World of Hidden Phoenixes 107.2

Now you are reading World of Hidden Phoenixes Chapter 107.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 ยามค่ำคืน

       ดวงจันทร์เลือนราง แต่ก็มีดาวเพียงไม่กี่ดวงที่จะอยู่เป็นเพื่อนมัน

       ท่ามกลางเสียงของสายลมที่คำราม ฮวาจูอวี้ นำทหารของนางด้วยทหารจำนวน 3,000 นาย เดินทางไปยังทางตะวันออกของภูเขาเหลียนหยุน ในคำคืนที่เงียบสงบ เทือกเขายังเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่สามารถจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเวลาและกลืนกินพวกเขา ถนนบนภูเขาขรุขระนั้นเต็มไปด้วยอันตราย การเดินผิดครั้งเดียว พวกเขาจะตกลงไปสู่หน้าผาและพบเจอกับความตาย

       ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาผ่านภูเขาเหลียนหยุนและกำลังจะเข้าสู่ดินแดนของตะวันออกเยียน

       ข้างหน้าเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ มันเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมและลมแรงและรุนแรงมาก ในขณะที่หิมะยังคงตกลงมา สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้ถนนกลายเป็นความเลวร้ายที่สุด หลังจากเดินทางไปในหิมะมาได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็เห็นฝูงเนื้อทรายฝูงหนึ่งเข้า

       ทหารระเบิดขึ้นด้วยความดีใจและเอื้อมมือไปหยิบคันธนูและลูกธนูขึ้นทันที

       หลังจากการล่าสัตว์ พวกเขาก็เดินทางต่อไป เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะหยุดพัก แล้วจุดไฟย่างเนื้อทรายที่พวกเขาจับได้เมื่อเช้านี้ เรื่องนี้ทำให้หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น นางสั่งให้ทหารดับไฟอย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจจะอยู่ห่างจากเมืองทางตะวันออกที่ใกล้ที่สุดอย่างน้อยก็ร้อยลี้ แต่พวกเขายังคงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด

       นางพูดอย่างใจเย็นขึ้น“นี่คือกลางทะเลทราย ไฟจะดึงดูดความสนใจได้อย่างแน่นอน ครั้งนี้เราไม่สามารถพึ่งโชคได้ เราต้องระมัดระวังและรอบคอบในทุกย่างก้าวที่เราทำ”

       ทหารรีบดับไฟอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น“แล้วเราจะกินเนื้อนี้ได้อย่างไร มันน่าเสียดายที่จะทิ้งมันไป”

       เนื้อสัตว์หายากและพวกเขาก็จัดการล่ามันมากับมือ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอิ่มเอมกับมันได้

“ กินมันดิบ ๆ !” ฮวาจูอวี้กล่าวอย่างเย็นชาขึ้น ผู้ชายเหล่านี้ล้วนมาจากเมืองหลวง แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยกินเนื้อดิบมาก่อน ถ้าเป็นกองทัพฮวาของนาง นางคงจะไม่ต้องกังวลกับสิ่งเหล่านี้

“ กินมันดิบๆ หรือ?” ทหารพูดซ้ำขึ้น “ เนื้อนี้สามารถกินดิบๆ ได้ด้วยหรือ?”

       ฮวาจูอวี้ ลุกขึ้นแล้วดึงมีดที่เอวออกมา ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาก้าวถอยหลังไป ในเวลาพลบค่ำที่มืดมิด มือของนางนั้นขยับอย่างรวดเร็วและมีดก็ส่งประกายเย็น ๆ ออกมา

       ทุกคนดูเมื่อเนื้อถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในสถานที่ที่หนาวเย็นเช่นนี้ ทันทีที่ชิ้นเนื้อถูกตัดออกมา มันจะแข็งตัวทันที ทหารหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้ววางมันไว้ในปากของเขา หลังจากเคี้ยวเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกว่ารสชาติมันไม่เลวนัก ทหารที่เหลือก็ลองทำเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเตรียมเนื้อสัตว์ตามแบบที่ฮวาจูอวี้แสดงให้เห็น

       หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเขาก็เดินทางต่อ ฮวาจูอวี้ได้รับจดหมายจากนกพิราบบอกนางว่าเสี่ยวหยินกำลังนำทัพของเขามาโจมตีเมืองหยางกวน ข่าวนี้ทำให้พวกเขารีบเดินทางต่อไปทางเหนือทันที แต่เมื่อพวกเขากำลังจะออกจากชายแดนตะวันออกเยียน พวกเขาก็ได้พบกับกลุ่มของทหารม้า

       ฮวาจูอวี้รีบสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม เพราะกลัวว่าจะเป็นกลุ่มซุ่มโจมตีที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรเหนือ

       ครู่ต่อมา กลุ่มของทหารม้าก็มาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขา ผู้นำกลุ่มคือชายในชุดคลุมสีแดงที่งดงาม เสื้อคลุมของเขากระพืออยู่ในสายลม ในขณะที่ลวดลายสีเหลืองที่ปักเอาไว้บนนั้นส่องประกายอยู่ภายใต้เปลวไฟของคบเพลิง

       นอกจากโตนเฉียนจินรุ่ยหวางของตะวันออกเยียนแล้วจะยังเป็นใครไปได้อีก  

       โตนเฉียนจิน ขี้ม้าของเขาและกวาดสายตามาทางพวกเขา เขายิ้มด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย ก่อนจะถามขึ้น“ที่นี่ใครคือผู้นำ?”

       ฮวาจูอวี้สงบตัวเองลง นางไม่ได้คาดหวังว่าไฟขนาดเล็กจะเพียงพอที่จะเรียกความสนใจของโตนเฉียนจินได้ ความระมัดระวังของตะวันออกเยียนนั้นสูงมาก

       ในบรรดา 4 อาณาจักร ตะวันออกเยียนสนับสนุนสันติภาพมากที่สุดและมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับส่วนที่เหลือทั้ง 3 นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกล้าเสี่ยงเข้ามาในอาณาเขตของตะวันออกเยียน อย่างไรก็ตาม พวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม โตนเฉียนจินเคยเสนอพันธมิตรการแต่งงานกับอาณาจักรเหนือ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ไปกับเสี่ยวหยินที่อาณาจักรใต้เพื่อค้นหาอิงซู่เซี่ย ฮวาจูอวี้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเรียบง่ายอย่างที่เห็น

       หากเขาอยู่ใกล้กับอาณาจักรเหนือ เขาจะต้องเอนเอียงไปทางเสี่ยวหยินอย่างแน่นอน นางกระตุกม้าแล้วขี่ไปข้างหน้า นางมักจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยทุกครั้งที่เจอโตนเฉียนจิน  ไม่ว่าในกรณีใดๆ นางก็เป็นเจ้าสาวที่หลบหนีของเขา แต่โชคดีที่เขาไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน

“ เจ้า?” โตนเฉียนจินมองดูฮวาจูอวี้ ด้วยความประหลาดใจ

“เจ้า…” เขาชี้ไปที่ฮวาจูอวี้ แล้วพูดขึ้น“ เจ้าไม่ได้เป็นขันทีส่วนตัวของ หวงฝู่ อู๋ ซวงหรอกหรือ เจ้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้ในสงครามอย่างนั้นหรือ?”

       ฮวาจูอวี้ลดสายตาของนางลงและตอบอย่างเย็นชาขึ้น“เป็นขันทีแล้วอย่างไร? ในฐานะพลเมืองของอาณาจักรใต้ ข้าก็ยังยึดมั่นในความรับผิดชอบในการเป็นทหารและปราบปรามศัตรู ข้าขอให้รุ่ยหวาง เปิดทางให้เราด้วย”

“ช่างมีความคิดที่ยิ่งใหญ่เสียจริง!”โตนเฉียนจิน กล่าวในขณะที่มือยื่นเข้าไปในกระเป๋าด้านข้าง เขาหยิบเหรียญสองสามเหรียญออกมาแล้วโยนพวกมันขึ้นไปในอากาศโดยไม่ตั้งใจ

“แล้วถ้าองค์ชายผู้นี้ไม่เต็มใจเล่า?” เขาหรี่ดวงตาดอกท้อของเขาลงและยิ้มขึ้นอย่างสบาย ๆ ให้กับฮวาจูอวี้

       ฮวาจูอวี้จับหอกของนางแน่น ก่อนจะตอบขึ้นอย่างเร่งรีบ“เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่ไม่สุภาพ” พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจะต้องผ่านไปและสกัดกั้นเส้นทางของเสี่ยวหยินเอาไว้ให้ได้อย่างรวดเร็ว

“ได้ ถ้าเจ้าสามารถผ่านคนของข้าไปได้ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” ทันทีที่เขาพูดจบ เหรียญในมือของเขาก็พุ่งไปที่ฮวาจูอวี้

       ฮวาจูอวี้ยกหอกของนางขึ้นเพื่อสกัดเอาไว้ แต่เหรียญที่หมุนมานั้นเต็มไปด้วยพลัง จนนางสูญเสียการจับที่หอกของนางไป

       นางตะโกนออกมาและใช้กำลังภายในเข้าในไปหอกของนาง ด้วยเสียงที่กึกก้อง นางสกัดเหรียญออกไปได้ แต่อาวุธที่ดูไม่เป็นอันตรายเหล่านี้ก็ค่อนข้างยากที่จะจัดการด้วยจริงๆ

       โตนเฉียนจิน เอื้อมมือออกไปและรับเหรียญมาพร้อมกับตรวจสอบด้วยความไม่พอใจ ฮวาจูอวี้ ไม่ได้คาดหวังว่าเหรียญเหล่านี้จะทำด้วยทองคำแท้ การปะทะที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้เกิดรอยขูดขนาดเล็กขึ้น

       นางรีบใช้ประโยชน์จากเวลาเหล่านั้น ฮวาจูอวี้ได้ส่งสัญญาณให้กองทัพของนางเข้าสู่ขบวน ภายใต้การแนะนำของนาง พวกเขาจึงรีบพุ่งตรงเข้าไป

       โตนเฉียนจิน ยกมือขึ้นและแสงสีทอง 3 แสงได้พุ่งทะลุผ่านอากาศขึ้นไป แล้วทหารสามนายก็ร่วงลงจากหลังม้าทันที แต่สิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์เมื่อทหารจากด้านหลังรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างเปล่า

       ในการตั้งขบวนเช่นนี้ ทำให้พวกเขาวิ่งผ่านเข้าไปเหมือนพายุเฮอริเคน มุ่งตรงไปทางเหนือด้วยความเร็ว

“ฝ่าบาท พวกเราควรไล่ตามไปหรือไม่ขอรับ” ทหารที่ยืนถัดจากโตนเฉียนจิน ถามขึ้น

“ไม่จำเป็น ถ้าพวกเขาต้องการที่จะต่อสู้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาได้ต่อสู้!” โตนเฉียนจิน พูดขึ้นง่ายๆ ในขณะที่เขาเล่นกับเหรียญในมือของเขา

       เขาไม่เคยมีความตั้งใจที่จะหยุดพวกเขา เขาแค่ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของอาณาจักรใต้ โดยไม่คาดคิด เขาประเมินพวกเขาต่ำเกินไป

       เขาคงต้องมองขันทีตัวน้อยคนนั้นในมุมมองที่ต่างออกไป เขาโบกมือขึ้นแล้วทหารก็เข้ามาใกล้และกระซิบขึ้น“รีบไปตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างเสี่ยวหยินกับขันทีน้อยผู้นั้นให้เร็วที่สุด”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ถึงแม้ว่าทหารจะไม่รู้ว่าทำไมองค์ชายของพวกเขาถึงได้สนใจเรื่องของขันทีตัวเล็กๆ คนนั้น แต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่ง

       ฮวาจูอวี้ เป็นผู้นำกองกำลังทหารไปทางเหนือ ในเวลากลางคืน พวกเขาหาที่พักในภูเขาและพักแรมที่นั้น การคำนวณระยะทางของพวกเขา พวกเขาควรจะไปถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น

       ในคืนที่เงียบสงบ เสียงของม้ากำลังดังเข้ามาใกล้ หรือว่าโตนเฉียนจิน ไล่ล่าพวกเขา ฮวาจูอวี้ สงสัยและใจจดใจจ่ออยู่กับมัน ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกรีบรายงานขึ้นทันที“ ผู้บัญชาการเป่า มีทหารของอาณาจักรเหนืออยู่ข้างหน้าขอรับ!”

       ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่นานหลังจากได้ยินเสียงม้าพวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว

       ฮวาจูอวี้มองไปข้างหน้าผ่านดวงตาที่หรี่แคบ ภายใต้แสงจันทร์ กลุ่มของทหารม้ากำลังตรงเข้ามาใกล้ คาดเดาด้วยเสียงควบม้า มันน่าจะเป็นกลุ่มของทหารประมาณหนึ่งพันคน

       กลุ่มทหารเหล่านี้กำลังมาพร้อมกับรถม้า

       พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ราวกับอยากกลับไปยังอาณาจักรเหนือให้เร็วที่สุด

       ฮวาจูอวี้เริ่มสงสัย เหวินว่านจะอยู่ในรถม้านี้หรือไม่? เสี่ยวหยินส่งนางออกไปเพราะสงครามที่ใกล้เข้ามาหรือไม่?

       เมื่อระยะทางใกล้เข้ามามากขึ้น อีกฝ่ายก็พบการปรากฏตัวของพวกเขาและล้อมรอบรถม้าเอาไว้เพื่อป้องกันในทันที

“ใครอยู่ที่นั่น” เสียงสะท้อนดังขึ้น

“มีคำสั่งด้วย! เราถูกค้นพบแล้ว!” ผิง เหลาต้าผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในกองทัพฮู ดูเหมือนจะจำความลังเลของนางได้และกระซิบที่ข้างหูของนางขึ้น

       ฮวาจูอวี้ลดสายตาของนางลงและเป่านกหวีด ทหารจึงรีบขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

       “มันคือกองทัพของทางใต้!” ทหารของอาณาจักรเหนือตะโกนขึ้น

       ทันทีที่คำพูดหลุดออกมา คนเป่าแตรของกองทัพเหนือก็เป่าแตรของเขาขึ้นทันที ภายใต้แสงจันทร์ ฮวาจูอวี้ สังเกตเห็นสิ่งนี้ แต่ไม่มีเวลาที่จะไปหาธนูและลูกธนูมาได้ทัน นางพุ่งหอกในมือของนางออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันพุ่งออกไปด้วยแสงที่เยือกเย็กและพุ่งไปที่อกของคนเป่าแตรทันที

       สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากค่ายทหารของกองทัพเหนือมากนัก หากเสียงแตรดังขึ้น พวกเขาจะได้ยินมันทันที

“เร็วเข้า รีบจัดการกับทหารเหนือโดยเร็วที่สุด ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้หลบหนีไปได้!” อวาจูอวี้สั่งขึ้นอย่างเย็นชา

       นี่เป็นการต่อสู้ที่รวดเร็วและน่าเศร้าที่สุดที่ฮวาจูอวี้ เคยเข้าร่วม มันใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยามและผู้ชายหลายพันคนก็ถูกสังหารโดยพวกเขา

       กลิ่นของเลือดที่ล้นไปทั่วอากาศ

       เมื่อมองผ่านสนามรบที่โหดเหี้ยม ฮวาจูอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองหากระเป๋าเหล้าที่ห้อยลงมาจากคอม้าของนางแล้วดื่มมัน รสชาติที่รุนแรงของเหล้าไหลลงมาที่คอของนาง บางทีนางอาจจะดื่มเร็วเกินไปหรือบางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นเลือดที่ท่วมท้นหรืออาจจะมีส่วนผสมของทั้งสองอย่าง ที่ทำให้นางรู้สึกมึนเมา

       ผิง เหลาต้า ถอนหายใจและตบไหล่ของนางขึ้นเบา ๆ

“ ผู้บัญชาการเป่า เราควรทำอย่างไรกับแม่นางเหวินว่านขอรับ” ทหารเข้าหาและถามขึ้น

       ฮวาจูอวี้นั่งอยู่บนหลังม้าของนาง ทำให้ดวงตาของนางแคบลง ในขณะที่ทหารเข้าหาและพาผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย คนที่อยู่ในรถม้านั้นคือเหวินว่านจริงๆ ทุกคนรู้ว่าเหวินว่านมาจากอาณาจักรใต้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นนางเล่นพินอยู่นอกกำแพงประตูเมืองเพื่อเสี่ยวหยิน และทุกคนก็เข้าใจว่านางเข้าข้างอาณาจักรเหนือแล้ว

       ฮวาจูอวี้มองไปที่เหวินว่าน ผมของนางตั้งขึ้นสูงราวกับก้อนเมฆพร้อมปักปิ่นหยก คิ้วของนางดกดำและดวงตาก็สดใสเหมือนน้ำ แม้แต่ในสนามรบเหวินว่านก็ยังคงงดงาม สงบเสงี่ยมอยู่เสมอและสง่างามเหมือนชื่อของนาง

       นางยืนตัวตรงและตั้งสูง นางเบิกตากว้างจ้องมองมาที่ฮวาจูอวี้

“ มัดนางและพานางออกไป” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นในขณะที่พบกับการจ้องมองที่วางท่าของเหวินว่าน

“สารเวล!” เหวินว่านพูดขึ้น

“ ปิดปากของนาง!” ฮวาจูอวี้ดึงสายบังเหียนและสั่งขึ้นอย่างเย็นชา โดยไม่เหลียวมองมาที่เหวินว่านอีกครั้ง แล้วนางก็กระตุ้นม้าของนางจากไป

       ทหารถูกทิ้งให้สับสนเกี่ยวกับการทำให้เหวินว่านเงียบ

       เมื่อคิดว่าการสกัดจุดของนางนั้นง่ายเกินไปสำหรับนาง ทหารจึงฉีกเสื้อคลุมของเขาที่เปื้อนเลือดออกมาและยัดเข้าไปในปากของนาง กลิ่นเลือดปะปนกับเหงื่อท่วมอยู่ในปากของนางแล้วก็พุ่งไปที่หัวของนาง จนทำให้นางโกรธจนเป็นลม

       เมื่อถึงรุ่งเช้า ฮวาจูอวี้ก็ได้นำกองทัพของนางรอบอยู่ด้านหลังของกองทัพเหนือ จากระยะไกลๆ พวกเขาสามารถได้ยินเสียงกลองดังกึกก้องและความโกลาหลของการต่อสู้

       ฮวาจูอวี้ พากองทัพของนางไปจุดไฟเผาค่ายของกองทัพเหนือ วันนี้ลมเหนือนั้นดุเดือดและไฟก็ลุกลามอย่างรุนแรง ทำให้ค่ายทหารเต็มไปด้วยเพลิงที่ลุกลามขึ้น

       หลังจากจุดไฟแล้ว ฮวาจูอวี้ก็ได้นำกองทัพของนางออกไปเพื่อทำการโจมตี ทหารทุกคนตั้งขบวนและโจมตีกองทัพเหนือจากด้านหลัง ราวกับความตาย ราวกับลูกธนู พวกเขาทำการโจมตีผ่านใจกลางกองทัพเหนือทันที

       ในสนามรบความโกลาหลและความตายไม่สามารถบรรยายได้

       ควันที่พุ่งขึ้นอย่างฉับพลันจากด้านหลัง ดึงดูดความสนใจของเสี่ยวหยินได้ทันที เมื่อได้ยินเสียงแตรดังขึ้น เขาก็รู้ว่ามีการจู่โจมที่ไม่คาดคิดมาจากด้านหลังทันที

       เมื่อมองผ่านความโกลาหล เขาก็เห็นใครบางคนในชุดเกราะสีเงินเป็นผู้นำในการโจมตีครั้งนี้ บุคคลผู้นั้นถือหอกอยู่ในมือของเขาและไม่ว่ามันจะผ่านไปทางไหนต่างก็มีทหารเหนือล้มตัวลงกันทั่วหน้า

       เสี่ยวหยินสั่งการอย่างเย็นชาขึ้นทันที“ หยุดพวกเขา!” ในเวลานี้ กองทัพใต้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ต่อสู้เพื่อป้องกันเท่านั้นก็เริ่มการโจมตีที่น่ารังเกียจขึ้น

       การต่อสู้ดำเนินต่อไป

       ลมกระโชก กลองดังสนั่น เสียงแตรที่อึกทึก เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวด ……

       เสียงของความโศกนาฏกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากสนามรบ

       หลังจากเวลาผ่านไป ขวัญกำลังใจของกองทัพเหนือก็ลดน้อยลง เมื่อถูกกระหน่ำด้วยการโจมตีจากสองแนวหน้า ทำให้พวกเขาเสียเปรียบอย่างมาก เสี่ยวหยินตระหนักดีว่าหากการต่อสู้นี้ยังดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ กองทัพของเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ไฟขนาดใหญ่เช่นนี้จะต้องทำลายเสบียงของกองทัพ แต่เขาไม่ยอมปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ จบลงเช่นนี้! ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหันไปใช้ไพ่ใบสุดท้ายของเขา

       เขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากไพ่ใบนี้ เพราะมันไม่ใช่การกระทำที่มีเกียรติ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขายินดีที่จะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อความชนะ

       เขาส่งสัญญาณให้ผู้ถือธง เพื่อให้โบกธงและคนเป่าแตรเพื่อให้เป่าแตรต่อจากนั้นรถม้าก็ถูกนำเข้ามา

       รถม้าคันนี้คล้ายกับที่เหวินว่านนั่ง แต่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหวินว่านแต่เป็นผู้หญิงอีกคน

       ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ดูดีอย่างเหวินว่าน นางถูกมัด เสื้อผ้าของนางเปื้อนไปด้วยเลือดราวกับดอกไม้บาน ผมของนางยุ่งเหยิง มีบางเส้นตกลงมาจากไหล่ของนาง ผิวของนางซีดและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกลัว

       เสี่ยวหยินใช้กำลังภายใน ยกน้ำเสียงของเขาขึ้น ทำให้กองกำลังนับหมื่นในสนามรบได้ยิน “เสนาจี่ ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้คือเจ้าสาวในอนาคตของเจ้า นางเป็นแขกรับเชิญของข้าเมื่อคืนนี้ ข้าสงสัยว่าชีวิตของนางมีความสำคัญพอที่เสนาจี่ จะเปิดประตูเมืองให้กองทัพของเราหรือไม่”

       สิ่งนี้ทำให้เกิดคลื่นข้ามสนามรบไป

       กองทัพใต้หยุดการโจมตีลงและจี่เฟิ่งหลี่ก็ขี่ม้าไปที่ด้านหน้าของกองทัพ ถังโจวอยู่ทางซ้าย ในขณะที่หนานกง เจี๋ย อยู่ทางขวามือ ผู้บังคับการที่เหลืออยู่ข้างหลังพวกเขา

        เขาดึงสายบังเหียนของม้าของเขาและมองไปที่เสี่ยวหยินอย่างเย็นชา ผมสีดำเข้มของเขาพริ่วไหวในสายลม ในขณะที่สายตาของเขามองไปที่ผู้หญิงในรถม้า ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความโกรธ แต่เขากลับยิ้มแล้วถามขึ้น“ ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหนือผู้ยิ่งใหญ่ ปรารถนาที่จะชนะด้วยวิธีนี้หรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด