเคล็ดมารกลืนหยิน เพราะมันมั่นใจว่าทันทีที่บิดารู้เรื่องนี้ ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องบังคับให้มันทำลายพลังฝึกปรือทิ้งทันที…

 

เพราะคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน ไม่เพียงแต่ภูมิภาคเบื้องล่างกระทั่งในภูมิภาคเบื้องบนยังเป็นศัตรูร่วมของผู้คน!

 

ในฐานะที่เป็นต้นกล้าของตระกูลเจิ้งที่จะเติบใหญ่เป็นไม้หลักในวันหน้า ไหนเลยปู่กับบิดาจะยอมให้มันเสี่ยงกับเรื่องนี้

 

“จี้เอ๋อ ลูกพ่อ!!”

 

ไม่ทราบทำไมหากแต่อยู่ๆสีหน้าของจ้าวเติงก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา

 

เห็นจ้าวเติงอยู่ๆก็ขึงขังจริงจัง ใจจ้าวจี้อดไม่ได้ที่จะลอบหวิวๆ ‘ไม่จริงหน่า หรือท่านพ่อสงสัยเรื่องมรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ที่ข้าปั้นแต่งขึ้นมา…และสงสัยว่าข้าบ่มเพาะเคล็ดมารกลืนหยิน?’

 

หลังจากที่ทำความผิดมา ก็อดไม่ได้ที่จ้าวจี้จะมีอาการร้อนตัวอยู่บ้าง

 

อย่างไรก็ตามหลังจ้าวเติงปริปากกล่าวคำ จ้าวจี้ก็พอได้ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนบิดามันจะไม่ได้สงสัยเรื่องมนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยิน

 

“จี้เอ๋อ…เจ้าบอกพ่อมาตามตรง! มรดกสัตว์มารดึกดำบรรพ์ที่เจ้าฝึก มันใช้ทางลัดอันใด…ใช่เป็นวิธีบ่มเพาะพลังอันชั่วร้ายไร้มนุษยธรรมกระทั่งฟ้ายังมิให้อภัยหรือไม่?”

 

จ้าวเติงกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่จะยื่นคำขาด

 

“หากมันเป็นเช่นนั้น พ่อหวังว่าเจ้าจะทำลายพลังฝึกปรือนี้ของเจ้าทิ้งไปเสีย! เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของข้า และผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของสกุลจ้าว! เจ้ามิอนุญาตให้แบกรับความเสี่ยงอย่างไร้จำเป็นเช่นนั้น!!”

 

หากแต่ได้ฟังคำขาดนี้ของจ้าวเติง จ้าวจี้ลอบยินดีในใจนัก! เพราะความจริงยังไม่ได้ถูกเปิดเผย!!

 

อย่างไรก็ตามจ้าวจี้ยังคงต้องปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าวออกจริงจัง “ท่านพ่อท่านอย่าพึ่งวิตก! ถึงแม้มรดกที่ข้าได้รับสืบทอดมาจากสัตว์มารดึกดำบรรพ์จะโหดร้ายเล็กน้อย แต่มันก็เป็นการโหดร้ายต่อสัตว์ร้ายทั้งหลาย ไม่ใช่กับสัตว์เซียนหรือผู้คนด้วยกัน…ยิ่งข้าฆ่าสัตว์ร้ายและควักหัวใจมันมาบ่มเพาะพลังจากแก่นโลหิตหัวใจมากเท่าใด ด่านพลังฝึกปรือของข้าจะยิ่งก้าวหน้าเร็วขึ้นเท่านั้น!!”

 

“ดี! ดี ดี!!”

 

ได้ยินคำของจ้าวจี้ จ้าวเติงอดไม่ได้ที่จะโพล่งอุทานออกมาด้วยความสุขความยินดี

 

“ท่านพ่อ แล้วท่านปู่ไปที่ใดแล้วเล่า”

 

จ้าวจี้ก็คิดจะไปอวดด่านพลังกับจ้าวจินเช่นกัน หากแต่ปู่มันกลับไม่อยู่ที่บ้านพัก

 

“ปู่เจ้าเดินทางออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปไล่ล่าจูลู่ฉีกับผู้พิทักษ์กู่ แถวชานเมืองตะวันตก”

 

จ้าวเติงกล่าวตอบ

 

“ตามหาจ้าววังจู? ทำไมถึงต้องไปตามหาจ้าววังจู?”

 

จ้าวจี้แสร้งถามออกมาอย่างโง่งม

 

“จูลู่ฉีสมควรได้รับเคล็ดความมารกลืนหยินจากฉีจิ้งแล้ว…และตอนนี้มันเริ่มบ่มเพาะพลังโดยใช้สตรีมากมายแถบพื้นที่ตะวันตก เพราะมีคนพบเจอซากศพมากมาย และเหล่าสตรีล้วนกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวทั้งสิ้น”

 

จ้าวเติงกล่าว “ตอนนี้จูลู่ฉีถือเป็นศัตรูร่วมของผู้คนทั้งภูมิภาคเบื้องล่าง! ขุมพลังกึ่งชั้น 3 เลือกที่จะส่งยอดฝีมือออกไปกระจายกำลังตามหา! ทุกคนกังวลว่ามันจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือมารร้ายคนที่ 2!”

 

วาจาท้ายประโยค สีหน้าจ้าวเติงเคร่งเครียดไม่น้อย “อย่างไรก็ตามหากจ้าววังจูคิดซ่อนตัวจริงๆ เกรงว่าปู่เจ้ากับคนอื่นๆ ก็คงลำบากกันไม่น้อย”

 

“อะไร? จ้าววังจูฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแล้ว?”

 

จ้าวจี้เผยท่าทางตกใจ “ไม่คิดเลยว่าจะถูกความแค้นเข้าครอบงำได้ถึงขนาดนี้…ท่าทางในชีวิตนี้ของจ้าววังจู สิ่งที่สำคัญที่สุดคงเป็นการล้างแค้นเฝิงปู่อี้…ไม่แน่รองผู้นำตลาดมืดหยินชานคนนี้อาจถูกจ้าววังจูฆ่าเอาสักวัน!”

 

“หากจ้าววังจูเลือกที่จะหลบซ่อนจนกว่าพลังฝึกปรือจะสูงส่งถึงขั้น…อีกไม่กี่ปีก็สมควรฆ่าเฝิงปู่อี้ได้แน่นอน!”

 

จ้าวเติงกล่าวออกด้วยความมั่นใจ “เพราะสุดท้ายนั่นก็คือเคล็ดมารกลืนหยิน!!”

 

ในขณะที่กล่าวคำ เคล็ดมารกลืนหยิน สีหน้าท่าทางของจ้าวเติงเผยความชื่นชมไม่น้อย

 

แน่นอนว่าในขณะที่ชื่นชมเคล็ดมารกลืนหยิน ลึกลงไปในลูกตาของมันก็เผยความหวาดกลัวเช่นกัน

 

หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีข่าวหนึ่งถูกรายงานมาถึงหูจ้าวเติงกับจ้าวจี้พ่อลูก

 

“อะไร? หลิงเทียนกำลังจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงลำพัง! ท่านพ่อ..ข่าวนี้เรื่องจริงหรือ?”

 

จ้าวจี้มองถามจ้าวเติงด้วยความตื่นเต้น!

 

“เป็นความจริง!”

 

จ้าวเติงพยักหน้า “แม้ข้าไม่รู้ว่ามันคิดออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปที่ใดแต่มันต้องการไปข้างนอกจริงๆ…เรื่องนี้คนที่มารายงาน ได้ยินมันบอกหวางเฟยเซวียนมากับหู”

 

“ฮ่าๆๆๆ…ดี! ดี!!”

 

จ้าวจี้รู้สึกตื่นเต้นเหลือใดจะกล่าว เมื่อรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะเดินทางออกนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ!

 

ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่คู่มือต้วนหลิงเทียน และมันทำได้แค่ยอมรับเท่านั้น

 

ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่มันคนเก่าแล้ว หากแต่เป็นผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์! กระทั่งด้วยพลังฝึกปรือนี้และฐานะผู้ฝึกมาร ทำให้พลังฝีมือของมันเหนือกว่ากู่ลี่ด้วยซ้ำ!!

 

ในสายตาของมันด้วยพลังฝีมือขนาดนี้ คิดฆ่าต้วนหลิงเทียนยังไม่พองั้นเหรอ?

 

“ทว่า…เจ้าสารเลวน้อยแซ่กู่นั่น กลับกล้าไปร้องขอให้พวกรองจ้าวตำหนักกับอาวุโสทั้งหลาย ทำการจับตาดูผู้ที่บรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปของสกุลจ้าวเราให้รั้งอยู่แต่ในตำหนัก…”

 

จ้าวเติงกล่าวออกเสียงเข้ม “ข้าไม่คิดเลยว่าหลิงเทียนจะสนิทสนมกับกู่ลี่ถึงขั้นนี้ กระทั่งถึงขั้นขอให้กู่ลี่ทำเรื่องใหญ่พรรค์นี้ได้…ตอนนี้พวกมันจับตาดูคนของเราทุกฝีก้าว เพื่อมิให้ออกไปสร้างเภทภัยแก่หลิงเทียน!”

 

“อะไร? ให้คนของเราที่บรรลุเซียนมนุษย์ขึ้นไปรั้งอยู่ในตำหนัก?”

 

ได้ยินคำของจ้าวเติง สองตาจ้าวจี้เผยความแปลกใจไม่น้อย “ท่านพ่อ…รวมถึงท่านด้วย?”

 

“อืม”

 

จ้าวเติงพยักหน้าค่อยกล่าวออกด้วยสีหน้าอึมครึม “กระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการบ่งบอกเรื่องหนึ่งชัดเจน…หลังจากผ่านไปเกือบสองปี พลังฝีมือของหลิงเทียนยามนี้ 8 ใน 10 ส่วนสมควรไม่กลัวผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว! โชคไม่ดีที่ท่านปู่ของเจ้ามิอยู่ที่นี่…หาไม่แล้วด้วยเส้นสายของปู่เจ้า คิดใช้งานเซียนมนุษย์ที่กู่ลี่กับกู่ซืออวิ๋นไม่รู้จักคงมิยากเท่าใด”

 

“หลังจากที่กู่ลี่จัดการเรื่องนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไปของสกุลจ้าวเรา…ลำพังจะออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับไปโดยไร้ร่องรอยก็เป็นเรื่องยากเย็นนัก นับประสาอะไรกับตามไปฆ่าหลิงเทียน”

 

กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าจ้าวเติงก็เผยความหดหู่ออกมา เพราะมันไม่รู้จะทำอย่างไร

 

“ท่านพ่อ…เรื่องที่ข้าบรรลุขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว…ท่านได้เอาไปบอกใครหรือยัง?”

 

จ้าวจีมองสบตาจ้าวเติงกล่าวถาม

 

“ยังไม่”

 

จ้าวเติงส่ายหัวไปอย่างไม่รู้ตัว หากแต่พอกล่าวจบคำ สองตาก็พลันทอประกายเรืองวูบขึ้นมาทันใด เพราะมันพึ่งเข้าใจความนัยคำถามของจ้าวจี้ พลันกล่าวออกดว้ยรอยยิ้มแสยะชั่วร้ายทันที “ลูกพ่อ! ข้ากลับลืมเจ้าไปได้อย่างไร! ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว คิดฆ่าหลิงเทียนเป็นอะไรที่ง่ายดายนัก!!”

 

“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็นึกถึงข้าได้ซะที…”

 

จ้าวจี้หัวเราะ

 

“ฮ่าๆๆๆ…สารเลวน้อยกู่ลี่นั่นกระทั่งหลับคงยังมิเคยฝันว่าเจ้าจักเป็นตัวแปรที่มิมีผู้ใดคาดคิดได้นอกเหนือจากมือดีของปู่เจ้า! กู่ลี่ให้คนตามเฝ้าจับตาดูเซียนมนุษย์ของสกุลจ้าวเรา ทว่ากลับไม่ได้ส่งใครมาจับตาดูเจ้า!!”

 

ยิ่งมารอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวเติงยิ่งกว้างขึ้น

 

“บางทีในสายตาของกู่ลี่ ข้ายังคงเป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนนขัดเกลาไร้ราคา!”

 

จ้าวจี้กล่าวเย้ย

 

“เช่นนี้มิดีหรือไร ไม่เพียงแต่เจ้าจะหลอกมันได้ กระทั่งเจ้ายังทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องประหลาดใจครั้งใหญ่…จี้เอ๋อลูก พ่อคราวนี้เจ้าจะได้ฆ่าหลิงเทียนกับมือล้างแค้นมันแล้ว…เจ้ามั่นใจหรือไม่?”

 

จ้าวเติงกล่าวถาม

 

“ท่านพ่อ ขอท่านโปรดวางใจ คราวนี้หลิงเทียนนั่นมันตายแน่!”

 

แววตาจ้าวจี้เผยประกายเย็นเยียบอำมหิต

 

“พ่อเชื่อในตัวเจ้า พ่อจะรอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่!”

 

จ้าวเติงพยักหน้า

 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ปรากฏร่าง 3 คนลอยล่องอยู่เหนือฟ้าสุดเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ

 

คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา

 

ส่วนอีกด้านเป็นชายหนุ่มแลดูแข็งแกร่ง ข้างๆเป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง

 

คนแรกสุดคือต้วนหลิงเทียน

 

สองคนหลังคือกู่ลี่กับหวางเฟยเซวียน

 

“เจ้าคิดไปคนเดียวจริงๆหรือ?”

 

หวางเฟยเซวียนกล่าวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พวกคนสกุลจ้าวมันต้องไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้ให้หลุดลอยไปแน่…ข้ากลัวว่าพวกมันจะไล่ตามเข้าไปหลังเจ้าออกนอกเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ แม้พวกมันจะทำอะไรเจ้าในตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ แต่เจ้าออกไปแบบนี้…”

 

“ไม่ต้องห่วงไป เรื่องนี้พี่กู่จัดการให้ข้าแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ

 

“น้องหลิงเทียนเจ้าระวังตัวด้วย แต่เจ้ามั่นใจได้เลยว่า หลังจากเจ้าออกไป…คนของสกุลจ้าวที่ด่านพลังฝึกปรือตั้งแต่เซียนมนุษย์ขั้นต้นขึ้นไป ไม่อาจก้าวเท้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้เป็นเวลา 3 วัน!”

 

กู่ลี่กล่าวให้คำมั่น

 

ตอนแรกมันก็คิดเดินทางกับต้วนหลิงเทียนไปเยือนตำหนักเมฆาคราม จากนั้นก็ค่อยไปภูมิภาคเบื้องบนด้วยกัน

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเลือกจะปฏิเสธเรื่องนี้

 

จากที่ต้วนหลิงเทียนบอก แม้กู่ลี่คิดขึ้นไปยังภูมิภาคเบื้องบน แต่ก็สมควรอยู่รอเจอผู้พิทักษ์กู่ก่อนค่อยไป

 

นอกจากนั้นเขาคิดจะรั้งอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามสักพักค่อยไป

 

เช่นนั้นหลังจากที่กู่ซืออวิ๋นกลับมาและกู่ลี่ได้ร่ำลาอันใดดีแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมาหาเขาที่ตำหนักเมฆาครามไม่ได้…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด