(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 2-6

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter 2-6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 2-6 แผลฉกรรจ์

 

 

 

 

ท้ายที่สุดดงฮยอนก็ไม่ยอมพูดออกมาว่าเรื่องอะไร ได้แต่บอกให้ซองจูมาหาเท่านั้น อยากจะทำเป็นไม่แยแส แต่พอบอกออกมาว่าถ้าไม่ใช่เขาก็คงจะไม่ได้นั้นมันทำให้ไม่สบายใจอย่างไรก็ไม่รู้ ซองจูขมวดคิ้วแล้วยกแก้วในมือขึ้นมาช้าๆ น้ำแข็งในแก้วชนแก้วเบาๆ จากนั้นเขาจึงเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 

 

 

“สองทุ่ม อย่าช้าละ” 

 

 

[อะไรกัน มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันเสียหน่อย ตกลงมาแน่ใช่ไหม] 

 

 

“ไปสิ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไร้สาระละก็พี่ตายแน่” 

 

 

[ไม่ใช่แน่นอน แล้วเจอกัน] 

 

 

ดงฮยอนหัวเราะคิกคักออกมา ก่อนจะวางสายไป 

 

 

ซองจูจ้องมองไปยังโทรศัพท์ที่หน้าจอดับลงแล้วด้วยสายตาที่ชวนให้ผวา ในเวลาเดียวกันนั้น จองอูที่จัดการทุกอย่างในครัวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินถือแก้วกาแฟเข้ามาข้างๆ ซองจูอย่างเงียบๆ  

 

 

“มีเรื่องอะไร ทำไมทำเสียงสูงซะขนาดนั้น” 

 

 

“…เรื่องอะไรงั้นเหรอ รู้สึกจะสนใจเรื่องของฉันไปหมดเลยนะเนี่ย” 

 

 

ซองจูเบนสายตาขึ้นเหม่อมองไปยังจองอูที่ยืนอยู่ ด้วยส่วนสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรนั่น ทำเอาเขาปวดคอขึ้นมานิดๆ แล้ว 

 

 

“ทำไม?” 

 

 

“นั่งลงสิ ปวดคอแล้วเนี่ย” 

 

 

สีหน้าเขามันดูไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ ซองจูสั่งให้จองอูซึ่งเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ให้นั่งลง แล้วจึงยกกาแฟขึ้นมาดื่ม เพราะรสชาติที่ถูกอกถูกใจทำให้ใบหน้าที่บูดบึ้งก่อนหน้านี้มีรอยยิ้มออกมา 

 

 

“อร่อยดีแฮะ นี่ไม่ได้ใส่อะไรลงไปจริงๆ เหรอ” 

 

 

“นายควรจะหัดเชื่อคำพูดที่คนอื่นเขาพูดบ้างนะ” 

 

 

“ไอ้นี่ พูดจาได้น่า…” 

 

 

ถึงแม้จะไม่ชอบใจกับท่าทางที่ชอบพูดจาแข็งทื่อขัดเขาไปเสียทุกเรื่องของจองอู แต่ซองจูก็ยังหัวเราะให้กับท่าทางนั้น แม้จองอูจะไม่ได้เป็นคนประเภทใส่ใจกับการบ่นพึมพำของเขา แต่เขากลับเคยชินเสียแล้วกับการพูดคุยแบบนี้ ซองจูค่อยๆ ฝังตัวลงพิงกับโซฟา และจิบกาแฟอย่างเอื่อยเฉื่อย 

 

 

“มาพูดเรื่องเมื่อกี้ให้จบเถอะ” 

 

 

“เรื่องอะไร” 

 

 

“เรื่องกาแฟแบบของนายไม่ใช่แบบที่ฉันชอบนั่นน่ะ แบบที่ฉันชอบมันแบบไหนกัน” 

 

 

“อ้อ เรื่องนั้น…” 

 

 

จองอูที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นของซองจูถึงกับต้องก้มหน้าลงซ่อนสีหน้าเก้อเขิน พร้อมกับวางแก้วกาแฟที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ 

 

 

“ก็ไม่มีอะไรหรอก” 

 

 

“ก็นั่นแหละ ไอ้ที่ว่าไม่มีอะไรน่ะ มันคืออะไรล่ะ” 

 

 

ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปอย่างคลุมเครือแบบนี้ เจ้าตัวจึงได้ลองถามออกมาอีกครั้ง จองอูถึงกับมีสีหน้าละล้าละลัง แล้วจึงเอ่ยปากตอบกลับไปอย่างลังเล 

 

 

“ไม่มีอะไรจริงๆ แค่มันจะเหมือนพวกถั่ว ช็อกโกแลต หรือเบอร์รี่เท่านั้นแหละ” 

 

 

“หมายถึงมีกลิ่นแบบนั้นออกมาจากกาแฟเหรอ” 

 

 

“อืม เฉพาะกับเมล็ดกาแฟสดน่ะ” 

 

 

“ก็ธรรมดานี่ ทำไมถึงคิดว่าฉันไม่ชอบของพวกนั้นล่ะ” 

 

 

“นายไม่กินหวาน” 

 

 

หมอนี่เป็นผีหรือไงกัน 

 

 

ซองจูถึงกับเดาะลิ้นออกมาเมื่อได้รับคำตอบอันน่าตกใจจากจองอู อยากรู้นักว่าอีกคนไปรู้ไปเห็นอะไรมาจากไหน แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถาม จึงเลือกจิบกาแฟเข้าไปอึกนึงแทนเสีย 

 

 

คิมจองอูนี่แปลกชะมัด 

 

 

ไม่หือไม่อือ ไม่สนใจ ทำอย่างกับเขาเป็นสิ่งของ แต่กลับรับรู้เรื่องราวสำคัญๆ ได้เป็นอย่างดี ถึงจะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปก็เถอะ แต่กลับทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเสียได้ ซองจูไม่คิดว่าคนๆ นี้ก็มีมุมอ่อนโยนด้วยเหมือนกัน 

 

 

ตอนแรกเขาคิดว่าอีกคนเป็นแค่แขกไม่ได้รับเชิญที่โผล่เข้ามาในห้องเขาอย่างกะทันหัน แล้วยังมาแย่งคนรอบตัวของเขาไปอีก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขามองอีกคนเปลี่ยนไปแบบนี้ คิดดูแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่เหมือนกัน ซองจูได้แต่ยกกาแฟขึ้นดื่มติดๆ กัน 

 

 

มันช่างน่าประหลาดใจที่เขายอมกระทั่งให้อีกคนเขามาอยู่ข้างๆ เสมอแบบนี้ หากจะคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเซจอง ก็พาลให้ความโกรธปะทุขึ้นมาอีก แต่ว่าหลังจากได้พบกับจองอู ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าจองอูได้เปิดประตูหัวใจที่ปิดตายมาตลอด แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามา แต่ซองจูก็แค่แกล้งไม่รับรู้ว่าจองอูได้ใช้ความเมินเฉย ความอ่อนโยนที่หยาบกระด้างนั่น กอบกุมหัวใจของเขาเอาไว้ได้แล้วเท่านั้น 

 

 

“นี่ มีแค่กาแฟรึไง ของกินอย่างอื่นไม่มีเหรอ” 

 

 

“นายไม่ใช่พวกชอบกินจุกจิกนี่” 

 

 

“ไอ้นี่ พูดอะไรก็ขัดไปซะหมดเลยนะ!” 

 

 

อุตส่าห์คิดจะพูดแหย่อีกฝ่ายขำๆ กลายเป็นว่าจองอูไม่เล่นด้วยง่ายๆ ทันทีที่ซองจูทำท่าโมโหใส่อีกฝ่าย ก็กลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเสียอย่างนั้น 

 

 

“หยุดหัวเราะเลยนะ” 

 

 

ดวงตาอดหลับอดนอนนั่นเหลือบมองไปที่อีกฝ่าย แล้วจึงจิบกาแฟอีกครั้ง พยายามฝืนข่มรอยยิ้มที่จะเผยออกมาบนริมฝีปาก ชำเลืองมองไปยังคนข้างๆ แล้วก็ไม่กล้าที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีก ได้แต่ก้มหน้าลงเท่านั้น ภาพไหล่ที่สั่นไหวก็ปรากฎเข้ามาในสายตาของเขา 

 

 

“เวรเอ๊ย ฉันยอมแล้ว เชิญนายหัวเราะจนเป็นบ้าได้เลย” 

 

 

ซองจูพึมพำออกมาแล้วจึงฝังตัวเองเข้ากับโซฟา 

 

 

“หึ้ย หัวเราะออกมาเลยสิ!” 

 

 

อุตส่าห์ข่มความอายตะโกนออกไปแบบนั้น แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมหัวเราะออกมาแม้แต่น้อย จึงทำให้รู้สึกหัวร้อนขึ้นไปอีก ขณะที่กำลังขบคิดว่าเขาต้องทำอย่างไรกับอีกคนดี แต่สุดท้ายแล้วซองจูก็ตระหนักได้เพียงว่าเขาไม่ควรถือสาอะไรกับจองอู 

 

 

“เฮอะ ช่างเถอะ ยังไงซะนายก็ชงกาแฟให้ ฉะนั้นฉันจะอดทนไว้ก็แล้วกัน” 

 

 

ซองจูบ่นพึมพำออกมาก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม น้ำแข็งที่เริ่มละลายกระทบก้นแก้วส่งเสียงแกร็งๆ ออกมาให้ได้ยิน ซองจูเอ่ยปากเสียงเบาออกมาอีกครั้ง 

 

 

“นี่” 

 

 

“ทำไม” 

 

 

“ทำไมนายถึงได้มาเป็นพวกเต้นกินรำกินล่ะ” 

 

 

จองอูขมวดคิ้วให้กับคำถามนั้นทันที 

 

 

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วมั้ง ว่าฉันเป็นพวกเต้นกินรำกิน นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ” 

 

 

“นายกับฉันจะอยู่ระดับเดียวกันได้ยังไง” 

 

 

ซองจูพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มออกมา ลองคิดดูแล้วท่าทางนั้นมันก็เหมือนเด็กๆ แต่ก็ยังมีความจริงใจแฝงอยู่เล็กน้อย ใบหน้าของจองอูที่มองมายังซองจูนั้นดูแปลกพิกล มันไม่ได้โกรธเกรี้ยว แต่ออกไปทางเวทนาจนหมดคำจะพูด  

 

 

“นายนี่นะ ไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าพี่ซองฮีอีก” 

 

 

เส้นเลือดบนหน้าผากของซองจูถึงกับเต้นตุบๆ กับคำพูดนั้น 

 

 

“แล้วยังไง มันยังไง หา? นี่! แล้วทำไมทีฮันซองฮีเรียกพี่ แต่กับฉันเรียกนาย! ฉันน่ะ แก่กว่าไอ้บ้านั่นตั้งสองปีเลยนะ!” 

 

 

“เขามีความเป็นพี่ก็ต้องเรียกพี่สิ” 

 

 

จองอูที่แสดงท่าทางเหมือนเขาถามคำถามนี้ทำไม ในเมื่อนั่นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ทำให้ใบหน้าของซองจูร้อนผ่าวขึ้นมาทันที 

 

 

“ถึงจะไม่รู้ว่านายมีปัญหาอะไรกับพี่ซองฮี แต่ก็อย่าไปทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นละ” 

 

 

“ไม่ให้ฉันไปทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นงั้นเหรอ” 

 

 

“ฉันก็เป็นคนอื่นไม่ใช่หรือไง” 

 

 

ซองจูถึงกับสงบปากกับคำโต้กลับของจองอู พูดอะไรออกไป ก็ถูกโต้กลับมาจนหมดคำจะเถียงต่อแล้ว ความสามารถแบบนั้นของอีกคนทำเอาเขาหงุดหงิดอย่างที่สุด เวลาที่อีกคนทำแบบนั้นมันดูคล้ายกับซองฮี แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องความแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องสไตล์การพูด ซองฮีจะชอบพูดเหน็บแนมต่ออีกสักคำสองคำ ซึ่งมันทำให้ซองจูโมโหแทบคลั่ง แต่จองอูจะพูดแต่ความจริงแบบทะลุกลางปล้อง ให้เขาต้องหุบปากเพราะเถียงไม่ออก นั่นแหละคือสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก 

 

 

“พอได้เปิดปากก็ทำตัวหยาบคายเหมือนฮันซองฮีไม่มีผิด มาอาศัยเขาแท้ๆ…” 

 

 

สุดท้ายที่ซองจูสามารถทำได้ก็เพียงแค่การบ่นพึมพำออกมาเท่านั้น หากเป็นซองฮีคงจะก่อกวนกลับตามนิสัย ให้อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์โกรธออกมา แต่ว่าพอเป็นจองอู ตัวซองจูรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณว่า การก่อสงครามกับอีกฝ่ายที่อยู่ร่วมห้องกัน หากเพียงแสดงท่าทีดื้อดึงออกมา คนที่สุดท้ายจะไม่เหลืออะไรก็คือตัวเขาเอง 

 

 

“ถ้าไม่พอใจก็ไล่ออกไปเลยสิ” 

 

 

“แล้วถ้านายตอนกลับมาว่าไม่ยอมย้ายล่ะ ต้องให้ข่มขู่เลยไหม” 

 

 

“ที่ทำอยู่นี่ก็เรียกว่าข่มขู่แล้ว เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ สักที” 

 

 

จองอูพูดออกมาแบบนั้น แล้วจึงคว้าแก้วกาแฟของตัวเองที่วางไว้ขึ้นมาถือ 

 

 

เจ้าตัวดื่มกาแฟที่เริ่มเย็นชืดแล้วเข้าไปอึกหนึ่ง กลิ่นดินอ่อนๆ และกลิ่นโกโก้ที่ติดอยู่ที่ปลายจมูกค่อยๆ เจือจางไป จองอูค่อยๆ เอนตัวพิงโซฟาตามซองจู ผละริมฝีปากออกจากแก้ว 

 

 

“ทำไม่ต้องไม่ชอบใจขนาดนั้น เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ พี่ซองฮีก็ไม่ใช่คนเลวร้ายสักหน่อย” 

 

 

เสียงเอ่ยถามที่แม้จะแผ่วเบาแต่กลับชัดเจน ซองจูจึงทำเช่นเดียวจองอู เขาผละริมฝีปากออกจากแก้วกาแฟที่ถืออยู่ในมือช้าๆ  

 

 

น้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งผสมเข้ากับกาแฟเกิดเป็นริ้วไหวแปลกประหลาด ราวกับสีขาวและสีดำที่ถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน มันกระเพื่อมไหวเป็นวงคลื่นไปตามการขยับของซองจู คล้ายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ จากคนแปลกหน้าที่ไม่มีทางมาบรรจบกันได้ กลับค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้กันโดยที่คนทั้งสองไม่ได้คาดคิด แม้จะดูแปลกประหลาด แต่กลับไม่ได้อึดอัดอะไร 

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่า เริ่มคุ้นชินกับอีกฝ่ายได้อย่างไร เพียงแค่ตอนนี้ก็ไม่ได้เกลียดอะไรอีกแล้ว ซองจูเปิดปากออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบไง แล้วนายจะมาก้าวก่ายเรื่องครอบครัวคนอื่นทำไมกัน” 

 

 

“งั้นเหรอ” 

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้ามีคนอื่นมาจัดการเรื่องครอบครัวนายตามใจชอบ นายจะชอบใจหรือไง” 

 

 

“ฉันไม่มีครอบครัวก็เลยไม่รู้ ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” 

 

 

“อ๊ะ เอ่อ…” 

 

 

คำขอโทษที่ถูกส่งออกมา ทำให้ซองจูปิดปากไม่พูดอะไร แล้วยกกาแฟอึกสุดท้ายขึ้นดื่ม ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา 

 

 

บทสนทนาที่จู่ๆ ก็เงียบหายไป ทำให้ภายในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงความเงียบงัน แม้รู้ว่าควรจะต้องเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป แต่ริมฝีปากกลับไม่ยอมขยับเลยสักนิด สายลมที่พัดเข้ามาเป็นครั้งคราวทางหน้าต่างที่ถูกเปิดอ้ากว้างเอาไว้นั้นเฉียดผ่านคนทั้งคู่ที่นั่งชิดติดกัน ก่อนจะสลายไป 

 

 

เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และสายลมเย็นสบาย อีกทั้งอุณหภูมิอบอุ่นที่ส่งผ่านออกมาจากต้นขาที่แนบชิดกันนั้น พาให้รู้สึกดี ซองจูจึงหลับตาลงก่อนจะเปิดปากพูดอีกครั้ง 

 

 

“ดนตรีมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันไม่เคยเข้าใจพวกที่ใช้ชีวิตกับการหลงใหลอะไรแบบนั้นเลยสักนิด” 

 

 

สุ้มเสียงทุ้มต่ำดังแผ่วเบาราวกับกำลังท่องบทสวด จองอูเพียงชำเลืองตามองเจ้าของเสียงพูดที่อยู่ข้างๆ ขณะที่ซองจูกำลังหลับตาและบดเบียดตัวไปกับโซฟานั้น ใบหน้าของอีกคนดูสงบนิ่งอย่างมาก เขาเพียงจ้องมองใบหน้างดงามของอีกฝ่าย โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบียดตัวเข้ากับโซฟา และหลับตาลงดังเช่นที่ซองจูทำ 

 

 

“ตอนเด็กๆ น่ะ” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด