War sovereign Soaring The Heavens 2288

Now you are reading War sovereign Soaring The Heavens Chapter 2288 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2,288 : สัตว์ติดบ่วง!

 

“เจ้าวังวิญญาณอสุรา!”

 

ได้ยินคำอุทานด้วยความตื่นตระหนกของเผิงไหล สีหน้าก่านหรูเยี่ยนเปลี่ยนไปทันที ยังเผยความคาดหวังประการหนึ่ง

 

เนื่องเพราะนางเองก็รู้จักขุมพลังทั้ง 9 ของเผ่าปีศาจมนุษย์อย่าง 3 วัง 6 ตำหนักเช่นกัน ทำให้นางรับบทราบว่าวังวิญญาณอสุรานั้น มีชื่อเสียงทัดเทียมกับวังเซียนสัญจร และชนชั้นจ้าววังวิญญาณอสุราก็หาได้อ่อนด้อยไปกว่าจ้าววังเซียนสัญจรสักเท่าไหร่!

 

และฟังจากน้ำเสียงของจ้าววังวิญญาณอสุราที่พึ่งมาถึงนั่น นางก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้มาด้วยเจตนาดีเป็นแน่!

 

หากจ้าววังวิญญาณอสุรานั่นคิดมารบกับจ้าววังเซียนสัญจรก็ดีไป เพราะพวกนางจะได้มีเวลาหาทางปลุกต้วนหลิงเทียนให้ตื่นเพิ่มขึ้น!

 

อนิจจาภาพฝันสวยหรู แต่พอดูความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก!

 

“แม่นาง…ดูเหมือนว่าจ้าววังวิญญาณอสุราผู้นี้ เจาะจงมาหานายท่านโดยเฉพาะ…”

 

เผิงไหลส่ายหัวไปมา

 

หลังได้รับทราบถึงความแค้นระหว่างฉีหนานฟงกับตำหนักเมฆาครามจากเผิงไหล ใบหน้าก่านหรูเยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที

 

ลำพังจ้าววังเซียนสัญจรก็ทำให้พวกนางสิ้นหนทางแล้ว!

 

ตอนนี้ยังจะมามีจ้าววังวิญญาณอสุราเพิ่มอีกเหรอ!?

 

กลางอากาศด้านนอกคฤหาสน์

 

ฟู่บ!

 

ดั่งสายลมกรรโชกหอบหนึ่งซัดกวาดปะทะเข้าร่างอวิ๋นฟู่เหย่และรองจ้าววังทั้งหลายของเซียนสัญจร ไม่นานก็ปรากฏร่างชายคนหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ราว 2 หมี่ เนื้อตัวกำยำล่ำสัน มันมาในชุดคลุมสีทอง ผมยาวถูกปล่อยให้ทอดยาวลงมาอย่างไร้การจัดทรง ใบหน้าเผยความเหี้ยมหาญไม่ขาดโทสะทั้งความถือดี

 

“นายน้อยตำหนักเมฆาครามอยู่ในจวนหลังนั้นรึ?”

 

หลังชายวัยกลางคนร่างใหญ่ในชุดคลุมทองปรากฏตัวขึ้น มันก็ไม่แม้แต่จะชายตาแลมองอวิ๋นฟู่เหย่ สายตามันเพียงจดจ้องไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องล่างก่อนใดอื่น

 

ลึกลงไปในแวววตายังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน!

 

“จ้าววังฉี!”

 

อวิ๋นฟู่เหย่มองไปยังชายวัยกลางคนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว กล่าวออกเสียงแข็ง “ท่านมาเยือนมิว่าแต่กลับบุกเข้ามาโดยมิได้รับเชิญ…ทำเช่นนี้มิใช่ไม่ถูกต้องหรือไร!?”

 

“จักถูกต้องหรือไม่ ก็มีเพียงอาจารย์เจ้าเท่านั้นที่ตัดสินได้ ยังมิใช่ธุระกงการของเด็กน้อยเจ้า…”

 

ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมทองผู้เป็นจ้าววังวิญญาณอสุรา ฉีหนานฟง เหลือบมองอวิ๋นฟู่เหย่ด้วยสายตาไม่แยแส พลางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงไม่ไว้หน้า!

 

“จ้าววังฉี อย่าได้กล่าวบอกข้าเชียว…ว่าท่านมิทราบว่าท่านอาจารย์ของข้ากำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่?”

 

ใบหน้าอวิ๋นฟู่เหย่ยิ่งมายิ่งไม่น่าดู

 

มันย่อมรู้ดีแก่ใจ

 

ที่ฉีหนานฟงหาญกล้าบุกเข้ามาอย่างหน้าไม่อายแบบนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าอาจารย์ของมันปิดด่านบ่มเพาะอยู่!

 

“ข้ารู้ว่าท่านชิงชังทั้งเคียดแค้นตำหนักเมฆาครามนัก…แต่อย่าได้หลงลืมไปว่าที่นี่คือวังเซียนสัญจร!หาใช่วังวิญญาณอสุราของท่านไม่!!”

 

“และถึงตอนนี้ฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาครามของรองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจรเราจะถูกเปิดโปงออกมาแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่วังเซียนสัญจรของพวกเราจะจัดการเก็บกกวาดมันเอง ยังไม่ถึงตาให้จ้าววังฉีสอดมือหรอก!”

 

อวิ๋นฟู่เหย่ยิ่งกล่าวน้ำเสียงก็ยิ่งดุร้าย

 

ล้อกันเล่นหรือไร!

 

ถึงแม้มันจะอยากให้นายน้อยตำหนักเมฆาครามตายตกให้ได้เร็วไวแค่ไหน

 

อย่างไรก็ตามหากวันนี้เป็นฉีหนานฟงที่สังหารนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ไม่ใช่คนอื่นๆจะมองว่าวังเซียนสัญจรไร้ความสามารถแล้วหรือไร! กระทั่งสายลับที่แฝงตัวเข้ามายังไม่มีปัญญาจัดการด้วยตัวเอง?!

 

นี่เป็นเรื่องของ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ของวังเซียนสัญจร! แน่นอนว่าแม้มันอยากให้นายน้อยตำหนักเมฆาครามอย่างต้วนหลิงเทียนตกตายมากเพียงไหน มันก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องตกตายด้วยน้ำมือจ้าววังวิญญาณอสุรา!!

 

“ในเมื่อจ้าววังอวี่เหวินกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ เช่นนั้นข้าย่อมมิคิดไปรบกวน…วันหน้ายามเมื่อจ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่าน ตัวข้าผู้นี้จะไปขอขมาด้วยตัวเอง!”

 

ฉีหนานฟงกล่าวออกเสียงค่อย

 

สิ้นเสียงแผ่วเบา ทั่วร่างของฉีหนานฟงกก็เริ่มปรากฏรัศมีพลังร้ายกาจขุมหนึ่งปะทุออก

 

ขณะเดียวกันแววตามันก็เยียบเย็นนลงถึงขีดสุด มองจ้องไปยังคฤหาสน์เบื้องล่างเขม็ง ราวกับจะปะทุพลังฆ่าคน!!

 

“สารเลวต้วนหรูฟง วันนั้นเจ้าเล็ดลอดเงื้อมมือข้าไปได้…แต่วันนี้ข้าจะเอาเลือดหัวลูกชายคนเดียวของเจ้าเซ่นสรวงวิญญาณศิษย์ข้า”

 

ฉีหนานฟงพร้อมลงมือฆ่าคนแล้วจริงๆ!!

 

“จ้าววังฉีการปิดด่านบ่มเพาะของท่านอาจารย์ครั้งนี้ ไม่พ้นต้องสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้ หมายความว่าอีกราวๆ 1 ปีไม่พ้นท่านอาจารย์ของข้าย่อมสามารถทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้เป็นแน่…เช่นนั้นข้าขอบังอาจกล่าวแนะนำท่านสักคำก่อนลงมือ…ว่าอย่าดีกว่า! แต่ท่านก็คิดเอาเองเถอะ!!”

 

ในขณะที่ฉีหนานฟงเตรียมพุ่งร่างบุกไปฆ่าต้วนหลิงเทียนในคฤหาสน์หลังเขื่องเบื้องล่าง เสียงของอวิ๋นนฟู่เหย่พลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ

 

และแทบจะทันทีที่เสียงกล่าวของอวิ๋นฟู่เหย่ดังจบคำ

 

กึก!

 

สีหน้าฉีหนานฟงเปลี่ยนไปมหันต์ รัศมีพลังทั้งกลิ่นอายฆ่าฟันของมันพลันถดถอยลงอย่างไว!

 

“จ้าววังอวี่เหวิน…พบ ‘โอกาส’ แล้วงั้นหรือ?”

 

ฉีหนานฟงมองจ้องไปยังอวิ๋นฟู่เหย่ด้วยสายตาที่ราวกับมีสายฟ้าแลบลั่น ขณะเอ่ยถามใบหน้ายังฉายถึงความหวาดกลัวให้เห็น

 

หากยังไม่บรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะ แม้มันจะด้อยกว่าอีกฝ่ายแต่ก็หาได้หวาดกลัวไม่

 

อย่างไรก็ตามหากเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจริงๆ มันไม่อาจไม่กลัว!

 

อย่างแรกนั้นอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่อาจเข่นฆ่ามันได้

 

ทว่าอย่างหลังนั้น คิดฆ่ามันย่อมไม่ต่างใดจากตัดหญ้าฆ่าไก่!

 

“หึ!”

 

เผชิญกับคำถามไถ่นี้ของฉีหนานฟง อวิ๋นฟู่เหย่เพียงแค่นคำพ่นลมเสียงเย็น คร้านจะกล่าวตอบอะไร

 

จังหวะนี้สีหน้าฉีหนานฟงคล้ายกลับกลายเป็นเขียวสลับขาว หากแต่สุดท้ายมันก็ไม่กล้าบุกลงไปเข่นฆ่าคนในคฤหาสน์เบื้องล่างอีก

 

“ในเมื่อจ้าววังอวี่เหวินจะออกจากการปิดด่านหลังจากนี้ 1 ปี เช่นนั้นข้าจักเห็นแก่หน้าจ้าววังอวี่เหวิน…หากนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นไม่คิดหนีไปที่ใด ข้าก็จักเฝ้ารอจ้าววังอวี่เหวินโดยไม่คิดลงมือฆ่ามัน!”

 

“หลังจากจ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่านแล้ว ข้าจักอยู่เป็นพยานการเก็บกวาดด้วยตาตัว!”

 

ถึงแม้ว่ามันจะสามารถขัดขวางการปิดด่านของอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้ แต่มันไม่กล้าทำแบบนั้น

 

เพราะต่อให้มันจะขัดขวางอวี่เหวินฮ่าวเฉินได้ในครั้งนี้ แต่สุดท้ายพลังฝีมืออีกฝ่ายก็เหนือล้ำกว่ามันอยู่ดี และที่สำคัญจะอย่างไรอีกฝ่ายก็มีโอกาสทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะก่อนมันอีกครั้งถึง 9ใน 10 ส่วน!

 

หากมันสิ้นคิดถึงขั้นขัดขวางอวี่เหวินฮ่าวเฉินวันนี้ ย่อมไม่ต่างใดจากเพาะสร้างความแค้นที่ไม่อาจแก้ไขได้ง่ายๆสืบไป…

 

วันหน้าเมื่อใดที่อวี่เหวินฮ่าวเฉินทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้สำเร็จ อีกฝ่ายต้องมาหาความกับมันแน่!

 

“แต่ถ้าหากนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นมันเลือกที่จะหลบหนี และพวกเจ้ามิมีปัญญาขัดขวางมัน ยามนั้นหากข้าลงมือฆ่ามันทิ้ง พวกเจ้าก็มิอาจโทษข้าได้!”

 

ต่อมาฉีหนานฟก็กล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

 

“ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนหลบหนีออกจากเขตวังเซียนสัญจร จ้าววังฉีย่อมสามารถฆ่ามันได้ตามที่ท่านต้องการ!”

 

อวิ๋นฟู่เหย่กล่าว

 

ใจจริงแล้วไฉนมันยังไม่กลัวต้วนหลิงเทียนหลบหนีไปก่อนที่อาจารย์ของมันจะออกจากการปิดด่าน?

 

หากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงแล้วอาจารย์มันยังไม่ออกจากการปิดด่าน ยังจะมีใครในพวกมันสามารถหยุดต้วนหลิงเทียนไม่ให้ไปได้?

 

“เจ้าจำคำพูดตัวเองไว้ให้ดี”

 

ฉีหนานฟงกล่าววตอบเสียงค่อย จากนั้นมันก็นั่งขัดสมาธิกลางหาวหลับตาสงบจิตใจ เฝ้ารอคนที่มันอยากฆ่าอีกสักปีอยู่ตรงนี้!

 

เรื่องนี้อวิ๋นฟู่เหย่ก็ไม่แปลกใจอะไร

 

เพราะหากมันเป็นฉีหนานฟงมันก็จะกระทำแบบนี้เหมือนกัน…หากไม่ได้เห็นนายน้อยตำหนักเมฆาครามตายกับตาตัว ไหนเลยจะยอมเลิกรา!

 

หลังจากที่ฉีหนานฟงจ้าววังวิญญาณอสุรา 1 ใน 3วัง 6 ตำหนักมาถึง ไม่นานก็มีผู้คนทยอยมาเยือนวังเซียนสัญจรกันมากมายไม่ว่าจะเป็นจ้าววังอัคคีสีชาดหรือชนชั้นสูงของขุมพลังอื่นๆ

 

เป้าหมายของพวกมันนั้นล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น นายน้อยตำหนักเมฆาครามที่กำลังมีชื่อลือกันไปทั่วเมืองเหรินโม่เชิ่ง!

 

“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่ารองจ้าววังคนใหม่ของวังเซียนสัญจร จะเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเบื้องล่างของเจ้าพวกมนุษย์ไปได้!”

 

“แต่ไม่ว่ามันคิดวางแผนอันใด คราวนี้มันได้ตายแน่!”

 

“เห็นว่าข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่ววังเซียนสัญจรตั้งนานแล้ว…ข้าไม่เข้าใจจริงๆไฉนมันยังไม่รีบหนีไปแต่แรก หรือมันคิดอยู่รอความตายกัน?”

 

“นั่นสิ หากมันคิดหนีออกจากวังเซียนสัญจรแต่แรกไหนเลยยังทำไม่ได้ ลองจ้าววังอวี่เหวินปิดด่านบ่มเพาะไปสักคน ในวังเซียนสัญจรยังจะมีใครสามารถขัดขวางมันได้อีก? อนิจจาตอนนี้จ้าววังวิญญาณอสุราได้มาถึง ทั้งเฝ้ารออยู่ด้านนอกคฤหาสน์มันเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่มันกล้าหนีออกจากวังเซียนสัญจร มันได้ตายตกทันทีแน่!”

 

“หนีออกจากวังเซียนสัญจรก็ตาย…อยู่รอให้จ้าววังอวี่เหวินออกจากการปิดด่านก็ตาย! เรียกว่า 4 ทิศ 8 ล้วนไร้หนทางให้มันไป!!”

 

……

 

ในบรรดาคนของ 2 วัง 6 ตำหนักยกเว้นก็แต่คนวังเวียนสัญจร ล้วนกล่าววาจาทำนองนี้

 

แน่นอนว่าในวังเซียนสัญจรเองก็คึกคักกันไม่น้อย

 

“ให้ตายเถอะ ข้าหลงคิดว่าวังเซียนสัญจรของพวกเราจะได้ยอดฝีมือระดับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเพิ่มมาอีกคน…แต่ไม่คิดเลยว่านั่นจักเป็นมนุษย์! กระทั่งยังเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาครามนั่นเสียได้!!”

 

“มนุษย์ ไม่เพียงแต่จะฆ่าอาวุโสของวังเซียนสัญจรเรา…แต่ยังสามารถแฝงตัวเข้ามาอยู่ในวังเซียนสัญจรเราในฐานะสายลับ ให้ตายเถอะ!”

 

“อย่าได้ร้อนใจกันไป…รอให้ท่านจ้าววังออกกจากการปิดด่านบ่มเพาะก่อนเถอะ มันไม่พ้นต้องตายแน่!”

 

“ตอนนี้กล่าววได้เลยว่า…ต่อให้มันคิดหลบหนีก่อนที่ท่านจ้าววังจะออกจากการปิดด่าน มันก็ไม่พ้นความตาย! จ้าววังวิญญาณอสุราเฝ้ารอมันอยู่นอกคฤหาสน์ ตราบใดที่มันกล้าออกนอกเขตวังเซียนสัญจรมันได้ตายแน่!!”

 

……

 

อย่างไรก็ตามในบรรดาคนส่วนใหญ่ที่มาเยือนวังเซียนสัญจร แม้พวกมันจะรู้ว่าจ้าววังเซียนสัญจรกำลังอยู่ในช่วงปิดด่านบ่มเพาะ แต่พวกมันก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าในการปิดด่านครั้งนี้ จ้าววังเซียนสัญจรมีโอกาสสูงนักที่จะทะลวงถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!

 

หาไม่แล้วทั่วทั้งวังเซียนสัญจรคงได้คึกคักกันยิ่งกว่านี้แน่

 

นอกจากฉีหนานฟงที่เฝ้ารอต้วนหลิงเทียนอยู่ด้านนอกคฤหาสน์อยู่ก่อนใคร ตอนนี้ด้านนอกคฤหาสน์ของต้วนหลิงเทียนบนฟ้าก็มีผู้คนมาลอยร่างกลางหาวเฝ้ารอกันเป็นจำนวนมาก

 

เพราะหลังจากจ้าววังวิญญาณอสุรามาเยือนได้ไม่นาน คนของขุมพลังอื่นก็แห่กันมาอุ่นหนาฝาคั่ง

 

และไม่ว่าจะวังอัคคีสีชาดหรือจ้าวตำหนักทั้ง 6 ก็ส่งคนไปเฝ้ารอดูสถานการณ์ทั้งสิ้น

 

แน่นอนว่าคนของ 6 ตำหนักนั้นเพียงมาเพื่อรับชมความสนุกสนานให้บันเทิงใจเท่านั้น

 

เพราะพวกมันรู้ตัวดีว่าพวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสจะลงมือ!

 

ในวังเซียนสัญจรมีจ้าววังอย่างอวี่เหวินฮ่าวเฉินที่กำลังจะออกจากการปิดด่าน

 

หากพ้นเขตวังเซียนสัญจรก็มีฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุราเฝ้ารอโอกาสลงมือ!

 

ตอนนี้ทุกคนเชื่อกันหมดใจ

 

ว่านายน้อยตำหนักเมฆาครามนั้น ไม่ว่าจะเหินฟ้าหรือมุดดินหนี ก็ไม่อาจรอดพ้นชะตาตายตก!

 

“จบแล้ว…จบสิ้นกันแล้ว!”

 

ภายในคฤหาสน์หลังเขื้องของต้วนหลิงเทียน เผิงไหล ที่ตระหนักถึงสถานการณ์ภายนอกดี มันรู้สึกเสมือนโลกหล้ากลับกลายเป็นมืดมิดไร้หนทางไป สิ้นหวังราวกับวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง

 

ตอนนี้คฤหาสน์ที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ เสมือนถูกโดดเดี่ยว

 

คนในไม่ออก

 

คนนอกก็ไม่เข้า!

 

“มันยังไม่ได้หนีไปอีกหรือ?”

 

หลังหวงเหวินจิ้งศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังเซียนสัญจรได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หน้างามมากไปด้วยความเย็นชาของนางก็เปลี่ยนสีไปทันที ยังฉายชัดถึงความยากทานทนปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

 

อนิจจานางรู้ดีว่าเรื่องนี้อับจนหนทางแล้ว ต่อให้นางคิดช่วยบุรุษผู้นั้นเพียงใด ก็มืดแปดด้าน

 

นางได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ไปแล้ว…

 

“ต่อให้หลังจากนี้อีกหนึ่งปี ข้าจะร้องขอชีวิตมันกับท่านอาจารย์ที่พึ่งออกจากการปิดด่านได้สำเร็จ…แต่มันก็ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือของ ฉีหนานฟง จ้าววังวิญญาณอสุราไปได้”

 

หวงเหวินจิ้งระบายลมหายใจออกมาอย่างอับจน กล่าวพึมพำเบาๆ

 

ด้านต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ก็ยังคงจมจ่อมอยู่กับภวังค์บ่มเพาะที่คล้ายจะไร้สิ้นสุด ไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้เขาเสมือนสัตว์ร้ายติดบ่วงเสียแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด