War sovereign Soaring The Heavens 2194

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 2194 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2,194 : ผู้สืบทอดความลับสวรรค์

 

บนยอดเขาอันมีหิมะปกคลุมหนาแห่งหนึ่ง แว่วเสียงตะโกนด้วยความดีใจดังขึ้นมาแต่ไกล…

 

“หนานกงเฉิน หนานกงยี่! พวกเจ้าได้ยินข่าวของอัจฉริยะนามว่าต้วนหลิงเทียนแล้วใช่หรือไม่?!”

 

ร่างที่เหินตะโกนมาแต่ไกลนั้น เป็นชายหนุ่มอันมีรูปร่างกำยำคนหนึ่ง พริบตามันก็ย่นฟ้าตัดระยะมาถึงยอดเขา สมทบกับชายหนุ่มสองคร เร่งกล่าวออกด้วยลูกตาที่ทอประกายสว่างจ้า!

 

ชายหนุ่มสองคนที่อยู่แต่แรกนั้น มีใบหน้าทั้งรูปร่างเหมือนกันทุกประการ เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นพี่น้องฝาแฝด!

 

หลังจากที่ชายร่างกำยำกล่าวถามด้วยความยินดี มันก็ไม่รอให้พี่น้องฝาแฝดตอบคำอะไร เร่งกล่าวออกมาด้วยวาจาวางท่าอวดโอ่ต่อว่า “ข้าจะบอกให้พวกเจ้าได้รู้ ว่าอัจฉริยะนั่นคือน้องชายของข้ากู่ลี่ ต้วนหลิงเทียน!”

 

ชายหนุ่มร่างกำยำเพยายามกล่าวเน้นย้ำชื่อออกมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ ราวกับมันต้องอวดให้มากๆด้วยกลัวคนอื่นไม่รู้ว่ามันรู้จักต้วนหลิงเทียน…

 

ชายหนุ่มร่างกำยำแลดูแข็งแกร่งผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น กู่ลี่ ที่ขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมกันกับต้วนหลิงเทียนในอดีต

 

และกู่ลี่ไม่เพียงแต่ขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมต้วนหลิงเทียนเท่านั้น มันยังเข้าร่วมลัทธิบูชาไฟพร้อมต้วนหลิงเทียนอีกด้วย!

 

แต่หลังจากนั้นมันก็เลือกที่จะเดินทางออกจากลัทธิบูชาไฟ เพื่อไปตามหามรดกของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการ 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ที่มันบังเอิญพบพานในอดีต…

 

และในที่สุดมันก็ได้เป็นผู้สืบทอดของจอมเผด็จการสมใจหมาย…

 

“เฮ่อ…เดิมทีข้าคิดว่าหลังได้สืบทอดมรดกทั้งหมดของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 ทั้งผ่านการใช้มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราแล้ว ข้าจะมีความแข็งแกร่งเหนือน้องหลิงเทียนได้แน่ๆ…แต่ไม่คิดเลยว่าน้องหลิงเทียนจะกลายเป็นก้าวหน้าทิ้งห่างข้าไปอีกครั้งอย่างที่ข้าไม่อาจนึกฝัน…”

 

เห็นได้ชัดว่า กู่ลี่ พึ่งได้รับทราบเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ และได้รับรู้ถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบันจากรายนามยอดเซียนฉบับล่าสุด…ว่าอีกฝ่ายกลายเป็นยอดฝีมือลำดับที่ 18 ในรายนามยอดเซียน แถมยังกลายเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไปแล้ว! ตอนที่มันได้รู้ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่…

 

แน่นอนว่าหลังระบายลมหายใจออกมาแล้ว มันก็ยินดีมีสุขกับต้วนหลิงเทียนนัก

 

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังรีบแจ้นมาหาผู้สืบทอด ‘คนคู่’ คู่แฝดหนานกง เพื่อบอกว่ามันรู้จักกับต้วนหลิงเทียน!

 

ในวาจายังไม่ขาดการคุยโวโอ้อวดแม้แต่น้อย!

 

มันอยากอวดให้ทุกคนรู้ว่ามันสนิทสนมกับอัจฉริยะท้าทายสวรรค์อันดับ 1 ในแดนดินอย่างต้วนหลิงเทียน!

 

“อ้อ เจ้ารู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยรึ?”

 

อย่างไรก็ตามกู่ลี่ไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าทั้งคู่จะตอบสนองการโอ้อวดของมันด้วยวาจาสงสัย

 

รู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยรึ?

 

วาจานี้ของหนานกงยี่ยามดังในหูกู่ลี่ นับว่าทำให้กู่ลี่อื้ออึงไปแล้วจริงๆ

 

“พวกเจ้า…คงไม่ใช่ว่ารู้จักน้องหลิงเทียนด้วยหรอกนะ?”

 

กู่ลี่ได้แต่เบิกตากลมกว้างปานลูกวัวแรกเกิด ถามคู่แฝดหนานกงออกไปด้วยความเหลือเชื่อ

 

โลกหล้ามีเรื่องบังเอิญพรรค์นี้อยู่ด้วย?

 

“เหลวไหล!!”

 

หนานหงเชิดหน้ากล่าวตอบเสียงเข้ม “ข้ากับเจ้าต้วนน่ะเรียกว่าเป็นพี่เป็นน้องที่ลุยฝ่าสนามรบด้วยกันมาตั้งแต่ในทวีปมนุษย์ด้วยซ้ำ! อันที่จริงกระทั่งครอบครัวของเจ้าต้วนพวกเราเองก็รู้จักดี จะมารดาบิดากระทั่งภรรยามัน ยังเห็นพวกข้าพี่น้องไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว…”

 

“แต่จะว่าไป ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินเจ้าต้วนหรือครอบครัวเจ้าต้วนมันพูดถึงเจ้าเลยนี่นา…”

 

ตอนนี้เองหนานกกงยี่พลันหยีตามองจ้องกู่ลี่เขม็งพร้อมกล่าวถามเสียงเข้มว่า “กู่ลี่…นี่เจ้าใช่กำลังตีเนียนหรือไม่? เอาตรงๆนะข้าซี้กับเจ้าต้วนมาก แต่ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยว่ามันมีเจ้าเป็นสหายหรือพี่ชายอะไรเลย? นี่เจ้าใช่คุยโวโอ้อวดรึเปล่า…สารภาพมาเถอะข้าไม่ถือหรอก ข้าเข้าใจ…”

 

ได้ยินวาจาของหนานกงยี่ กู่ลี่ก็ถึงกับตกตะลึงอึ้งค้าง แต่พอได้ยินวาจายียวนท้ายประโยคกู่ลี่อดไม่ได้ที่จะฮึดฮัดขึ้นมาด้วยโทสะ

 

หนานกงยี่หาว่ามันคุยโวโอ้อวดรึ!?

 

“ขี้โม้ยิ่ง…”

 

ในขณะที่กู่ลี่หน้าแดงกำ ด้วยคล้ายอดไม่ไหวอยากจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง หนานกงเฉินที่หายากนักจะกล่าววาจาออกมาสักคำ ทำราวกับคำพูดของมันมีค่าเป็นทอง ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหน้าตาย…ยังเป็นกล่าวถล่มทับมัน!

 

จังหวะนี้เรียกว่ากู่ลี่มีโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมาอยู่รอมร่อ!

 

“ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการอย่างข้า! จำเป็นต้องคุยโวโอ้อวดกับพวกเจ้าด้วยรึ!?”

 

กู่ลี่ที่หัวเสียโพล่งออกมาอย่างดุดัน

 

“เอ้า…ผู้ใดจะไปรู้เล่า? ของแบบนี้มันก็ไม่แน่นักหรอก…”

 

หนานกงยี่กล่าวพลางส่ายหน้าไปมา สายตาที่ใช้มองกู่ลี่เผยความสงสัยออกชัด ราวกับมั่นใจว่วากู่ลี่กำลังคุยโม้แน่นอน

 

หนานกงเฉินก็พยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ

 

จังหวะนี้ กู่ลี่ รู้สึกเสมือนมันทุ่มหินทับเท้าตัวเองอย่างไรก็ไม่ทราบ

 

และหลังจากนั้นกู่ลี่ก็พยายามกล่าวอธิบายอยู่นานสองนานเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ได้โม้

 

และในขณะที่กู่ลี่พยายามอธิบายจนปากเปียกปากแฉะจนใกล้จบนั้น…

 

“พอๆ เอาล่ะสหาย ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว…ฮ่าๆๆๆ ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ!”

 

หนานกงยี่พลันยกมือขึ้นมาขัดคำกู่ลี่ ก่อนที่จะเริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยท่าทางสนุกสนานนัก ยังหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นขุนเขา!

 

เห็นได้ชัดว่าท่าทางมันจะกลั้นหัวเราะเอาไว้นานมากแล้ว

 

“หืม?”

 

เห็นอีกฝ่ายอยู่ๆก็เป็นแบบีน้กู่ลี่ย่อมอดไม่ได้ที่จะงุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกันแน่

 

“กู่ลี่…ถึงแม้พวกเราจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ข้าย่อมได้ยินเรื่องของเจ้ามาไม่น้อย พวกเรารู้แต่แรกว่าเจ้ามาจากตำหนักฟ้าลี้ลับในภูมิภาคเบื้องล่างและยังนับถือเป็นพี่น้องกับเจ้าต้วน กระทั่งยังรู้เรื่องที่เจ้าอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามของเจ้าต้วนมันพักหนึ่งอีกด้วย…”

 

หนานกงยี่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมผายมือยักไหล่ “น่าเสียดายที่ตอนพวกเรามาถึงตำหนักเมฆาคราม เจ้าก็เดินทางออกจากภูมิภาคเบื้องล่างไปภูมิภาคเบื้องบนพร้อมเจ้าต้วนพอดี พวกเราจึงไม่เคยได้พบกันมาก่อน…”

 

ย้อนกลับไปตอนนั้น ต้วนหลิงเทียนได้ย้อนกลับไปรับพวกหนานกงเฉินหนานกงยี่รวมถึงคนอื่นๆที่ประเทศฝูเฟิงให้มาอาศัยอยู่ที่ตำหนักเมฆาคราม ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากตำหนักเมฆาครามไปยังภูมิภาคเบื้องบน

 

“อะไร!? ที่แท้พวกเจ้าก็คือสหายที่น้องหลิงเทียนไปพามาอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามก่อนจะขึ้นไปภูมิภาคเบื้องบนพร้อมข้านี่เอง…ข้าเองก็ได้ยินเรื่องที่น้องหลิงเทียนย้อนไปรับสหายมาบ้างแล้ว แต่ข้าไม่คิดเลยว่าในบรรดาสหายน้องหลิงเทียนจะเป็นพวกเจ้าด้วย! ที่แท้ใต้กล้ากลับมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่ด้วย!!”

 

พอได้ฟังคำของหนานกงยี่ กู่ลี่ ก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที

 

และทันใดนั้น กู่ลี่ก็หันไปมองหนานกงยี่ตาดุ คิ้วขมวดกล่าวถามเสียงเข้ม “เช่นนั้นที่พวกเจ้าบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องของข้า…เป็นพวกเจ้าหลอกข้างั้นเรอะ!?”

 

“หลอกเหลิกอันใดเล่า! ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นหน่อยเดียวเอง ฮ่าๆๆ!!”

 

หนานกงยี่นยกมือขึ้นมาส่ายไปมาค่อยหัวเราะลั่นอีกรอบ

 

“หนานกงเฉิน เป็นธรรมดาที่น้องเจ้าจะล้อข้าเล่น…แต่นี่กระทั่งเจ้าก็เอากับมันด้วยรึ? ไม่ใช่ว่าเจ้ามักจริงจังหน้านิ่งกับทุกเรื่องรึไร?”

 

ด้วยรู้ดีว่าคงไม่ได้อะไรที่จะหาเรื่องหนานกงยี่ที่ขี้เล่นเป็นทุน กู่ลี่จึงเอาโทสะไประบายกับหนานกงเฉิน

 

“เจ้า…โง่งมเกินไป”

 

หนานกงเฉินยังสงวนวาจาดั่งทอง

 

แม้จะเป็นวาจาสั้นๆ หากแต่พอดังเข้าหูกู่ลี่ก็นับว่ายั่วโทสะของมันให้พุ่งปรี๊ดทะลุจุดระเบิดทันที “เจ้ากล้าเห็นข้าเป็นตัวโง่งมหรือ เช่นนั้นมาวัดพลังกันสักตั้งเถอะ!!”

 

“ก็เอาสิ”

 

หนานกงเฉินเองก็ไม่คิดเผยความอ่อนแอให้เห็น “ก็ดีเหมือนกัน ‘คนคู่’ ของพวกเราจะได้เลื่อนอันดับไปเป็นทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 แทน ‘จอมเผด็จการ’ ของเจ้า นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว…”

 

หนานกงเฉินปกติก็ไม่ค่อยจะพูดอะไรออกมามาก แต่วาจาที่กล่าวออกมาแต่ละคำนับว่าทำให้กู่ลี่ถึงกับพูดไม่ออกแล้วจริงๆ “หนานกงเฉินเจ้าบอกข้าให้กระจ่างที…ว่าไฉนอยู่ๆเจ้ากล่าวไปถึงคนคู่ได้?”

 

กู่ลี่ไหนเลยจะไม่เข้าใจความนัยวาจาของหนานกงเฉิน อีกฝ่ายรับคำท้าสู้จริง แต่กลับรับคำท้าในนาม ‘คนคู่’ ซึ่งหมายความว่าหากจะสู้กันจริงๆ อีกฝ่ายจะกลุ้มรุมมัน!!

 

คู่แฝดหนานกงนั้น คนใดคนหนึ่งไม่ใช่คู่มือมันเลย…

 

แต่ถ้าทั้งสองผนึกกำลังลงมือพร้อมกัน ตัวมันเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้พี่น้องคู่นี้เช่นกัน…

 

“มาๆ ลองกันสักตั้งก็ดีเหมือนกัน! กล่าวไปผู้สืบทอดลำดับที่ 3 นับว่าฟังดูร้ายกาจกว่าผู้สืบทอดลำดับที่ 6 ไม่น้อยจริงๆ เจ้าสะดวกตีกับพวกเราตอนนี้เลยหรือไม่เล่า?”

 

หนานกงยี่พยักหน้าพลางกล่าวเสียงเข้ม

 

“พวกเจ้ามันหน้าไม่อาย!”

 

กู่ลี่สบถคำดุร้าย ก่อนที่จะจากไปอย่างอับจน

 

บางทีวันหน้าพลังฝีมือมันก้าวหน้าขึ้น ด้วยมรดกวิชาเฉพาะที่สืบทอดมา…อาจทำให้มันร้ายกาจกว่าการผนึกกำลังรวมกันของทั้งสองคนได้ แต่อีกฝ่ายที่ลงมือพร้อมกันตอนนี้มันยังสู้ไม่ไหว!

 

เรื่องนี้มันย่อมรู้ตัวดี

 

หากมันเลือกรับการประลองนี้อย่างเป็นทางการจริงๆแล้วแพ้จนเสียอันดับขึ้นมาล่ะก็ เกิดบรรพชนของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 3 จอมเผด็จการรุ่นก่อนหน้าที่ป่านนี้สมควรอยู่ในระนาบเทวโลกแล้วรู้เข้า มีหวังได้โมโหมันจนกระอักเลือดตายแน่!

 

หลังจากกู่ลี่ฮึดฮัดกลับไป คู่แฝดหนานกงก็ได้แต่หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

 

หลังจากที่หัวเราะไปสักพัก พอหยุดลง แววตาของหนานกงยี่ก็แฝงความอาลัยหนึ่ง “หลังได้รู้เรื่องราววีรกรรมของเจ้าต้วนมันแล้ว ข้าล่ะอยากออกไปต่อยตีกับผู้คนในภูมิภาคเบื้องบนให้สะใจนัก อาศัยพลังฝีมือของข้าตอนนี้คงมีชื่อเสียงไม่น้อย…ตอนแรกข้าคิดว่าเวลาครึ่งปีคงไม่นานอะไร มาตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนกว่าจะผ่านไปแต่ละวันช่างนานยิ่ง…”

 

“ข้าก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนอาจารย์ลุงพยากรณ์ถึง ไม่ให้พวกเราออกไปไหนเป็นเวลาครึ่งปีด้วย…ยังบอกว่าพวกเราสมควรปรับระดับพลังให้มั่นคงและบ่มเพาะให้มากขึ้น…ไม่ทราบเพราะอะไรข้าฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกพวกเราอย่างไรก็ไม่รู้…ผู้เฒ่าพญากรณ์อะไรกัน ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์สิไม่ว่า…”

 

หลังกล่าวถึงจุดนี้ หนานกงยี่ก็ส่ายหัวไปมา

 

“หืม?! นี่มันอะไรกัน ไฉนอยู่ๆข้าถึงรู้สึกหนาวขึ้นมาได้ล่ะ?”

 

ครู่ต่อมาอยู่ดีๆหนานกงยี่ก็รู้สึกเสมือนบรรยากาศรอบกาย กลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมากะทันหัน ปานมันติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น! ทำให้อดตกใจขึ้นมาไม่ได้!!

 

เพราะถึงแม้ให้มันเปลือยเปล่าบนยอดเขา มันก็ไม่มีทางรู้สึกหนาวแบบนี้!

 

อีกทั้งความหนาวยะเยือกที่มันรู้สึก ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ความหนาวเย็นของสภาพอากาศทั่วไป!

 

ในขณะที่มันหันไปมองหนานกงเฉินด้วยคิดถามว่า…ใช่รู้สึกหนาวเหมือนมันหรือไม่นั้น

 

มันก็พบว่าหนานกงเฉินขยิบตาปริบๆและสะบัดหน้าเบาๆ คล้ายจะให้มันหันไปมองด้านหลัง แถมอาการยังแลดูลุกลี้ลุกลนผิดวิสัย…

 

ทันใดนั้นมันก็หันหลังกลับไปมองตามสัญญาณอย่างไม่รู้ตัว

 

เพียงแค่ปราดเดียวลูกตาของมันก็อดไม่ได้ที่จะหดหยีลง ด้วยแลเห็นร่างบางอันงามหมดจดหยึ่งเหินอยู่ไกลตา!

 

ท่ามกลางความว่างเปล่าห่างออกมาเล็กน้อย ปรากฏสตรีในชุดขาวแทบกลมกลืนไปกับหิมะโดยรอบ ลอยร่างค้างกลางฟ้าปานภูตหิมะ…

 

ด้วยอาภรณ์ที่แลดูบริสุทธิ์ไร้มลทินทำให้ทิวทัศน์แวดล้อมโดยรอบของนางคล้ายแปดเปื้อนไม่คู่ควร…

 

เส้นผมของสตรีนางนี้ทอดยาวลงมาปานม่านน้ำตกที่ร่วงหล่นจากสวรรค์

 

ถึงแม้ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจะมีผ้าขาวบดบังเอาไว้

 

แต่เมื่อเห็นความงดงามอันไร้ที่ติที่โผล่พ้นครึ่งผ้าออกมา ก็ราวกับนางหลุดออกมาจากภาพวาดของจิตรกรมือเอกในแดนสรวง ชวนให้ผู้คนจินตนาการไปไกลว่ารูปโฉมใต้ม่านผ้าที่แท้งามพิลาศถึงขั้นไหน

 

นางเพียงลอยร่างอย่างสงบเท่านั้น หากแต่ให้ความรู้สึกเลื่อนลอย ดังหมอกควันเลือนรางมิอาจจับต้อง ราวกับไม่ใชผู้คนแต่เป็นภูติหิมะจำแลงกาย บรรยากาศรอบกายนางช่างให้ความรู้สึกหนาวยะเยือก ปานจะผลักไสผู้คนให้ไกลห่าง  หากแม้นผู้ใดเผลอไผลเข้าใกล้จำต้องถูกแช่แข็ง…

 

“ข้าหวังว่าจะไม่ได้ยินอะไรเช่นนี้อีก…”

 

หลังจากนั้นสตรีในชุดขาวพิสุทธิ์ก็เอื้อนเอ่ยวาจาออกมาสั้นๆ น้ำเสียงของนางไพเราะเสนาะหูนัก ฟังแล้วคล้ายเสียงดุริยางค์สวรรค์ คงจะดีถ้ามันไม่มีความเยียบเย็นปานจะแช่ร่างผู้คน ชวนให้หนาวจับใจแบบนี้เคลือบแฝงออกมา…

 

พอกล่าวจบคำ ร่างบางก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน…

 

และทันทีที่นางหายไป อุณหภูมิโดยรอบก็คล้ายจะหวนคืนสู่ปกติ

 

จังหวะนี้สองพี่น้องหนานกงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

“เห็นว่าผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 อย่างความลับสวรรค์ไม่สันทัดด้านการต่อสู้ไง…ไฉนข้ารู้สึกว่าหากนางลงมือข้าต้องดับอนาถแน่ๆเลยเล่า? แค่ยืนอยู่เฉยๆก็ทำให้ผู้คนกลัวแทบตาย!”

 

หนานกงยี่ได้แต่หันไปบ่นด้วยรอยยิ้มแห้งๆกับหนานกงเฉินที่ยังคงมีสีหน้าหวั่นๆไม่หาย

 

“นางแข็งแกร่งยิ่ง…ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงเลย”

 

หนานกงเฉินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เหอะๆ ข้าว่านางให้ความรู้สึกอันตรายยิ่งกว่าผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงอีก…หรือเป็นเพราะพวกเรารู้จักผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงมานานก็ไม่รู้…”

 

หนานกงยี่กล่าวจบก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด