(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมทตอนพิเศษ 1-1 สถานที่

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter ตอนพิเศษ 1-1 สถานที่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนพิเศษ 1-1 สถานที่

 

 

 

 

“ซองฮีมากินข้าวสิ! มัวทำอะไรอยู่ ฉันเรียกตั้งหลายรอบแล้วไม่เห็นขานตอบกันเลยนะ” 

 

 

“อ้อ โทษที! จะไปแล้ว” 

 

 

ถึงจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน ทำงานต่อเนื่องไม่ได้หยุดพักจนไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ พอได้ยินเสียงเรียกของฮเยจองผู้เป็นภรรยา ซองฮีก็รีบลุกพรวดออกไปนอกห้องทันที ฮเยจองกำลังจัดวางจานที่มีควันฉุยและกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ ก่อนจะปรายตามามองซองฮีซึ่งกำลังเดินออกมา 

 

 

“นายนี่จริงๆ เลย…เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องซ้อมแบบนั้น ต่อให้เกิดระเบิดก็คงไม่รู้เรื่องหรอก” 

 

 

“ขอโทษนะ สำนึกผิดแล้วเนี่ย” 

 

 

“ต้องให้บ่นทุกวันหรือไง ช่างเถอะ แค่ทำงานในส่วนของนายให้ดีก็พอ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นหรอก” 

 

 

“เข้าใจแล้ว ขอโทษจริงๆ นะ” 

 

 

ซองฮียังคงเอาแต่พูดขอโทษซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ บนโต๊ะอาหารมีทั้งสตูอยู่ในชามสวย ขนมปังฮาร์ดโรลที่ซื้อมาจากร้านขนมปังในละแวกใกล้ๆ บ้าน และนอกจากนี้ยังมีสลัดใส่อยู่เต็มชามขนาดใหญ่ 

 

 

“นี่ไปเตรียมมาตอนไหนเนี่ย ช่วงนี้ยุ่งๆ ไม่ใช่เหรอ” 

 

 

“ไม่แล้วละ เสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลยว่าง งานรอบนี้เกี่ยวกับเรื่องอาหารด้วยละ ทีนี้ก็เลยเอาแต่อยากกินนู่นนี่ตลอดเลย นึกว่าจะตายแล้วซะอีก พอเสร็จปุ๊บ ก็รีบไปตลาดปั๊บเลย” 

 

 

ใบหน้าของซองฮีที่มองหน้าของฮเยจองซึ่งวางอาหารที่ตนเองทำเองลงตรงหน้าแล้วยิ้มกว้างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน 

 

 

พวกเขาได้รู้จักกันตอนอายุสิบปีปลายๆ และแต่งงานกันตอนอายุสามสิบปีต้นๆ กว่าสิบที่รู้จักกันนั้น ทั้งคู่คลาดกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ได้กลายเป็นมาครอบครัวเดียวกันไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซองฮีก็ยังคงชอบฮเยจองเอามากๆ ฮเยจองมองไปยังซองฮีซึ่งกำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ เจ้าตัวจึงได้ยกยิ้มอ่อนหวานออกมาเช่นกัน ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาถือ 

 

 

“รีบกินเถอะ สตูเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” 

 

 

“อือ กินข้าวกัน” 

 

 

และแล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นมื้อกลางวันที่ล่วงเลยมานานมากแล้ว 

 

 

สตูที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อวัวและผักนั้นให้รสชาติที่ดีเยี่ยม ผักที่ใช้ทำสลัดก็สดมาก ส่วนขนมปังฮาร์ดโรลข้างนอกก็มีความกรุบกรอบ ส่วนเนื้อข้างในนั้นนุ่มฉ่ำกำลังดี ถึงจะดูเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็อยู่ในปริมาณที่พอดิบพอดีอย่างยิ่ง 

 

 

ซองฮีเป็นนักดนตรี ส่วนฮเยจองเป็นนักวาดภาพประกอบ สองสามีภรรยาจึงใช้เวลาที่บ้านด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของงานบ้านนั้น ก็ได้จัดการแบ่งสรรหน้าที่ของแต่ละคนเอาไว้ หากมีใครต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ ก็จะมาปรึกษาหาข้อสรุประหว่างกัน แรกๆ มันก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่บ้าง แต่หลังจากแต่งงานกันมาได้หนึ่งปีแล้ว เวลานี้มันก็กลายเป็นความคุ้นชินไปเสียแล้ว ชีวิตแต่งงานของทั้งสองคน ดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างราบเรียบ 

 

 

“อือ รสมันจัดไปหน่อยนะ ใส่พริกไทยเยอะเหรอ” 

 

 

ซองฮีที่กินสตูเข้าไปได้ไม่กี่ช้อนก็เอียงหัวพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย ฮเยจองเบือนสายตามามองซองฮีซึ่งทำท่าทางเช่นนั้นอยู่ แล้วจึงได้ยื่นแก้วน้ำเปล่าส่งไปให้ ก่อนจะเอ่ยตอบ 

 

 

“วันนี้อากาศร้อนเลยทำรสจัดกว่าปกติ แล้วก็ใส่พริกไทยมากกว่าเดิมหน่อย ไม่อร่อยเหรอ” 

 

 

“เปล่า ไม่เลวเลยแหละ” 

 

 

ซองฮีตักสตูเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ  

 

 

“นี่มันรสที่เจ้านั่นชอบเลยนะ” 

 

 

ฮเยจองที่ได้ยินคำพูดนั้น ถึงกับเอียงหัวด้วยความสงสัย 

 

 

“เจ้านั่น? หรือว่าเป็นพี่ ไม่สิ หมายถึงพี่สามีงั้นเหรอ” 

 

 

ซองฮีถึงกับหัวเราะลั่นให้กับฮเยจองที่รีบร้อนเปลี่ยนคำเรียก 

 

 

“หืม ฮ่าๆๆ! นี่ พอเถอะ เรียกแบบทุกทีนั่นแหละ” 

 

 

“ถ้าเกิดเรียกแบบนั้น แล้วพลาดตอนที่อยู่ต่อหน้าคุณพ่อกับคุณแม่จะทำไงล่ะ” 

 

 

“ยังไงซะ เราก็ไม่ค่อยได้เจอท่านทั้งสองบ่อยๆ อยู่แล้ว จะกังวลไปทำไมกันล่ะ ถ้าเจ้านั่นมาได้ยินว่าตัวเองโดนเรียกว่าพี่สามี คงได้ไหล่กระตุกทุกครั้งแน่ เรียกแบบปกตินั่นแหละ” 

 

 

“หึ่ย จริงๆ เลย…แล้วยังไงที่พูดก็คือพี่ซองจูใช่ไหม พี่เขาชอบรสจัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” 

 

 

“อือ ก็ใช่แหละ” 

 

 

ซองฮีพูดออกมาเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้มหน้าลงไปจนจมูกแทบจะติดกับถ้วยข้าว 

 

 

“วันนี้ไปห้องซ้อมไหม” 

 

 

“อือ ตอนเย็นต้องไปเจอเจ้าพวกนั้น ทำไมเหรอ” 

 

 

“จะห่อไปให้ เอาไปฝากพี่ด้วยละ” 

 

 

“งั้นเหรอ ห่อให้พอสำหรับสองคนด้วยนะ” 

 

 

สายตาของฮเยจองที่มองไปยังซองฮีซึ่งพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดคัดค้านอะไรออกมา มันเป็นสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย พอซองฮีรู้สึกได้ถึงสายตานั้น เจ้าตัวจึงได้ชะงักมือที่ถือช้อนอยู่ ก่อนจะเอ่ยถามฮเยองกลับไป 

 

 

“ทำไมเหรอ” 

 

 

แต่อีกคนกลับไม่ได้ตอบคำถามกลับมาในทันที ฮเยจองยังคงจ้องเขม็งไปที่ซองฮี ทั้งที่มือก็ยังถือช้อนค้างอยู่อย่างนั้น 

 

 

“ทำไม มีอะไรจะพูดงั้นเหรอ” 

 

 

“เปล่า ก็เรื่องนั้นน่ะ” 

 

 

“อือ” 

 

 

“เอาใจใส่เสียขนาดนั้น แต่ทำไมพอเจอหน้ากันถึงได้เอาแต่ชวนทะเลาะแบบนั้นล่ะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ พี่น้องแบบพวกนายเนี่ย” 

 

 

ฮเยจองพูดเช่นนั้นออกมาด้วยสายตาสะท้อนความจริงจัง ซองฮีที่ถูกกดดันด้วยสายตานั้นก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป และก็เริ่มขยับช้อนในมืออีกครั้ง 

 

 

 

 

 

“เฮ้อ…” 

 

 

หลังจากจบมื้ออาหารแสนอร่อย เขาก็กลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง แล้วซองฮีก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที พอหันมองไปรอบๆ ห้องที่รกรุงรังไปหมด เขาก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ ความรู้สึกอึดอัดนั่นก็ยังไม่จางหายไป อย่างที่ฮเยจองพูดนั่นแหละ ถ้าเขาได้เริ่มทำงาน รอบข้างจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด แต่ว่าอย่างไรเสียการจัดการเก็บกวาดที่นี่ มันก็เป็นหน้าที่ของซองฮี ฮเยจองจึงไม่ได้บ่นอะไรอีก สาเหตุที่ทำให้เขาถอนหายใจออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นคำพูดที่คุยกันตอนกินข้าวนั่นแหละ 

 

 

 

 

 

‘เอาใจใส่เสียขนาดนั้น แต่ทำไมพอเจอหน้ากันถึงได้เอาแต่ชวนทะเลาะแบบนั้นล่ะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ พี่น้องแบบพวกนายเนี่ย’ 

 

 

 

 

 

ในยามที่เสียงของฮเยจองดังก้องอยู่ที่ข้างหู ซองฮีก็ได้แต่บ่นพึมพำออกมาแผ่วเบา พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาที่จัดไว้อยู่ตรงด้านหนึ่งของห้องทำงาน 

 

 

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องทำแบบนั้นด้วย…” 

 

 

ทิ้งตัวนั่งอย่างอ่อนล้า ปล่อยให้สติล่องลอยออกไป และในตอนนั้นเองเรื่องราวเมื่อตอนที่ซองฮียังเป็นเด็กๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“คนไข้ฮันซองฮี ป่วยตรงไหนเหรอครับ” นั่นพี่เขาเอง 

 

 

เด็กน้อยฮันซองจูในวัยเจ็ดขวบที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนกำลังก้มลงมองมาที่ตัวเขา ซองฮีในวัยเพียงห้าขวบนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าของพี่ชายที่กำลังอมยิ้มและมองลงมาที่เขานั้น มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย 

 

 

ที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้ก็คือการไปฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสสมองอักเสบ 

 

 

เพราะพ่อแม่ที่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา การได้รวมตัวกันครบสี่คนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องยาก การไปโรงพยาบาลก็เช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคุณย่าหรือไม่ก็คุณยายที่จะมาทำหน้าที่ผู้ปกครองแทน 

 

 

แต่วันนั้นมันกลับต่างออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พ่อกับแม่จูงมือพาเขากับพี่ชายไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีน หลังจากนั้นก็ยังได้กินข้าวด้วยกันก่อนจะกลับมาที่บ้านอีกด้วย มันช่างเป็นเรื่องน่าประทับใจไม่รู้ลืม พอหลังจากนั้นไม่กี่วัน ซองจูก็คว้าตัวซองฮีมา แล้วก็รบเร้าชวนให้เล่นเป็นหมอกับคนไข้กัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดูเจ๋ง อย่างไรเสียเขาก็ต้องทำตามใจซองจูทั้งนั้น ดังนั้นซองจูจึงเป็นหมอ ส่วนซองฮีก็เป็นคนไข้ 

 

 

ไม่ว่าจะเมื่อก่อน หรือตอนนี้ หากซองจูแสดงท่าทีดื้อดึงออกมา เขาก็ไม่เคยเอาชนะอีกคนได้เลย วันนั้นเองก็เช่นกัน ซองฮีได้แต่ยอมทำตามใจพี่ชายไปเงียบๆ สวมบทบาทคนไข้ 

 

 

“เหมือนจะปวดท้องครับ” 

 

 

ซองฮีบอกสาเหตุของอาการป่วยออกไปแบบส่งๆ พร้อมกับต้องทนให้ซองจูใช้นิ้วเรียวนั่นกดแรงๆ ลงมาบนร่างกายของเขา 

 

 

แรกๆ ตอนเล่นนั่นเล่นนี่ก็จะแสดงสีหน้าเสมือนจริง จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ซองจูก็เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง แค่ได้เห็นท่าทางของหมอเด็กไม่กี่ครั้ง เจ้าตัวก็สามารถเลียนแบบท่าทางออกมาได้ ปัญหามันเกิดขึ้นหลังจากนั้นนั่นแหละ 

 

 

“เอาล่ะ คนไข้ฮันซองฮี เลือดกำเดาไหลเยอะมากเลย ต้องห้ามเลือดก่อนนะ” 

 

 

ซองฮียังคงตกใจจนพูดอะไรไม่ออก จึงได้ลุกพรวดขึ้นมาในทันที 

 

 

“พี่ฮะ ผมไม่ได้เลือดกำเดาไหลนะ” 

 

 

“หือ ไม่นะ เลือดกำเดาไหลอยู่นี่ รีบนอนลงเร็วเข้า คนไข้” 

 

 

พูดออกมาพร้อมกับอมยิ้ม แต่ทว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมาโดยรอบกลับกำลังบอกเขาแบบนี้อยู่ 

 

 

‘ไอ้เวรนี่ นอนลงไปเดี๋ยวนี้’ 

 

 

ซองฮีที่ยังเด็ก เมื่อถูกกดดันด้วยท่าทางคุกคามแบบนั้น ก็ได้แต่ยอมนอนลงไปเงียบๆ อย่างเดิมอีกครั้ง 

 

 

“คนไข้ ถ้ายังไม่เชื่อฟังแบบนี้อีก กลับบ้านไปแล้วจะต้องโดนดุแน่ๆ เลยนะ” 

 

 

พูดออกมาเช่นนั้นเพื่อกดดันเขา พร้อมกับที่ซองจูเปิดกล่องปฐมพยาบาลอันเล็กออกโดยไม่พูดอะไรอีก ตัวเขาเพียงชะโงกหน้าขึ้นมาแอบชำเลืองมอง จึงได้เห็นอีกคนกำลังแกะถุงที่ใส่สำลีสีขาวออกมา 

 

 

มือเล็กๆ นั่นออกแรงแกะถุงพลาสติกนั่นจนสุดแรง แล้วจึงดึงเอาก้อนสำลีสี่เหลี่ยมที่เหมือนน้ำตาลก้อนนั่นออกมา แล้วก็เอาออกมากองรวมกัน ก่อนจะอัดรวมกันจนมันได้เป็นก้อนแน่นๆ หลายก้อน แล้วจากนั้นซองจูก็มองที่ซองฮีพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก 

 

 

“เอาล่ะ มาห้ามเลือดกัน” 

 

 

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของซองจูขยับเข้ามาใกล้ซองฮีมาขึ้นเรื่อยๆ อีกคนกำก้อนสำลีเอาไว้ในมือข้างหนึ่งราวกับมันเป็นสิ่งมีค่า ส่วนอีกมือก็คว้าข้อมือของซองฮีที่กำลังตกตะลึงด้วยความหวาดกลัวเอาไว้ นั่นมันไม่ใช่สายตาของเด็กแล้ว 

 

 

“เด็กดี เอาล่ะ ต้องทนหน่อยนะ” 

 

 

เจ้าตัวพูดออกมาตามบทพูดของหมอเด็กอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง พร้อมกับที่นิ้วเรียวของเจ้าตัว เริ่มจัดการยัดก้อนสำลีทีละก้อนเข้ามาในรูจมูกของน้องชาย 

 

 

เมื่อคิดว่าใส่เข้าไปในรูจมูกข้างละอันแล้วมันยังไม่พอ จึงได้ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเข้าไปอีก ยัดเข้าไปแล้ว ก็ยัดเพิ่มเข้าไปอีก ตอนที่ยัดมันเข้าไปนั้น พอดวงตาของทั้งคู่มองสบกัน ซองจูก็จ้องมาที่ซองฮี พร้อมกับยกยิ้มกริ่ม 

 

 

“เอาล่ะ เด็กดี” 

 

 

ในตอนนั้นเองซองฮีจึงได้ระเบิดเสียงร้องไห้ดังลั่นออกมา   

 

 

“ฮือ! คุณป้า! แม่! พ่อ! พี่เขาจะฆ่าผม!” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด