War sovereign Soaring The Heavens 1901

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 1901 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,901 : ทะลวงผ่าน…เซียนมนุษย์!

 

หากแต่ต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่จะฉุดลากมิตรสหายลงปลักโคลนหรือไม่?

 

ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจลงมือทันที

 

“อาวุโสเถิงชาน ข้าคิดรบกวนท่านอีกสักครา ใน 3 แท่นบูชาอื่นมีผู้ใดเป็นสหายของท่านหรือไม่? หากมีข้าอยากร้องขอให้ท่านช่วยกล่าวบอกสหายของท่านให้เลือกสหายของข้าไปเข้าร่วมแท่นบูชาด้วยที ข้าไม่อยากให้สหายข้าอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬ…”

 

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งกล่าวส่งเสียงถึงอาวุโสเถิงชานอย่างไม่รอช้า

 

เพราะตอนนี้เขาพึ่งได้ก็แต่อาวุโสเถิงชานเท่านั้น

 

ก่อนที่หลี่อันจะฉุกคิดขึ้นได้และนึกถึงกู่ลี่กับจูลู่ฉีขึ้นมา เขาอยากให้ทั้งคู่ถูกเลือกไปแท่นบูชาอื่นโดยเร็วที่สุด!

 

กู่ลี่กับจู่ลู่ฉีกำลังคิดถึงเขา ไหนเลยเขาจะไม่คิดถึงกู่ลี่และจูลู่ฉี?

 

“เจ้ามิอยากให้สหายเดือดร้อนเพราะเจ้าหรือ?”

 

ได้ยินเสียงที่ส่งมาของต้วนหลิงเทียน สายตาของเถิงชานพลันเผยประกายชื่นชมขึ้นมาอีกหลายส่วน!

 

นับว่าหาได้ยากนัก อัจฉริยะที่กอปรทั้ง พรสวรรค์ พลังฝีมือ และคุณธรรมน้ำมิตร!

 

จังหวะนี้ความประทับใจในตัวต้วนหลิงเทียนของมันทวีสูงขึ้นไปอีกขั้น

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“เรื่องเพียงเท่านี้ข้ายินดีช่วยเจ้า”

 

เสียงรับปากของเงชานส่งมาถึงต้วนหลิงเทียนแทบจะทันที ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกโล่งอกและสำนึกบุญคุณเถิงชานไม่น้อย

 

ครู่ต่อมากู่ลี่กับจูลู่ฉีก็มองไปยังเถิงชานด้วยสายตาวาดหวัง เพราะทั้งคู่ก็สังเกตเห็นการแลกเปลี่ยนสายตาของเถิงชานกับต้วนหลิงเทียน จึงคิดว่าต้วนหลิงเทียนกำลังกล่าวบอกเถิงชานให้เลือกพวกมัน

 

แต่ทว่าในขณะที่พวกมันกำลังคาดหวังนั้นเอง เถิงชานกลับไม่ได้เลือกมัน แต่เป็นอาวุโสจากแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวและนกไฟ ที่ยิงลำแสงมาเลือกพวกมันอย่างพร้อมเพรียง!

 

หากทั้งคู่ถูกเลือกไปในเวลาที่ต่างกัน พวกมันจะไม่เอะใจสงสัยอะไร

 

แต่ตอนนี้พวกมันกลับถูกเลือกเฟ้นในรอบเดียวกัน พวกมันจึงอดสงสัยไปไมได้!

 

“น้องหลิงเทียน เจ้าขอให้อาวุโสเถิงชานบอกอาวุโสของแท่นบูชานกไฟเลือกข้างั้นเหรอ?”

 

หลังจากเหินร่างไปหยุดลอยด้านหลังผู้อาวุโสของแท่นบูชานกไฟแล้ว กู่ลี่ก็ส่งเสียงกล่าวถามถึงต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที เพราะมันสงสัยว่านี่เป็นฝีมือต้วนหลิงเทียน แต่ก็ยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่…

 

“เป็นเจ้าหรือ?”

 

จูลู่ฉีที่ลอยร่างอยู่ด้านหลังอาวุโสแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวแล้ว ก็หันมามองถามต้วนหลิงเทียนทันที น้ำเสียงยังเผยถึงความไม่พอใจชัดเจน

 

“ผ่อนคลาย พวกท่านไม่ต้องห่วงข้าสามารถดูแลตัวเองได้…กลับกันข้าไม่อยากให้มีใครอยู่รอบกายเพราะนั่นจะยิ่งทำให้ข้าเคลื่อนไหวลำบาก…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่คาดไว้แล้วว่าต้องถูกทั้งคู่ถามมาแบบนี้แน่ จึงกลั้นใจกล่าวตอบไปด้วยคำพูดแรงๆที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว แข็งใจตอนนี้ดีกว่าทนเศร้าใจเพราะสหายเกิดเรื่อง…

 

“เจ้ากลัวว่าข้าจะเป็นตัวถ่วงฉุดลากเจ้าหรือ?”

 

กู่ลี่ขมวดคิ้ว ด้วยความไม่พอใจ

 

จูลู่ฉีไม่กล่าวอะไรออกมาอีก แต่จากแววตาก็เผยให้เห็นชัดว่ามันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

 

อย่างไรก็ตามพวกมันรู้ดีว่าเรื่องนี้ถูกตัดสินแล้ว และมิอาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก จึงไร้ประโยชน์อันใดที่จะกล่าวตำหนิต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นพวกมันจึงไม่คิดจะยุ่งกับเรื่องนี้อีกต่อไป ที่สำคัญพวกมันไหนเลยจะเป็นชนชั้นโง่เขลาไม่รับรู้ถึงความห่วงใยของต้วนหลิงเทียน?

 

“หืม?”

 

ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นอาวุโสที่มีสัมพันธ์อันดีกับเถิงชานจากป้อมพยัคฆ์ขาวและนกไฟเลือกสหายสองคนของต้วนหลิงเทียนไปอย่างพร้อมเพรียง หลี่อันก็ตระหนักถึงเรื่องราวได้ทันที…

 

‘บัดซบ! ข้าลืมพวกมันไปได้อย่างไร…สหายของต้วนหลิงเทียน 2 คนนั่น! ถ้าข้าจัดการพวกมันได้ด้วย ต้วนหลิงเทียนต้องยิ่งรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจมากขึ้นแน่!!’

 

หลี่อันรู้สึกเสียใจไม่น้อย ที่มันดันไม่ทันฉุกคิดเรื่องนี้แต่แรก!

 

เมื่อครู่มันกำลังยินดีมีสุขที่ต้วนหลิงเทียนถูกเลือกเข้าแท่นบูชาเต่าทมิฬ จึงลืมสหายทั้ง 2 คนของต้วนหลิงเทียนไปชั่วขณะ มาตอนนี้ถึงรู้ตัวก็สายไปที่จะทำอะไรแล้ว

 

เพราะตอนนี้เรื่องราวได้ข้อยุติเรียบร้อย กู่ลี่กับจูลู่ฉีถูกกำหนดให้เข้าร่วมกับแท่นบูชานกไฟและพยัคฆ์ขาว มันไม่อาจก้าวก่ายชิงตัวคนจากแท่นบูชาของผู้อื่นมาแท่นบูชาเต่าทมิซของมันได้อีกต่อไป…

 

และผู้อาวุโสของแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวกับแท่นบูชาไฟนั่นก็เป็นสหายที่มีสัมพันธ์อันดีกับกู่ลี่ไม่น้อย ต่อให้มันคิดจะชิงกู่ลี่กับจูลู่ฉีกลับมา ทั้งสองคนก็คงไม่มีวันยอมปล่อยคนให้มันแน่!

 

‘ช่างเถอะ…พวกมันมิได้สำคัญอันใด แค่มีต้วนหลิงเทียนน่าตายนั่นอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬก็พอ!’

 

จะอย่างไรหลี่อันก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ เป็นธรรมดาที่มันจะควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี สามารถยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ทันที

 

เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดผู้คนที่มารวมตัวกันที่แท่นบูชาเต่าทมิฬ ก็ถูกอาวุโสแท่นบูชาต่างๆคัดเลือกจนหมดสิ้น ทุกๆคนถูกเฉลี่ยไปเข้าร่วมแท่นบูชาเต่าทมิฬ มังกรคราม พยัคฆ์ขาว นกไฟอย่างเท่าเทียม…

 

อย่างไรก็ตามถึงจะเฉลี่ยกันอย่างเท่าเทียมแล้ว ทว่าแต่ละแท่นบูชาก็ได้คนกลับไปทดสอบคัดเลือกพันกว่าคน!

 

‘การประเมินคัดเลือกศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์ลัทธิบูชาไฟครั้งนี้…ดูเหมือนจะคัดคนจนกว่าจะเหลือราวๆร้อยกว่าคนเท่านั้น กล่าวได้ว่าหลังจากนี้ทุกแท่นบูชาไม่เว้นแท่นบูชาเต่าทมิฬก็จำต้องคัดคนออกไปพันกว่า?’

 

มองไปรอบๆกาย ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีคนลอยร่างอยู่รอบๆราวๆพันกว่าคน!

 

หลังจากนั้นไม่นานอาวุโสของอีก 3 ก็กล่าวอำลาเถิงชาน ก่อนที่จะเหินร่างนำศิษย์ที่ถูกเลือกเฟ้นกลับไปทำการทดสอบที่แท่นบูชาของใครของมัน

 

“น้องหลิงเทียน เจ้าจงระวังตัวให้มาก”

 

“ต้วนหลิงเทียน…พึงมีสติกระทำการอย่างรอบคอบ อย่าได้ผลีผลามเด็ดขาด!”

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง กู่ลี่กับจูลู่ฉีก็กล่าวส่งเสียงผ่านปราณมาย้ำเตือนต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ก่อนที่จะเหินร่างติดตามอาวุโสประจำแท่นไป

 

พวกมันกำลังจะไปยังแท่นบูชาพยัคฆ์ขาวและนกไฟแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงต้วนหลิงเทียน

 

“สบายใจได้เลย ไม่ต้องห่วงข้า”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ พร้อมส่งยิ้มสร้างความมั่นใจให้ทั้งคู่

 

ไม่นานอาวุโสของแท่นบูชาอื่นๆก็พาผู้สมัครทุกคนจากไปจนหมด…

 

ตอนนี้ก็เหลือเพียงเถิงชาน หลี่อัน และผู้สมัครอีกราวๆ พันเศษๆ…

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นหนึ่งในพันเศษๆนั้นด้วย…

 

“การประเมินคัดเลือกจะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้…ด้วยเพราะพวกเจ้ายังมิได้ถือว่าเป็นศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ เช่นนั้นพวกเจ้าสามารถอยู่ได้แต่ในบริเวณนี้เท่านั้นจักกินดื่มนอนหลับบ่มเพาะอันใดก็ห้ามมิให้ไปที่อื่น! พรุ่งนี้เมื่อในหมู่พวกเจ้าจำนวนร้อยคนผ่านการประเมินคัดเลือกแล้ว ถึงจะถือว่าเป็นศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ”

 

เถิงชานว่ายตามองไปยังทุกๆคนรวมถึงต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด

 

ทันใดนั้นคนกว่าพันในแท่นบูชา ยกเว้นต้วนหลิงเทียนกับบางคนที่ค่อนข้างสงบ ก็บังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย

 

พวกมันคล้ายได้เห็นภาพตัวเองกำลังผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเป็นศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างเป็นทางการแล้วอย่างไรอย่างนั้น…

 

หลังจากกล่าวเกริ่นจบคำแล้ว เถิงชานก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนค่อยส่งเสียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ต้วนหลิงเทียนนอกจากการทดสอบเบื้องต้นแล้ว การทดสอบเข้าแท่นบูชาเต่าทมิฬที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘พรสวรรค์’ พรุ่งนี้เจ้าจงกระทำเต็มความสามารถอย่างดีที่สุด เพื่อเผยให้ทุกผู้คนได้เห็น…หากเจ้ามีศักยภาพและพรสวรรค์น่ากลัวจริงๆ กระทั่งจ้าวแท่นก็ยังต้องให้ความสนใจเจ้าเป็นพิเศษ…”

 

“และหากจ้าวแท่นบังเกิดความสนใจในตัวเจ้าขึ้นมา ต่อให้หลี่อันมันคิดจัดการกับเจ้ามากเพียงใด มันก็ไม่มีทางกล้าลงมือกับเจ้าออกนอกหน้าแน่นอน!”

 

เถิงชานกล่าวเตือนเสียงเข้ม

 

“ข้าเข้าใจ” ต้วนหลิงเทียนขานตอบพร้อมพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

 

และหลังจากที่กล่าวจบเถิงชานก็เหินร่างจากไปทันที โดยไม่สนว่าหลี่อันจะยังอยู่หรือไม่

 

เพราะมันรู้ดีว่าต่อให้มันจะจากไป แต่ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยั่วยุท้าทายอะไรหลี่อัน ด้านหลี่อันเองก็ไม่กล้าลงมือกับต้วนหลิงเทียนง่ายๆ!

 

เพราะเมื่อหลี่อันมันกล้าลงมือ มันก็ต้องชดใช้ในการกระทำของมัน…และมันอาจถึงขั้นถูกขับออกจากลัทธิบูชาไฟ!

 

ลัทธิบูชาไฟคือ 1 ใน 3 มหาอำนาจของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า กฏเกณฑ์อันใดล้วนเข้มงวดกวดขันนัก ไม่ปล่อยให้มีใครละเมิดได้ง่ายๆ

 

และเป็นเพราะกฏเกณฑ์อันเข้มงวดนี้ ลัทธิจึงสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นดำรงอยู่มาได้ตั้งแต่สมัยโบราณ!

 

ดั่งคำกล่าวไว้ว่า “ไม่มีกฏไม่มีมาตรฐาน” ทั้ง 3 ลัทธิรวมถึงลัทธิบูชาไฟจึงยึดถือกฏเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอมา

 

เป็นธรรมดาที่หลังจากเถิงชานจากไปไม่นาน หลี่อันก็จากไปด้วย

 

อย่างไรก็ตามหลี่อันได้หันมามองต้วนหลิงเทียนทิ้งท้ายก่อนที่จะจากไป

 

แววตาของมันช่างเย็นชาปานจะแช่แข็งผู้คนนัก พาลให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวขึ้นมา เพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนถึงเจตนาฆ่าฟันของหลี่อันชัดเจน!

 

เรียกว่าหลี่อันเผยจิตสังหารออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิดใครด้วยซ้ำ!!

 

“คิดฆ่าข้างั้นเหรอ…นั่นก็ต้องดูความอดทนและความตั้งใจของเจ้าด้วย”

 

ปากของต้วนหลิงเทียนยกยิ้มกล่าวเย้ยออกมา

 

เขารู้ดีว่าด้วยพลังฝีมือของหลี่อันตอนนี้ คิดฆ่าเขานั้นเป็นอะไรที่ง่ายดายไม่ต่างตัดหญ้าฆ่าไก่

 

อย่างไรก็ตามหากหลี่อันกล้าฆ่าเขาที่นี่ มันไม่พ้นต้องถูกขับไล่ออกจากลัทธิบูชาไฟแน่!

 

เขารู้ดีแก่ใจว่าหลี่อันมันไม่กล้าฆ่าเขา เพราะมันกลัวถูกขับไล่ออกจากลัทธิบูชาไฟเป็นที่สุด!

 

หาไม่แล้วเขาคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้

 

หลังจากที่หลี่อันเหินร่างจากไป สายตาของผู้คนกว่าพันก็หันมามองต้วนหลิงเทียนทันที ทุกคนเองก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่หลี่อันเผยออกมาโต้งๆ

 

และตอนนี้ในสายตาของคนส่วนใหญ่ก็เผยความสงสารเห็นใจต้วนหลิงเทียนออกมาไม่น้อย

 

“ต้วนหลิงเทียนล่วงเกินหลี่อันไปขนาดนั้น แต่กลับต้องมาอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬ…ถึงไม่ตายก็ต้องเดือดร้อนหนักแน่!”

 

คนส่วนใหญ่เองต่างก็คิดแบบนี้

 

หากแต่ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสอะไรสายตาคนมอง เพียงลอยร่างนั่งขัดสมาธิกลางหาว หลับตาลงและโคจรบ่มเพาะพลังหน้าตาเฉย…

 

‘เหลืออีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้ว…แต่ก้าวเดียวนี่ทำข้าติดแหง็กมาสักพักแล้ว’

 

เมื่อเริ่มบ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

 

ด้วยมีเวลาแค่คืนเดียวแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หวังผลเลิศล้ำอะไรมากมาย ไม่คิดว่าจะทะลวงด่านได้สำเร็จเพียงลองโคจรพลังทะลวงจุดรอคอยดูเท่านั้น

 

ทว่าบางครั้งความประหลาดใจก็มาถึงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

 

ปงงง!!

 

มิคาดโคจรพลังทะลวงจุดรอคอยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะกรุยจุดรอคอยได้เท่านั้น…ทว่ากลับพุ่งทะลวงผ่านไปหน้าตาเฉย! ปราณสุริยันแรกกำเนิดของด่านพลังอริยเซียนขั้นสูงสุดเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการวิวัฒน์พัฒนาเข้าสู่ขอบเขตเซียนมนุษย์ทันที และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจน ว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นขุมพลังใหม่!

 

‘นี่มันพลังเซียนงั้นเหรอ!?’

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังขุมใหม่ที่กำลังเพาะสร้างก่อเกิดในร่าง ต้วนหลิงเทียนถึงกับประหลาดใจหนักหนาแล้ว ‘ข้า…ทะลวงด่านแล้ว?’

 

ความก้าวหน้าครั้งนี้ กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ทันได้คิดคาดมาก่อน!

 

‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนมักพูดกันว่าความกดดันนับเป็นแรงจูงใจและแรงผลักดันอันดี…ดูเหมือนว่าภัยคุกคามจากหลี่อัน แรงกดดันของยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ จะทำให้เส้นประสาทของข้าขึงตึง ทำให้การฝึกปรือของข้าถูกเร่งเร้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว’

 

ต้วนหลิงเทียลอบคาดคิด

 

ความก้าวหน้าครั้งนี้ยืนยันคำกล่าวที่ว่า ‘ความกดดันคือแรงจูงใจ’ ได้ชัดเจน

 

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียน ก็ชักนำพลังปราณสุริยันทั่วกายให้เข้าสู่กระบวนการวิวัฒน์ และตอนนี้ขุมพลังในร่างเขาก็ไม่ใช่ปราณแรกกำเนิดสืบไป แต่เป็นพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขึ้นไป หรือก็คือพลังเซียน ที่เหนือกว่าปราณแรกกำเนิดมาก!

 

พลังเซียนนั้นทรงพลังทั้งน่าเกรงขามกว่ากันนัก ยังให้ความรู้สึกอันสุดไพศาล…

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้วนหลิงเทียนเพาะสร้างปรับเปลี่ยนพลังเซียนให้กลายเป็น ‘พลังเซียนสุริยัน’ ก็นับว่าเหนือล้ำยิ่งกว่าปราณสุริยันแรกกำเนิดมาก!

 

‘พลังเซียนสุริยัน…ช่างร้ายกาจจริงๆ’

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเซียนสุริยันขุมแรกที่เพาะสร้างกำลังโคจรผ่านชีพจรเซียน 99 จุดสายทั่วร่าง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคึกคักอักโขขึ้นมาไม่น้อย ‘ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้ หากข้าแปลงกายเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บและลงมือเต็มพลังล่ะก็ ไม่ต้องใช้อะไรอื่น..กระทั่งเซียนปฐพีขั้นสูงสุดก็ไม่อาจต้านทานข้าได้!’

 

‘หืม? นี่มัน…’

 

ทันใดนั้นเอง คิ้วต้วนหลิงเทียนพลันขมวดเป็นปม เมื่อตระหนักได้ถึงบางสิ่ง…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด