(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 1-4

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter 1-4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 1-4 The blues

 

 

 

 

เรื่องที่เขาอยากจะถามยังเหลืออีกตั้งเป็นกอง แต่ดงฮยอนดันรีบชิ่งวางสายหนีไปอย่างรวดเร็ว เหมือนวิ่งหนีข้าศึกเสียอย่างนั้น ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซองจูเต้นตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง โทรศัพท์ที่เคยถืออยู่ในมือ ถูกเขวี้ยงลงไปที่เตียงอีกหน ซองจูสูดหายใจเข้าออกอย่างหนักอีกรอบอย่างคนพยายามอดกลั้น เสียงปึงปังของประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับซองจูที่เดินออกมาด้านนอก 

 

 

ปัง! 

 

 

ไม่มีการเคาะประตูแต่อย่างใด ทันทีที่ประตูห้องพักแขกที่อยู่ห่างจากห้องนอนของเขาคนละโยชน์ถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะ ซองจูก็เผลอสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ภาพแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องซึ่งกำลังทอดสายตามองไปยังหน้าต่างบานกระจก ปรากฏชัดขึ้นในกรอบสายตาของซองจู 

 

 

ภายในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท ร่างสูงใหญ่ที่ติดจะผอมไปสักหน่อย ช่างดูกลมกลืนเหลือเกินกับฉากหลังที่เป็นแสงดวงอาทิตย์ในยามตะวันตกดิน 

 

 

หลังหน้าต่างบานกระจกขนาดใหญ่ตรงระเบียงกว้าง ปรากฏภาพท้องฟ้าสีแดงดุจสีเลือดของช่วงตะวันตกดินและแผ่นหลังกว้างของชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิท ดูกลมกลืนกันเสียจนน่าพิศวง ใบหน้าที่ค่อยๆ หันกลับมาทางด้านหลังของผู้ชายคนนั้นมีประกายของความหมองหม่นพาดผ่าน ดวงตาสีเข้มคู่นั้นก็มีร่องรอยของความโศกเศร้าฝังลึกอยู่ภายใน 

 

 

หม่นหมอง นั่นแหละคือผู้ชายคนนั้น 

 

 

ซองจูเผลอกลืนน้ำลายอึกนึง พร้อมก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

“เออ นายน่ะ…มาคุยกันหน่อยสิ” 

 

 

คำพูดที่ไม่สามารถปะติดปะต่อกันให้สมบูรณ์ได้ ถูกเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกุก ผู้ชายคนนั้นเพียงพยักหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกตอบกลับมา 

 

 

“ที่นี่คงไม่เหมาะ ไปที่ห้องนั่งเล่นเถอะ” 

 

 

ทันทีที่พูดจบ ซองจูก็หมุนตัวกลับ เดินไปทางห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ 

 

 

“ฟู่ว ค่อยยังชั่ว…” 

 

 

สองขาก้าวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่กลางห้องนั่งเล่น ทันใดนั้นซองจูก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาทางปาก 

 

 

ภาพของผู้ชายคนนั้นที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ติดตาเสียจนไม่สามารถสลัดออกไปได้ เขาได้แต่ยืนเหม่ออยู่กลางห้องที่แสงไฟสว่างเจิดจ้า ภาพแสงอาทิตย์ยามตะวันตกดิน แดงฉานดุจเปลวเพลิงซึ่งกำลังลุกโชน รวมเข้ากับแผ่นหลังกว้าง มันช่างยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซองจูรู้สึกเพียงว่าเงาร่างที่ทอดยาวนั่นดูแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนแอราวกับจะพังครืนลงเสียตรงนั้น แล้วยังความรู้สึกสั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจเขาอย่างไร้เหตุผลนั่นอีก 

 

 

เป็นคนที่แปลกเสียจริง สวมเสื้อผ้าสีดำไปทั้งตัว แล้วยังเส้นผมหยักศกที่ยาวปิดบังใบหน้าไปกว่า ครึ่งนั่นอีก ชายหนุ่มที่มีบรรยากาศแปลกประหลาดกระจายอยู่รอบตัวนั่นยิ่งทำให้เขาดูแตกต่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายคู่นั้น ผิวที่ซีดขาวท่ามกลางสีดำมืดทั่วทั้งตัว เมื่อประกอบกันแล้วกลับลงตัวอย่างมาก ยามที่ได้สบมองกับดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น เขารู้สึกราวกับถูกสาป ทั่วทั้งร่างชะงักค้างไม่เว้นแม้กระทั่งหัวใจของเขา 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องสวมบทบาทแสดงเป็นคนอื่นก็ตาม 

 

 

“บ้าเอ๊ย…”  

 

 

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาสบถออกมาอย่างหงุดหงิด เขาก็รับรู้ได้ถึงใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาทางด้านหลัง ซองจูหันขวับกลับไปทันทีด้วยสีหน้าเงอะงะ ช่างไม่สมกับเป็นเขาเอาเสียเลย 

 

 

วินาทีที่ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ผู้ชายคนนั้นที่กำลังค่อยๆ เดินเขามาภายในห้องนั่งเล่นก็มองมาที่ซองจูก่อนจะหยุดฝีเท้าลง 

 

 

บนทางเดินที่แสงไฟส่องสว่าง พวกเขาทั้งคู่ต่างประสานสายตากัน  

 

 

ในแววตาที่ไม่อาจหลอกลวงได้นั้น มีภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาสะท้อนอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ซองจูรู้สึกเหมือนตัวตนของเขาถูกกลืนกินด้วยกลิ่นอายที่กระจายออกมาจากผู้ชายตรงหน้า เขาเบือนหน้าหลบสายตาไปก่อน และเลือกนั่งลงบนโซฟาอย่างช้าๆ  

 

 

“นั่งลงก่อนสิ” 

 

 

พยักพเยิดปลายคางชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้าม ชายคนนั้นพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงไปที่ตรงนั้นอย่างช้าๆ ซองจูหลบเลี่ยงไม่มองสบตาอีกฝ่ายที่นั่งตรงข้าม โดยเลือกที่จะก้มหน้าแล้วมองฝ่ามือของตัวเองแทน 

 

 

“นายน่ะทำงานอะไร” 

 

 

ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามของซองจูในทันที  

 

 

เขาหงุดหงิดกับการที่ต้องคอยคาดเดาคำพูดของอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกเมินเฉยต่อคำถามที่ถามออกไป ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาอีก ซองจูเชิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองพื้นห้องอยู่ 

 

 

“เหอะ นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามงั้นเหรอ ดีจริง งั้นขอเปลี่ยนคำถามใหม่แล้วกัน นายกับพี่ดงฮยอนเกี่ยวข้องกันยังไง” 

 

 

ทันทีที่เปลี่ยนคำถาม แพขนตาของอีกฝ่ายดูจะขยับไหวแสดงการตอบสนองกลับมาให้เห็น ซองจูเอนตัวพิงพนักโซฟา พร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก เปล่าประโยชน์ที่จะแสดงท่าทางอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็น เขาจึงเลือกแสดงท่าทางอวดดีออกมาเช่นเคย แสดงอาการให้อีกฝ่ายลองพูดอะไรออกมาสักหน่อย ทันทีที่เขาเชิดหน้าเชิดคางขึ้น อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เริ่มเปิดปากตอบ 

 

 

“ก็แค่พี่ที่รู้จักกัน” 

 

 

“พี่ที่รู้จัก? คนแบบนั้นไม่ใช่พวกที่จะมาแสดงความใจดีพร่ำเพรื่อด้วยเหตุผลแค่นั้นหรอกนะ” 

 

 

ซองจูท้วงออกมา เมื่อรู้สึกว่าคำตอบที่แท้จริงมันไม่ใช่แค่นั้น 

 

 

ชินดงฮยอนที่เขารู้จักเป็นพวกเลือดเย็นไม่น้อยไปกว่าใครเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เห็นควรก็จะแสดงท่าทีเมินเฉยไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจด้านบันเทิงที่มีแต่พวกชอบพูดเสแสร้งและต้องคอยสวมหน้ากากตีสองหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าตัวก็ยังสามารถเอาชนะอุปสรรคนำพาบริษัทก้าวมาอยู่ในแถวหน้าได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าหมดจดของซองจูเริ่มขุ่นมัวขึ้น พร้อมกับเริ่มซักไซ้อีกครั้ง 

 

 

“แค่พี่ที่รู้จักเท่านั้นเหรอ แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง” 

 

 

อีกฝ่ายตอบกลับความพากเพียรในการเค้นความจริงของเขาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ 

 

 

“เป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อน” 

 

 

“หา?” 

 

 

ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่รู้จักสนิทสนมกันดี แต่เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนพี่เขาเนี่ยนะ? ซองจูได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบรับอย่างไรกับคำตอบที่ได้รับ 

 

 

“เหอะ! จริงๆ เลยไอ้…งั้นที่บอกว่า ให้คิดเสียว่าเป็นเพื่อนร่วมสังกัดเดียวกันล่ะ หมายความว่ายังไง? เขาเป็นคนพูดแบบนั้นกับฉันเองนะ” 

 

 

“ถ้าเป็นเรื่องเซ็นสัญญากับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นนั่นก็ถูกต้องแล้ว”  

 

 

“ไอ้นี่ นายพูดห้วนๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ” 

 

 

ซองจูทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับเริ่มหลุดนิสัยแท้จริงออกมา อีกฝ่ายเองก็เริ่มที่จะตอบโต้กลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจมากกว่าเดิม 

 

 

“นายเองก็พูดห้วนๆ เหมือนกัน” 

 

 

“นี่พูดหรือเห่ากันแน่…” 

 

 

อีกฝ่ายมองซองจูซึ่งกำลังสบถคำพูดไม่สมควรออกมา แล้วเริ่มตอบโต้กลับ 

 

 

“ดูเหมือนนายจะไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้ามาที่นี่สินะ” 

 

 

“เออ ไม่รู้ ถ้าฉันรู้นายไม่มีทางได้เข้ามาแน่นอน” 

 

 

อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษต่อพฤติกรรมน่าหมั่นไส้ซึ่งซองจูกำลังเผยออกมาอยู่เรื่อยๆ เขาเพียงแค่นั่งโน้มตัวมาด้านหน้าของโซฟา และจ้องมองมาที่ซองจูนิ่งๆ ก็เท่านั้น เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว มันทำให้ซองจูไม่สบอารมณ์เลยสักนิด เจ้าตัวส่งสายตาคมกริบกลับไปพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง 

 

 

“ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ตกใจ ยังไงก็ขอโทษด้วย ยังไงซะฉันก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องให้เข้ามาที่นี่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องจะให้ออกไป เห็นทีคงจะเป็นไปไม่ได้ นายสบายใจได้ เพราะฉันไม่ได้คิดที่จะมาสร้างเรื่องเดือดร้อนอะไรให้อย่างแน่นอน” 

 

 

เขาอุตส่าห์แสดงท่าทีน่ารังเกียจ พยายามกวนโมโหอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ แทนที่จะขอออกไปอยู่ที่อื่นแต่กลับมาแสดงจุดยืนว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ออกไปจากห้องนี้เสียอย่างนั้น 

 

 

ซองจูรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุดกับสถานการณ์ตรงหน้าที่ไม่เป็นไปตามใจคิด แค่อีกคนไม่ได้พูดว่าจะหาที่อยู่ใหม่ แถมยังบอกให้มาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แค่นี้มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้เสียแล้ว 

 

 

‘กล้ำกลืนอย่างที่สุด’   

 

 

ซองจูจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด แล้วเอนตัวพิงพนักโซฟายิ่งกว่าเดิม 

 

 

“นายชื่ออะไร” 

 

 

เชิดคางขึ้นถามอีกครั้ง อีกฝ่ายชำเลืองมามองเขาก่อนจะเอ่ยตอบ 

 

 

“จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นด้วยเหรอ” 

 

 

“งั้นจะให้เรียกนายนิรนามรึไง” 

 

 

ทั้งที่ถูกซองจูรวนกลับ แต่อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น 

 

 

“คิมจองอู” 

 

 

“อายุล่ะ” 

 

 

“สามสิบสอง” 

 

 

“อะไรกัน เด็กกว่าฉันเหรอเนี่ย แล้วยังมีหน้ามาพูดห้วนๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ” 

 

 

“นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่อายุมากกว่าแล้วจะพูดจาไม่สุภาพก็ได้งั้นเหรอ” 

 

 

คำถามที่สวนมาทำให้ซองจูได้แต่หุบปากพล่อยๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะคิดทบทวนอย่างไร ไอ้หมอนี่มันไม่ใช่ธรรมดาๆ แน่นอน 

 

 

ใบหน้าที่ดูดีเกินมนุษย์มนาทั่วไปนั่นจ้องเขม็งมายังซองจูซึ่งกำลังขมวดคิ้ว ก่อนเริ่มเปิดปากถามคำถามออกมาอีกครั้ง 

 

 

“นายอายุเท่าไหร่” 

 

 

ซองจูไม่มีใจอยากจะตอบคำถามนั้นสักเท่าไรนัก เพราะเขาไม่ชอบ มันรู้สึกเหมือนต้องตอบคำถามตามคำสั่ง ถึงเขาบอกอายุไป อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาอย่างแน่นอน 

 

 

“ถ้ารู้แล้วจะทำอะไร” 

 

 

“ก็ตอบมาก่อนสิ” 

 

 

“ไอ้เวรนี่ ให้ตายเหอะ!” 

 

 

ซองจูเชิดหน้าขึ้นทันที ตอนนี้เขาหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เพียงเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ยอมเคลื่อนไหวตามความคิดของเขา 

 

 

“ถึงยังไงฉันก็อายุมากกว่านาย” 

 

 

“…” 

 

 

“คงไม่เกินสี่สิบหรอก” 

 

 

“นั่นก็ใช่ ทำไม” 

 

 

“ทำตัวอย่างกับเด็ก ไม่ได้สุขุมสมวัยเลยสักนิด” 

 

 

“อะไรนะ? ไอ้เด็กเวรนี่ จริงๆ เลย แม่งเอ๊ย!” 

 

 

ซองจูแผดเสียงออกมาทันที เมื่อถูกจองอูพูดยั่วโมโหเข้าให้อย่างจัง เขากำมือตัวเองแน่นจนมันสั่นเทาอย่างคนพยายามอดกลั้น จองอูเพียงมองท่าทางเช่นนั้นของซองจูนิ่งเฉย คงไม่เหมาะที่เขาจะสนทนาต่อกับซองจูที่ยังคงไม่สามารถดับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านได้ 

 

 

“คิมจองอู อายุสามสิบสอง อาชีพก็…เกี่ยวกับดนตรี ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือสนใจอะไร ฉะนั้นก็เลิกหัวร้อนได้แล้ว โอเคไหม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องอยู่รบกวนไปจนถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคุยกันต่อ เอาเป็นว่าพวกเราค่อยๆ ปรับตัวกันไปทีละนิดแล้วกันนะ” 

 

 

หลังจากที่จองอูทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้แบบนั้น พร้อมกับทำท่าทางราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องชุดนี้ได้อย่างหน้าด้านๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆ เดินกลับไปทางห้องของตัวเอง ซองจูยืนมองภาพแผ่นหลังที่ขยับไหวตามการก้าวเดิน จนกระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น เขาก็ยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองในทันที 

 

 

“บ้าอะไรเนี่ย ไอ้เวรนั่น เป็นพวกเต้นกินรำกินด้วยงั้นเหรอ” 

 

 

นึกถึงใบหน้าของอีกคน พร้อมกับพึมพำราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นพวกเต้นกินรำกินเช่นอีกคน 

 

 

 

 

 

* * * 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด