War sovereign Soaring The Heavens 2229

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 2229 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2,229 : ถ้ำกาลเวลา

 

“โฮ่วววววส์!!”

 

“ฮู่มมมมม!!”

 

……

 

เหล่าอสูรกายแต่ละตัวนั้นมีพลังอำนาจมิใช่ชั่ว แถมจำนวนพวกมันยังมากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับไหว! แต่ละตัวยังลงมือดุร้ายอำมหิต กรูกันเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับหากฆ่าหวงเหวินจิ้งไม่ได้พวกมันจะไม่เลิกรา!!

 

ช่วงแรกๆหวงเหวินจิ้งยังพอต้านทานรับมือได้ไหว…

 

ทว่าหลังเข่นฆ่าสังหารอสูรกายร้ายไปเป็นเบือ พวกมันยังคงถาโถมเข้ามาไม่รู้เบื่อไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด นางก็เริ่มรับมือได้ลำบากเต็มที!

 

สุดท้ายพลังสภาวะทั่วร่างก็เริ่มอ่อนโทรมลง

 

ปงงงง!!

 

เสียงหนึ่งลั่นดังสนั่นขึ้น เป็นหวงเหวินจิ้งพลาดท่าถูกอสูรกายตัวเขื่องลอบเข้าด้านหลังอย่างเงียบงันก่อนที่มันจะใช้กรงเล็บแหลมคมตะปบเข้ากลางหลังนางอย่างจัง ซัดนางปลิดปลิวไปกระแทกกำแพงถ้ำอย่างแรง!

 

กำแพงถ้ำสั่นสะเทือน ยังบังเกิดรอยแตกร้าวแผ่ขยายออกไปดั่งใยแมงมุม โลหิตกระอักออกปากหวงเหวินจิ้งคำใหญ่

 

อนิจจาอสูรกายร้ายฝูงใหญ่ไม่คิดปราณีรีรอ พวกมันไหนเลยจะรู้จักคำรักถนอมบุปผา! เมื่อเห็นหวงเหวินจิ้งพลาดท่าถูกซัดจนร่างจมผนัง ต่างก็เร่งโจนทะยานเข้ามาหมายกระชากฉีกร่างในสายตาให้แหลก!

 

ต่อให้หวงเหวินจิ้งไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หากแต่ในใจยังอดไม่ได้ที่จะกดดันอย่างหนักเมื่อต้องทนรับมืออสูรกายร้ายที่หลั่งไหลมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้!

 

นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่นางได้รับบาดเจ็บ!

 

สุดท้ายหลังจากเร่งแงะร่างตัวออกมาจากผนังถ้ำ และปะทุพลังสังหารอสูรกายตัวเขื่องไปได้อีก 2-3ตัว พลังของนางก็ขาดห้วงลง จึงถูกอสูรกายตัวเขื่องตะปบฟาดจนปลิวอีกรอบ! และสภาพการณ์ของนางดำเนินไปแบบนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนคนแทบไม่เหลือแรงใจสู้ต่อ…

 

“วันนี้ข้า หวงเหวินจิ้ง ต้องมาตายที่นี่หรือ…”

 

มองไปยังอสูรกายเป็นฝูงที่กรูกันเข้ามาหานางอย่างไม่จบไม่สิ้น แม้สีหน้าของหวงเหวินจิ้งจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอะไร หากแต่ในใจเริ่มบังเกิดความสิ้นหวังขึ้นมาแล้ว…

 

“โฮ่ววววส์!!”

 

ซู่มมมม!!

 

และในขณะที่นางเริ่มถอดใจกลางดงอสูรกายนั้นเอง เสียงคำรามพร้อมสายลมแรงหอบหนึ่งพลันแว่วดังขึ้น หวงเหวินจิ้งก็รู้ได้ทันทีว่าสายลมกรรโชกหอบนี้…มันพัดมาจากด้านหลัง!

 

หากสภาพร่างกายและพลังของนางอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม นางย่อมสามารถหันหลังกลับไปจัดการอสูรกายร้ายที่ลอบจู่โจมจากด้านหลังได้ไม่ยากเย็น…

 

ทว่าตอนนี้พลังของนางอ่อนโทรมถดถอยลงไปมาก…

 

“ไม่คิดเลยว่าสุดท้าย ข้าหวงเหวินจิ้ง กลับต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่…”

 

คราวนี้หวงเหวินจิ้งถอดใจลงอย่างสมบูรณ์ นางไม่คิดว่าจะรอดชีวิตไปได้อีกแล้ว

 

เนื่องเพราะตอนนี้ทั่วกายนางแทบจะชุ่มไปด้วยเลือด อวัยวะภายในยังบาดเจ็บ ไม่เหลือเรี่ยวแรงทั้งพลังในการป้องกันอสูรกายที่อยู่ด้านหลังสืบไป…

 

ในขณะที่หวงเหวินจิ้งรู้สึกว่านางกำลังจะตาย

 

ทันใดนั้นเอง

 

เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่นพลันลั่นดังเข้าหูหวงเหวินจิ้ง และยังระเบิดดังมากเป็นพิเศษจึงดึงสตินางให้ฟื้นกลับมาทันที

 

เมื่อสองตาพร่ามัวมองไปตามเสียง หางตานางก็ปรากฏร่างหนึ่งกำลังพุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูงจนแลเห็นเป็นเงาเลือนคล้ายภูตผี! ทั้งเหล่าอสูรกายร้ายที่ขวางทางล้วนถูกพลังดิบเถื่อนซัดปลิดปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่า!!

 

เมื่อพยายามมองไปให้ชัดก็เห็นเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรอันมีใบหน้าหล่อเหลาดุดัน ทั่วร่างชุ่มโชกไปด้วยโลหิต ยากจะบอกได้นักว่าที่แท้นั่นเป็นโลหิตของเจ้าตัว หรืออสูรกายร้ายเหล่านั้นที่ตายตกกันแน่

 

“หมอบลง!”

 

ทันใดนั้นนางก็เห็นชายหนุ่มที่โจนทะยานเข้ามาอย่างดุดัน มองมาทางนางทั้งตะโกนสั่งเสียงแข็ง

 

เมื่อแลเห็นแววตาดุดันแข็งกร้าวฉายแววเป็นห่วง นางก็ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นเร่งรีบหมอบลงอย่างเก้ๆกังๆตามคำสั่ง ไม่สนภาพลักษณ์ใดๆสืบไป

 

ซู่มมมม!!

 

 

และแทบจะพร้อมกันกับที่หวงเหวินจิ้งก้มลง นางก็สัมผัสได้ถึงสายลมที่ซัดผ่านศีรษะไปด้วยความฉับไว

 

หากนางไม่หมอบลง….

 

นางได้ตายแน่!

 

ฟุ่บบบ!!

 

ในขณะที่หวงเหวินจิ้งกำลังหนาวสะท้านจับใจด้วยรอดพ้นความตายมาหวุดหวิด นางก็พบว่าร่างที่พุ่งมาดั่งเงาเลือนนั่นพุ่งข้ามศีรษะนางไปแล้ว

 

เปรี๊ยงงงง!!

 

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น เมื่อนางหันไปมองตามเสียง ก็พบว่าอสูรกายร้ายที่ลอบจู่โจมเข้ามาจากด้านหลังเมื่อครู่ไม่ทันได้ลงมือซ้ำหลังจากพลาด มันก็ถูกพลังมหาศาลขุมหนึ่งจากร่างที่วูบมาดั่งภูตผีซัดจนกระเด็นปลิดปลิว!!

 

ไม่ทราบเพราะอะไร หากแต่มองไปยังร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตที่พึ่งยื่นมือเข้าช่วย ใจของหวงเหวินจิ้งพลันสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ

 

ราวกับปมหนึ่งในใจได้ถูกคลี่คลายออก…

 

เหล่าสตรีทั้งหลาย ยามที่ยังเป็นดรุณีน้อยนั้น พวกนางชมชอบฝันใฝ่ถึงเรื่องราวดั่งเทพนิยาย ว่าสักวันจะมีวีรบุรุษผู้กล้าดั่งเจ้าชายขี่ม้าขาวปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือพวกนางยามตกอยู่ในอันตราย…

 

หวงเหวินจิ้งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

“มาหันหลังชนข้า! แล้วฆ่าตัวที่เหลือ!!”

 

เสียงสั่งการณ์แฝงความเร่งร้อนหนึ่ง ปลุกสติหวงเหวินจิ้งที่เผลอเหม่อไปให้กลับมาทันที พอมองไปต้นเสียงก็พบร่างต้วนหลิงเทียนในรูปร่างนักรบมังกรกำลังควบคุมกระบี่พันอาคมเซียนให้เหินไปทะลวงร่างอสูรกายที่กรูกันเข้ามานับสิบในคราเดียว กระทั่งคนยังบุกตะลุยเข้าไปตามกระบี่เหิน ใช้หมัดเท้าเปล่าเปลือยระเบิดร่างอสูรกายทั้งหลายอย่างดิบเถื่อน!

 

พริบตานี้กระทั่งหวงเหวินจิ้งเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว

 

ใบหน้าเย็นชาของนางที่คล้ายจะมีน้ำแข็งฉาบเคลือบมานานปี น้ำแข็งที่ว่านั่นคล้ายเริ่มละลายลงแล้ว…

 

นอกจากนี้ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะหวงเหวินจิ้งไม่ได้ติดตามมาลงมือพร้อมต้วนหลิงเทียนแต่แรก นางคนเดียวจึงต้านทานรับมือศัตรูที่พลังฝึกปรือไม่ได้ด้อยกว่านางมากไม่ไหว…

 

ตอนนี้เมื่อลุกขึ้นมา และเข้าไปร่วมสู้สนับสนุนต้วนหลิงเทียน ความตึงเครียดรววมถึงแรงกดดันทั้งหลายจึงคลายตัวลงไปไม่น้อย

 

ด้วยสองคนร่วมแรง อสูรกายดุร้ายที่บุกเข้ามาย่อมตกตายดั่งใบไม้ร่วง

 

ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่อาการบาดเจ็บของเขายังนับว่าน้อยกว่านางมาก

 

แต่โชคดีที่ถึงแม้ทั้งคู่จะได้รับบาดเจ็บ แต่อาการก็ไม่หนักหนาสาหัสถึงขั้นสู้ไม่ได้ กระทั่งหวงเหวินจิ้งที่พอได้หายใจหายคอบ้าง พลังในร่างก็เริ่มฟื้นฟูทันใช้ ไม่ขาดห้วงเหมือนก่อนหน้าที่เกือบตายอีก…

 

“ตามมา!”

 

ต้วนหลิงเทียนที่จับสังเกตเรื่องราวตั้งแต่แรก พบว่าข่ายอาคมสังหารรอบนี้ผิดแปลกไม่เหมือนก่อนหน้า ก็เอะใจได้ถึงบางสิ่ง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะสร้างเส้นทางโลหิตสายหนึ่ง…เข่นฆ่าสังหารไปข้างหน้าอย่างอำมหิต! จนในที่สุดก็เป็นดั่งคาด…ข่ายอาคมนี้ไม่มีอาณาเขตปิดกั้น! สามารถเหินทะยานไปตามทางได้ไม่ต้องรอให้ผ่านบททดสอบเหมือนก่อนหน้า…!!

 

หลังโจนทะยานมาได้ระยะหนึ่ง เบื้องหน้าก็ไม่พบอสูรกายอีกต่อไป…

 

และพอหันหลังกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัว ทั้งคู่ก็พบว่าอสูรกายร้ายฝูงใหญ่ที่โถมเข้ามาอย่างไร้สิ้นสุด ก็ได้อันตรธานหายไปดื้อๆ ราวกับทั้งหมดทั้งมวลที่ทั้งคู่เคยพบเจอ เป็นเพียงมายาภาพฉากหนึ่ง…

 

“ยินดีต้อนรับชนรุ่นหลังสู้ถ้ำกาลเวลาของข้า…”

 

ทว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งจะทันได้พักฟื้นฟูเอาเรี่ยวแรงอะไร เสียงหนึ่งก็ดังเข้าหูทั้งคู่

 

เสียงนี้ฟังแล้วช่างเก่าแก่ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายคล้ายผ่านการเดินทางใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน…

 

“ถ้ำกาลเวลา…”

 

ถ้ำกาลเวลา?

 

นั่นคืออะไร?

 

ในขณะที่ทั้งคู่กำลังตกตะลึง เสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

“หลังจากข้าออกจากถ้ำกาลเวลาแห่งนี้…ตัวข้าไม่เพียงเป็นปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ แต่ยังเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะที่เตรียมตัวขึ้นสู่แดนสวรรค์แล้ว…”

 

ต้วนหลิงเทียนถึงกับผงะไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้

 

ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์

 

ไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์หรอกเหรอ?

 

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหวงเหวินจิ้งด้วยสายตาไถ่ถาม

 

“ก่อนหน้านี้เนื่องจากมีผู้คนมากมายค้นพบศาสตราพันอาคมเซียนมากมายถูกทิ้งไว้ทั่วดั่งสิ่งไร้ค่า ซึ่งตามหลักเหตุผลแล้วสมควรไม่มีปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์คนใด สามารถสร้างศาสตราพันอาคมเซียนได้มากมายถึงขนาดนั้น…จึงทำให้ทุกคนคาดเดากันไปว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะเป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์”

 

หวงเหวินจิ้งคล้ายเห็นความสงสัยของต้วนหลิงเทียน จึงกล่าวตอบออกมาทันที

 

นางเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน

 

“ศาสตราพันอาคมเซียนมากมายถูกทิ้งไว้ทั่วดั่งสิ่งไร้ค่า?”

 

ได้ยินคำของหวงเหวินจิ้งมุมปากกต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุก

 

ถึงขั้นสร้างศาสตราพันอาคมเซียนแล้วทิ้งไว้ทั่วดั่งสิ่งไร้ค่า…ฟังแล้วไม่น่าจะใช่อะไรที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์จะทำได้จริงๆ!

 

มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด!

 

สถานที่แห่งนี้หาใช่มรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ไม่ แต่เป็นมรดกสถานที่เหลือทิ้งไว้โดยตัวตนปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์…!

 

เสียงชราแฝงกลิ่นอายโบราณยังคงกล่าวสืบต่อออกมา

 

“ความหลงใหลฝันใฝ่ชั่วชีวิตของตัวข้าก็คือบรรลุถึงขอบเขตปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์…ข้าอยากสร้างศาสตราเซียนที่มีพลังอานุภาพเหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียน…เพราะตัวข้ารู้สึกอยู่เสมอ ว่าเหนือศาสตราพันอาคมเซียน สมควรมีศาสตราเซียนที่ทรงพลังยิ่งกว่า…”

 

“อนิจจาจวบจนพลังฝึกปรือของข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็แล้ว…กระทั่งข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จนบรรลุถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะจนเจียนจะได้ขึ้นสู่แดนสวรรค์ก็แล้ว แต่ความปรารถนาชั่วชีวิตของข้าที่จะสร้างศาสตราเซียนที่เหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียนก็ยังไม่สำเร็จ…เฮ่อ…”

 

ได้ยินเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที

 

ว่าผู้ที่ทิ้งมรดกสถานแห่งนี้เอาไว้…ไม่รู้จักศาสตราหมื่นอาคมเซียน! หรือการดำรงอยู่ของยอดศาสตราเซียนทั้ง 10!!

 

เกรงว่าในยุคสมัยของผู้ที่หลงเหลือมรดกสถานแห่งนี้เอาไว้…ยังไม่ปรากฏศาสตราหมื่นอาคมเซียน หรือก็คือยอดศาสตราเซียนขึ้นมาในแดนดิน!

 

‘กล่าวได้ว่า…ในยุคของผู้อาวุโสคนนี้ ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ ยังไม่ทันปรากฏตัว!’

 

จุดนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยาก

 

ตัวตนที่ทิ้งมรดกสถานแห่งนี้เอาไว้ สมควรเป็นตัวตนในโบราณกาลที่ดำรงอยู่เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว…

 

“ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จักมิใช่มรดกสถานที่ปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์เหลือทิ้งไว้จริงๆ…”

 

หวงเหวินจิ้งกล่าว “ข้าเองก็สงสัยแต่แรกแล้ว…เพราะจากข่าวลือที่ได้ยินมา พลังฝึกฝนของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ในตำนานนั้น ก็ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนด้วยซ้ำ เช่นนั้นไหนเลยจะมีพลังสามารถพอจะจัดตั้งข่ายอาคมสังหารที่มีพลังอานุภาพสูงล้ำขนาดนี้เอาไว้ได้? มาตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดล้วนกระจ่าง…”

 

ตอนนี้กระทั่งหวงเหวินจิ้งเองก็ไม่ทันได้รู้ตัวเลย…

 

ว่ายามนี้นางกลายเป็นคนช่างเจรจา กล่าวคำเยอะกว่าเมื่อก่อนมากนัก

 

ในขณะเดียวกับที่พูดอธิบาย สองตางามใสของนางก็ทอประกายสว่างจ้าออกมา

 

เมื่อเทียบกับมรดกตกทอดจากปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ที่พลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่านาง นางย่อมสนใจมรดกที่หลงเหลือไว้จากตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะที่กำลังจะเยื้องย่างขึ้นสู่สวรรค์มากกว่า!

 

เพราะสุดท้ายแล้วตัวนางก็ไม่ใช่ปรมาจารย์จารึกเซียน ตัวนางย่อมไม่สนใจมรดกของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์!

 

สิ่งเดียวที่นางสนใจก่อนหน้านี้คือ ยอดศาสตราเซียน!

 

ทว่ามรดกของตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง…

 

กระทั่งตัวนางเองก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวั่นไหว

 

ไม่นานเสียงชราก็ดังขึ้นสืบต่อ

 

“อย่างไรก็ตามแม้ข้าจักล้มเหลวในการก้าวข้ามขอบเขตจากปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ สู่ระดับสวรรค์ และสร้างศาสตราเซียนที่เหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียนจนถึงเวลาที่ข้าต้องขึ้นสู่สวรรค์…แต่ในระหว่างที่ข้าค้นคว้าหาวิธีสร้างศาสตราเซียนที่เหนือกว่าศาสตราพันอาคมเซียนนั้น ตัวข้าก็ได้พบกับการผสานกันของอาคมเซียนบางประการโดยบังเอิญ…”

 

“การผสานกันของอาคมเซียนโดยบังเอิญนี้ ต้องการสภาพแวดล้อมจำเพาะเจาะจงในการสลักจารึก อีกทั้งยังเป็นอาคมที่สามารถใช้งานได้ครั้งเดียว ทว่าก็มิใช่การใช้งานได้ครั้งเดียวแบบอาคมเซียนใช้แล้วทิ้งทั่วไป…และถ้ำกาลเวลาที่พวกเจ้าอยู่ตอนนี้ ก็คือสถานที่ๆข้าสลักจารึกอาคมเซียนผสานที่ข้าบังเอิญค้นพบเอาไว้…”

 

“ก่อนที่ข้าจักขึ้นสู่สวรรค์ ข้าได้สลักจารึกอาคมเซียนผสม สร้างถ้ำกาลเวลาเช่นนี้เอาไว้ 3 ถ้ำ…ตัวข้าได้ใช้งานเองไป 2 ถ้ำแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือสถานที่ๆเจ้ากำลังยืนอยู่ตอนนี้”

 

“ในถ้ำกาลเวลานั้นอัตราการไหลของห้วงเวลาจะแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอย่างยิ่ง…ทว่ามันไร้ซึ่งอัตราการไหลจำเพาะเจาะจง บางคราพริบตาหนึ่งอาจผ่านไปหนึ่งปี บางคราชั่วพริบตาก็อาจจะผ่านพ้นไปสิบปี กระทั่งหลายสิบปีก็เป็นไปได้…”

 

“จากถ้ำกาลเวลาทั้ง 3 แห่งที่ข้าสร้าง 2 ถ้ำแรกที่ข้าเข้าใช้นั้น ถ้ำกาลเวลาแห่งที่หนึ่งข้าได้รับเวลามา 9 ปี ส่วนอีกถ้ำนั้นข้าได้เวลามา 13 ปี และนั่นทำให้ข้าสามารถบรรลุถึงเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 2 ชนิดที่มีจนถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ!”

 

“จากตรงหน้าเจ้าไปไม่ไกล เจ้าจะแลเห็นแท่นศิลาหนึ่ง…เมื่อขึ้นไปนั่งบ่นแท่นศิลานั่นแล้ว คิดเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาเมื่อใดก็อาศัยเพียงห้วงคิดเดียวเท่านั้น”

 

“ข้าขอแนะนำว่าก่อนที่จะคิดเปิดใช้ถ้ำกาลเวลา ให้เจ้าตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับเวทย์พลังชนิดหนึ่งที่มีให้มั่นเสียก่อน หาไม่แล้วหากเจ้าเกิดฟุ้งซ่านอันใดหลังเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาไปแล้ว เกรงว่าถ้ำกาลเวลาคงไม่อาจสำแดงประสิทธิผลได้อย่างที่ควรจะเป็น กระทั่งไม่อาจประคองสภาพได้นาน…”

 

“หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นก็นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ มิได้ผลลัพธ์อันใดเลย…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด