(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 2-1

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter 2-1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 2-1 แผลฉกรรจ์

 

 

 

 

“โอ้โห ลูกชายบ้านนี้ทำไมถึงได้ดูดีกันขนาดนี้” 

 

 

“ก็เป็นดารากันทั้งคู่เลยนี่นา แล้วก็สามีของอาจารย์มินก็หน้าตาดีอยู่แล้ว สมัยหนุ่มๆ มีสาวมาติดเต็มเลยใช่ไหม คงจะเหมือนพ่อละสิ” 

 

 

“โอ๊ะ! คนเล็กก็เป็นดาราเหรอ นึกว่าแค่คนโตเสียอีก” 

 

 

“เห็นว่าเป็นนักดนตรีน่ะ” 

 

 

“ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย นี่คงจะชอบพวกดารา ไอดอลอะไรแบบนั้นใช่ไหมเนี่ย” 

 

 

“ก็อย่างนั้นแหละ แต่นี่ไม่อายุเยอะไปหน่อยเหรอ” 

 

 

ตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว ที่กลุ่มมนุษย์ป้าซึ่งรวมตัวกันอยู่บริเวณทางเข้างานแต่งงาน ยังคงจับกลุ่มพูดคุยไร้สาระกันไม่หยุด 

 

 

ประโคมทั้งเนื้อทั้งตัวด้วยแบรนด์เนมและน้ำหอมเสียจนฉุน แสร้งทำท่าทางสูงส่ง ทั้งๆ ที่บทสนทนาพวกนั้นหยาบคายและไร้มารยาทอย่างที่สุด 

 

 

ไม่รู้สึกละอายต่อบรรดาผู้ชายอาวุโสรอบข้างบ้างเลยหรือไงกัน แถมยังคอยแอบชำเลืองมองมาทางครอบครัวเจ้าบ่าวอยู่บ่อยๆ ราวกับวิจารณ์คุณภาพสินค้า ยิ่งทำให้ดูน่ารังเกียจเข้าไปอีก เสียงพูดก็ดังเสียจนคนรอบข้างพากันเหลือบมองอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ซองจูที่คอยต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานกำลังครุ่นคิดว่าควรจะจัดอย่างไรดี ระหว่างนั้น คนพวกนั้นก็ยังคงพ่นบทสนทนาที่ลดเกียรติของตัวเองออกมาอยู่เรื่อยๆ 

 

 

“วงอะไรน้า เหมือนจะเคยได้ยินอยู่นะคะ ว่างหน่อยเป็นไม่ได้ อาจารย์มินชอบมาพูดอวดอยู่ตลอดว่าดังมากเลยนะคะ” 

 

 

“ก็เป็นลูกชายของอาจารย์มินนี่ ยังไงซะสำหรับเธอก็ต้องดังที่สุดอยู่แล้ว ไม่อวยลูกตัวเองได้เหรอ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ทำตัวสูงส่งเสียขนาดนั้น แต่ลูกชายตัวเองกลับเป็นดารากันหมดเนี่ยนะ ไม่รู้ว่าเพราะเรียนไม่ได้เรื่องหรือเปล่า” 

 

 

“จุ๊ๆ เบาหน่อย เดี๋ยวก็ได้ยินกันหมดหรอกค่ะ” 

 

 

“โธ่ ไม่ได้ยินหรอกน่า จะกลัวไปทำไมกัน คนเยอะแยะขนาดนี้” 

 

 

สุ้มเสียงที่ทำใจดีปลอบโยนอีกคนว่าคงไม่มีใครได้ยินที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ยังคงพูดจานินทาว่าร้ายต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าสายตาของผู้คนโดยรอบนั้น คอยที่จะปรายหางตามามองด้วยความเอือมระอาอย่างไร 

 

 

“แต่ว่าให้ลูกชายคนเล็กแต่งงานก่อนเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ตามนิสัยของอาจารย์มิน ไม่น่าจะยอมให้ลูกชายคนเล็กได้แต่งงานก่อนนี่นา ทำไมนะ ทั้งที่ออกจะเคร่งครัดเสียขนาดนั้น” 

 

 

“นั่นน่ะสิคะ ทำไมถึงได้ยังไม่แต่งกันนะ ลูกชายคนโตของอาจารย์มิน เป็นนักแสดงที่ทั้งหน้าตาดี แถมยังโด่งดังเสียขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ” 

 

 

“ก็นั่นแหละ แบบนั้นถึงยิ่งแต่งไม่ได้ไม่ใช่รึไง ถ้าแต่งงานความนิยมต้องตกลงแน่ๆ” 

 

 

“อย่างนี้เองสินะ โอ๊ะ! นั่นอาจารย์มินอยู่นั่น เบาๆ กันหน่อย” 

 

 

มาร่วมงานมงคลของคนอื่นเขา พูดอย่างโน้นอย่างนี้นินทาไปเรื่อยอย่างออกรสยังไม่พอ ต่อหน้าก็ยังทำเสแสร้ง ลับหลังก็พูดจาว่าร้ายไปเรื่อย ช่างเป็นพวกไร้มารยาทสิ้นดี 

 

 

เขาเพียงทักทายแบบส่งๆ ให้ไป เมื่อคนพวกนั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทางสูงส่งจอมปลอมนั่น ดูท่าคงจะเป็นคนรู้จักของพ่อกับแม่ ตั้งแต่เมื่อครู่ที่เอาแต่เปรียบเทียบซองจูกับซองฮี ทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน แต่ในตอนนี้กลับทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

 

 

“โอ๊ะ อาจารย์มิน ยินดีด้วยนะ เมื่อไรฉันจะได้จัดงานแต่งให้ลูกชายบ้างนะ” 

 

 

“ทำพูดไป หวงลูกชายที่อุตส่าห์เลี้ยงมาเสียขนาดนั้น จะปล่อยไปได้เหรอ” 

 

 

“นั่นสิๆ” 

 

 

ซองจูเย้ยหยันคนพวกนั้นอยู่ในใจ แล้วผละออกมายืนอยู่ไม่ไกลนัก 

 

 

พอมาอยู่รวมกันแล้วช่างดูน่าสมเพช ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่ความโกรธของเขาปะทุออกมา ยิ่งได้เห็นใบหน้าของคนพวกนั้น พูดคุยหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้เขานึกรังเกียจ ถ้าเป็นปกติ โดยนิสัยแล้วเขาอยากจะเข้าไปตะโกนด่าใส่หน้าคนพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าในความเป็นจริง นี่เป็นงานแต่งงานของน้องชายร่วมสายเลือดตัวเอง เขาไม่สามารถแสดงกิริยาแบบนั้นออกมาได้ ซองจูได้แต่กล้ำกลืนคำด่าที่ไม่สามารถสบถออกมาได้ให้กลับคืนไปอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วจึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ในวงล้อมของแขกผู้ร่วมงาน 

 

 

“แม่ครับ คุณลุงมาถึงแล้วนะครับ ท่านเอาแต่ถามหาแม่มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แม่ไปกับผมหน่อยได้ไหมครับ” 

 

 

“อ้าว อย่างนั้นเหรอ อือ งั้นก็ไปกันเถอะ” 

 

 

แม่แสดงความยินดีออกมาทางสีหน้า ทันทีที่ได้ยินว่าพี่ชายตนมาถึงแล้ว ซองจูจึงกันตัวท่านออกไป ก่อนจะหันกลับไปยังบรรดาคุณผู้หญิงที่จับกลุ่มนินทาอยู่ก่อนหน้านี้  

 

 

“ถ้างั้นก็เชิญคุยเรื่องที่ค้างอยู่ต่อเถอะครับ” 

 

 

พูดเหน็บแนมออกไป พร้อมส่งเสียงหัวเราะหึๆ บรรดาคุณผู้หญิงทั้งหลายที่เมื่อครู่ยังคงเสแสร้งทำตัวสูงส่งพวกนั้น ถึงกับหน้าเจื่อนลงในทันที ซองจูก้มหัวให้คนพวกนั้นเล็กน้อย ก่อนจะออกเดินนำไปข้างหน้า พาผู้เป็นแม่ไปพบคุณลุงที่รออยู่  

 

 

‘พวกคนน่าสมเพช มาร่วมงานมงคลของคนอื่นเขา แล้วยังมาพูดจาน่ารังเกียจแบบนั้นได้ มันเป็นคำพูดที่ควรพูดถึงคนที่ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ’ 

 

 

คำก่นด่ามากมายที่ไม่อาจพูดออกมาได้นั้น ซองจูได้แต่พึมพำอยู่ในใจเท่านั้น 

 

 

หลังจากที่สองพี่น้องได้พบหน้ากันในวันนั้น ซองจูก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ เป็นพิเศษที่เกี่ยวกับการแต่งงานของซองฮีอีก แน่นอนว่าซองฮีเองก็ไม่ได้เอ่ยปากขอให้ช่วยหรือขอให้ทำอะไรให้ ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ยังคงเป็นเช่นที่เคยเป็นมา ไม่ได้สนใจกันและกัน ต่างฝ่ายต่างทำเรื่องของตัวเอง ไม่มีการพูดถึงว่าใครจะทำอะไร แม้แต่แม่ที่คิดว่าจะต้องบ่นซองจูนนั่นนี่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเลย ดังนั้นซองจูจึงได้กลับมาอยู่ที่บ้านได้อย่างสบายใจจนถึงวันก่อนงานแต่งงาน 

 

 

แต่ว่าในวันแต่งงานนั้นกลับต่างออกไป อย่างไรเสีย เมื่อเป็นคนในครอบครัวก็คงต้องคอยช่วยงานแน่นอนอยู่แล้ว เขาต้องเชื่อมั่นในตัวเองเช่นเดียวกับที่ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ไม่สิ ไม่ใช่ต้องเชื่อมั่น แต่มันเป็นสิ่งที่ทำได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าการที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้กับน้องชายที่ไม่ลงรอยกัน มันทำให้รู้สึกเหมือนได้สวมบทบาทเป็นพี่ชายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ในที่แห่งนี้ฮันซองจูต้องเป็นพี่ชายที่แสนดี มากความสามารถ แล้วก็ใจดี เหนื่อยชะมัด ให้ตายเถอะ 

 

 

“…รุ่นพี่?” 

 

 

ดังนั้น ถึงตอนนี้จะมีใครบางคนกำลังเรียกเขาอยู่ก็ตาม ตัวเขาก็ไม่ได้รับรู้เลย ยังคงนั่งกุมหน้าอยู่ในมุมหนึ่งของงาน และจดจ่อกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก 

 

 

“รุ่นพี่?” 

 

 

“…อ๊ะ?” 

 

 

เสียงเรียกที่ดังขึ้นอีกเป็นหนที่สองทำเอาเขาตกใจเสียจนใจหาย ทันทีที่หันกลับไปซองจูก็ถึงกับตาเบิกโพลง คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน ใบหน้าหมองหม่นนั่นกำลังจ้องมองมายังเขา 

 

 

“มะ มาด้วยเหรอ” 

 

 

ซองจูฝืนหัวเราะออกมา แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะดูสดใส และเป็นปกติดีในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับเขาแล้ว กลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก แสนทรมาน อีกฝ่ายเองก็คงรู้สึกได้เช่นกัน จึงได้แสดงสีหน้าชอกช้ำเช่นนั้นออกมา 

 

 

“คงจะไม่อยากคุยด้วยสินะครับ”  

 

 

“ปะ เปล่า ฉันแค่รู้สึกเพลียๆ น่ะ” 

 

 

“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ดูเหมือนจะใจเย็นขึ้นนะ ทั้งที่เคยเป็นพวกที่ต่อให้ปล่อยหมัดออกมาแล้วก็ยังไม่ยอมใจเย็นลงแท้ๆ พออายุมากขึ้นก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วยงั้นสินะครับ” 

 

 

“วิเคราะห์พอหรือยัง…นายเองใช่ว่าจะนิสัยดีสักเท่าไรนะ” 

 

 

“นั่นมันแค่กับรุ่นพี่หรือเปล่าครับ” 

 

 

บทสนทนาที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนิทสนมกันหรือไม่ จบลงด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆ เลือนรางไป ทั้งสองจ้องมองกันและกันอยู่พักใหญ่ 

 

 

รูปร่างที่ดูจะเพรียวกว่ากันเล็กน้อย สวมใส่ชุดสูทเนื้อดี ผมที่ดูจะยาวขึ้นกว่าเมื่อก่อนถูกมัดรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย ทุกสิ่งช่างรับกันดีกับใบหน้าแสนงดงามนั่น แม้อีกฝ่ายมักจะอยู่ในภาพลักษณ์ที่ดูดีอยู่ตลอด แต่นั่นก็แค่ภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้น ตัวตนของผู้ชายตรงหน้าที่ทั้งจิตใจคับแคบและมีนิสัยเลวร้ายนั่น มันลดทอนความงดงามของใบหน้าไปจนหมดสิ้น ซองจูถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก 

 

 

“ผมนายยาวขึ้นมากเลยนี่” 

 

 

คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายเอื้อมไปจับหลังคอด้วยใบหน้าที่ดูเคอะเขิน 

 

 

“อืม จะให้ไปร้านทำผมมันก็น่ารำคาญ…ยังไงซะที่ร้านก็ต้องจัดการให้อยู่แล้ว ก็เลยปล่อยมันยาวไปแล้วค่อยมัดเอาน่ะครับ” 

 

 

“ร้าน? นายเปิดร้านงั้นเหรอ?” 

 

 

“เปล่าครับ ผมไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นหรอกครับ ผมมันแค่มนุษย์เงินเดือนเอง” 

 

 

“ก็เมื่อกี้นายเพิ่งพูดแบบนั้นออกมาเองนี่” 

 

 

“บ้านก็ไม่มี สมบัติอะไรก็ไม่มีแบบผมเนี่ย คงไม่มีปัญญาเปิดร้านใจกลางกรุงโซลหรอกครับ” 

 

 

“ฉันเปิดร้านให้เอาไหมล่ะ” 

 

 

เมื่อคำพูดทีเล่นทีจริงนั่นหลุดออกมา สีหน้าของอีกฝ่ายก็เริ่มเผยให้เห็นความไม่พอใจ ซองจูจ้องมองร่างอันคุ้นเคย มองสบตาคู่นั้นที่หงุดหงิดจนแทบระเบิดออกมา แล้วน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกก็ดังขึ้น 

 

 

“มุนเซจอง นายมาทำอะไรที่นี่” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น อีกคนก็วาดรอยยิ้มเจิดจ้าขึ้น แสบตาชะมัด 

 

 

“มาแล้วเหรอ?” 

 

 

“ฉันถามว่ามาทำไรแถวนี้ ตามหาอยู่ตั้งนาน” 

 

 

“ฉันกำลังทักทายรุ่นพี่ซองจูน่ะ” 

 

 

เพียงได้เห็นอีกคนยิ้มแฉ่งขณะที่คุยจ้อกับผู้มาใหม่แบบนั้นแล้วก็พาลหมั่นไส้ รอยยิ้มแบบนั้น ต่อให้เป็นเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยได้รับมัน และนั่นทำให้ในวันนี้อีกคนดูอ่อนหวานขึ้นไปอีก 

 

 

ซองจูซึ่งกำลังคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัวนั้น ถูกน้ำเสียงทุ้มต่ำเรียกให้สติที่หลุดลอยกลับคืนมาอีกครั้ง 

 

 

“อ๊ะ ฮันซองจู?” 

 

 

น้ำเสียงเช่นนั้น ทำให้หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่นขึ้นกว่าเดิม 

 

 

“เอ๋ นี่มันใครกันเนี่ย คนแบบที่ไม่ควรได้เจออีกเป็นครั้งที่สองนี่ ใครกันนะ? คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะมาด้วยตัวเองแบบนี้ พีดีคิมจีฮุน” 

 

 

ซองจูแสดงความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายออกมาอย่างเต็มที่ 

 

 

เพราะตรงนี้เป็นมุมอับจึงไม่เป็นที่สังเกตของใคร หากเผยนิสัยที่แท้จริงของตัวเองออกมาคงจะไม่เสียหายอะไร และมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเสแสร้งต่อหน้าคนพวกนี้ เพราะอย่างไรเสีย คนๆ นี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นซองจูจึงได้พูดจาเหน็บแนมอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น 

 

 

“ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าท่านประธานคิมจีฮุนใช่ไหม ได้ยินว่าเปิดบริษัทโปรดักชั่นแล้วนี่ ตำแหน่งใหญ่โตเสียขนาดนี้ อนาคตคงต้องระวังท่าทีซะแล้วสิ” 

 

 

“นี่คุณ? ผมไม่รู้หรอกนะว่าไปได้ยินมาจากไหน แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง” 

 

 

“มันจะไม่ใช่เรื่องจริงได้ยังไง ข่าววงในก็แพร่ออกมาซะขนาดนั้น” 

 

 

“ไม่ใช่คนแวดวงเดียวกันด้วยซ้ำ บางทีอาจจะเป็นข่าวลือจากพวกที่ชอบซุบซิบนินทาก็ได้” 

 

 

“อย่ามัวมาสนใจเรื่องไร้สาระเล็กน้อยพวกนั้นกันเลยครับ อุตส่าห์ได้เจอกันที่นี่ทั้งที ผมไม่ยักรู้ว่าคุณสนิทกับน้องชายผมด้วย” 

 

 

แม้จะพูดเหน็บแหนมออกมาขนาดไหน คิมจีฮุน พีดีสารคดีมากพรสรรค์คนนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการฉุนเฉียวออกมาแม้แต่น้อย ถ้าได้ลองร่วมงานกันก็จะพบเจอกับความจริงทุกอย่าง เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้หมอนั่นหวั่นไหวเลยสักนิด ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้ดีว่าถ้าทำแบบนี้เท่ากับยั่วโมโหเขา แต่ถึงจะรู้ ซองจูก็ยังคงฟังเสียงทุ้มต่ำนั่นเอ่ยออกมา 

 

 

“ไม่ได้มาเจอนายก็แล้วกัน ฉันแค่มาแสดงความยินดีกับซองฮีเท่านั้น” 

 

 

“คิมจีฮุน…” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด