(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 3-4

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter 3-4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 3-4 ความสับสน

 

 

 

 

เมื่อเขาขยับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกะทันหัน ร่างกายที่มีแต่เหล้าและบุหรี่ก็เริ่มส่งสัญญาณประท้วงออกมา ฝืนทนกับลมหายใจที่ตีตื้นขึ้นมา ก่อนจะขยับช่วงขาอย่างรีบร้อน จนภาพด้านหลังของผู้ชายคนนั้นปรากฎขึ้นอีกครั้ง ช่วงขาเรียวยาว ผอมเพรียวแต่กลับบึกบึน สวมเสื้อผ้าสีดำแบบนั้นยิ่งทำให้ดูเหมือนคิมจองอูเข้าไปอีก ส่วนสูงที่เตี้ยกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย รวมถึงทรงผมที่ดูจะสั้นไปสักหน่อยนั่น ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย สีดำทำให้ส่วนสูงดูเตี้ยลงได้ หากอีกคนตัดผมก็คงไม่ต่างจากนี้ แค่ปล่อยผมข้างหน้าให้ยาวเพื่อปิดบังแผลเอาไว้ก็ได้ ผมข้างหนังสั้นก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ซองจูคิดหาเหตุผลให้ตัวเองเช่นนั้น ก่อนจะไล่ตามผู้ชายคนนั้นอย่างสุดชีวิต 

 

 

ด้วยช่วงขายาวทำให้ผู้ชายคนนั้นขยับก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความพยายามวิ่งไล่ตามอย่างสุดชีวิต จึงทำให้ระยะห่างค่อยๆ ร่นลงมา ผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินไปทางมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ไกลออกไป ในวินาทีนั้นเอง ที่ตัวเขาวิ่งเข้าไปใกล้ อีกคนก็หันขวับกลับมา 

 

 

“เฮ้ย!” 

 

 

ซองจูหยุดฝีเท้าลงทันทีด้วยความตกใจ ผู้ชายคนนั้นระบายยิ้มสดใสบนใบหน้า มองไปทางกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่อยู่แถวๆ นั้น แม้ว่าเขาจะพอรู้สึกได้รางๆ ตั้งแต่ที่ไล่ตามมาแล้วก็ตาม คนๆ นั้นไม่ใช่จองอู 

 

 

ซองจูยืนเหม่อนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น 

 

 

แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ แต่เพราะความรู้สึกที่คิดว่าอาจจะเป็นไปได้ มันทำให้เขาไม่ยอมรับ จองอูที่หายไป แล้วทิ้งเขาไว้เช่นนี้ ช่างเป็นคนที่นิสัยไม่ดีเอาเสียเลย ตอนนี้กระทั่งน้ำตาก็แห้งเหือด ไม่มีให้ไหลออกมาอีกแล้ว ใครบางคนเดินผ่านเข้ามา ชนกระแทกเข้าที่ไหล่ของซองจูที่ยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวกลางซอยแคบๆ นั่น ร่างกายที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวัน ถึงกลับเซจะล้ม เพียงเพราะแค่การกระทำที่เล็กน้อยนั่น ซองจูที่พยายามทรงตัวกลับมาอย่างยากลำบาก ยังคงพยายามมองหาร่องรอยของผู้ชายที่หายไปแล้ว เขารู้สึกได้ว่าคนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ เริ่มแอบชำเลืองมองมา 

 

 

ซองจูไม่ได้ขยับออกไปจากตรงนั้น แม้เขาจะรู้ดีว่าอาจจะถูกใครสักคนแอบถ่ายภาพเขาในสภาพยืนเหม่อไร้สติอยู่ที่นี่ แล้วเอาไปอัปโหลดลงบนโซเชี่ยล พร้อมข้อความวิจารณ์ในทางไม่ดี จนมันกลายเป็นกระแสในทางลบออกมาได้ ทั้งที่รู้ความจริงข้อนั้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมออกไปจากตรงนั้น มันเหมือนกับว่าหากเขาไปจากที่นี่ เขาอาจจะไม่ได้เจอจองอูอีกเป็นครั้งที่สอง เขาทำเพื่อความสำเร็จของตัวเองอยู่เสมอ ฮันซองจูที่ตกประหม่า เขาจะยอมแพ้กับตัวเองที่เป็นถึงขนาดนี้ได้ไหมนะ ซองจูที่มีท่าทางหายใจติดขัด ค่อยๆ ขยับก้าวเท้าต่อไป 

 

 

ไม่ควรมาที่นี่เลย เขาควรฟังคำพูดของเซจุน ใบหน้าของซองจูแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเอง ที่มันช่างดูหม่นหมอง 

 

 

 

 

 

ซองจูไปจนถึงที่นั่นแต่ก็ยังไม่เจอจองอู สภาพของเขาจึงไม่ต่างอะไรจากคนป่วยหนักเกินเยียวยา เขาไม่มีความกล้าที่จะไปตามหาอีกคนที่นั่นอีกแล้ว ดงฮยอนมาที่ห้องเพื่อมาเช็คดูว่า ซองจูที่เอาแต่กินเหล้า สูบบุหรี่ยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วเจ้าตัวก็ถึงกับต้องส่ายหน้าไปมา เมื่อสภาพของซองจูมันดูย่ำแย่กว่าเขาคิดเอาไว้เสียอีก 

 

 

“นายกินข้าวบ้างไหมเนี่ย” 

 

 

“ถ้าไม่คิดจะช่วยก็กลับไปซะ” 

 

 

“ที่จริงแค่เห็นข้าวกับโจ๊กที่ยังอยู่ในตู้เย็นสภาพเดิมก็พอจะรู้อยู่หรอก ไอ้เจ้านี่ ถ้านายยังเป็นแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องขึ้นมาหรอก ถึงจะกลุ้มใจแค่ไหนก็ต้องกินอะไรซะบ้างไม่ใช่หรือไง” 

 

 

“ออกไปเดี๋ยวนี้!” 

 

 

อีกคนที่มีสภาพไม่สู้ดีนัก พยายามใช้แขนที่ไร้เรี่ยวแรงขว้างหมอนออกไปอย่างสุดแรง แต่ยังไม่ทันที่จะสัมผัสโดนดงฮยอน หมอนก็ร่วงตกลงบนพื้น ทำให้เกิดเพียงฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาเท่านั้น ดงฮยอนที่ยืนพิงกรอบประตูห้องนอน ทอดสายตามองมาที่ซองจูซึ่งเอาผ้าห่มมาคลุมมิดทั้งตัวอย่างกับต้องการประท้วง ก่อนจะถอนหายใจออกมา 

 

 

“เฮ้อ…ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ แต่หมอนั่นก็ไม่อยากให้ฉันตามหาเจอเหมือนกัน จะให้หายังไงล่ะ หมอนั่นเล่นตัดขาดการติดต่อทุกทางซะขนาดนั้น” 

 

 

“ยังไงพี่ก็ต้องตามหาได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” 

 

 

ซองจูเชื่อว่าอย่างไรเสียดงฮยอนก็ต้องตามหาจองอูจนเจอได้ ไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรมาเชื่อมั่นได้ขนาดนั้น ที่จริงการที่จองอูหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ไม่ได้บอกอะไรเขาเลยแบบนี้ มันนับเป็นครั้งแรกเลยล่ะ ตัวดงฮยอนเองก็รู้สึกรับมือไม่ถูกด้วยเช่นกัน 

 

 

แต่สิ่งนี้มันก็เทียบไม่ได้เลยกับจองอูที่ต้องใช้ชีวิตจมปลักอยู่แบบนั้น ดงฮยอนคิดว่าหากอีกคนจัดการกับความคิดของตัวเองได้แล้ว ก็คงจะติดต่อเขามาอีกครั้ง 

 

 

ปัญหาตอนนี้ก็คือซองจู แม้ว่าไม่อาจเทียบกับจองอูได้เลย แต่ฮันซองจูที่ได้รู้จักมานานพอตัวก็ไม่ใช่คนแบบนี้ แม้แต่ในตอนที่เซจองจากไป เขาก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของอีกคนเลยสักครั้งเดียว ไม่ได้มีท่าทางแตกสลายแบบนี้เลยด้วยซ้ำ คนแบบนั้นไม่รู้ทำไมถึงได้ยึดติดกับคิมจองอูได้ถึงขนาดนี้ 

 

 

ก่อนหน้านี้ เขาเคยลองถามหาเหตุผลที่อีกคนเป็นถึงขนาดนี้ ในตอนนั้นดวงตาสีน้ำตาลสุกใสของซองจูดูวูบไหว สุดท้ายก็พึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

‘ถ้ารู้ผมจะเป็นแบบนี้เหรอ?’ 

 

 

คำตอบนั้นทำให้ดงฮยอนได้รู้ว่า ซองจูกำลังป่วยเป็นโรคตรอมใจเสียแล้ว 

 

 

ซองจูเคยชินกับการใช้ชีวิตในกรอบที่สร้างขึ้น เพื่อให้เป็นที่พอใจของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะอึดอัดกับเรื่องนั้น แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว เมื่อโอกาสที่จะก้าวออกมาจากรอบนั้นได้มาถึง อีกคนกลับเตะมันทิ้งไปด้วยตัวเองเสมอ 

 

 

การเติบโตมาด้วยความคาดหวังของพ่อแม่ มันเป็นการใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน ทรัพย์สินมากมายและตำแหน่งในสังคมพวกนั้น ไม่ง่ายเลยกับการต้องรองรับความอิจฉาริษยาของคนอื่น ทันทีที่เกิดมาเขาก็ได้รับทุกอย่างที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในสังคมประเทศเกาหลี มันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเตะมันทิ้งไปด้วยเท้าของตัวเอง เพียงแค่ทำตามที่พ่อแม่จัดเตรียมเอาไว้ ก็สามารถได้รับสิ่งดีๆ มากมายพวกนั้น หากเขายอมทิ้งมันไป มันคงไม่ต่างอะไรกับคนโง่เขลา  

 

 

ในความคิดของดงฮยอน ซองจูใช้ชีวิตด้วยการเสแสร้งอยู่ระหว่างการมีชีวิตและไร้ชีวิตมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างคนอื่นได้ดี ดังนั้นจึงทำให้เจ้าตัวยึดติดกับจองอู 

 

 

 

 

 

แต่เมื่อสองคนตกหลุมรักกัน วิกฤตนี้ก็เริ่มต้นขึ้น 

 

 

 

 

 

เขายอมรับว่าความคิดของเขามันผิด ก่อนจะยกยิ้มเย้ยหยันตัวเองออกมา ถึงอย่างไรในเร็ววันนี้ ถ้ายังตามหาจองอูไม่เจอ เห็นทีซองจูคงจะมีสภาพใกล้ตายยิ่งกว่านี้ เขาจะต้องหลีกเลี่ยงก่อนที่มันจะไปถึงขั้นนั้น และจากที่เห็นฮันซองจูมีสภาพเช่นนี้ ในตอนนี้คิมจองอูเองก็คงไม่ได้อยู่ในสภาพที่ปกติอย่างแน่นอน เขาเกาหัวตัวเองไปมา ก่อนจะหันไปพูดกับก้อนผ้าห่มตรงหน้า 

 

 

“แค่หาให้เจอก็พอใช่ไหม” 

 

 

จบประโยคนั้น ก้อนผ้าห่มก็ขยับไหวไปมาอย่างรุนแรง ดงฮยอนกระตุกยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 

 

 

“ถ้าหาเจอแล้ว พวกนายก็ปรับความเข้าใจกัน แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบใช่ไหม ฉันไม่ทำเรื่องที่มันน่ารำคาญหรอกนะ” 

 

 

“…คงงั้น” 

 

 

“ฉันคงส่งตัวลูกชายสุดหวงของฉันให้กับไอ้บ้าที่พูดจาหยาบคายไม่ได้หรอกนะ” 

 

 

“พูดเรื่องสยองอะไรออกมาเนี่ย ถ้าไอ้บ้านั่นเป็นลูกชายพี่ พี่ต้องไปแอบมีลูกตั้งแต่อายุเท่าไหร่กันน่ะ? ไปให้พ้นเลย ผมไม่มีเวลามาฟังพี่พูดไร้สาระแบบนั้นหรอกนะ” 

 

 

“ไอ้นี่ ยังปากดีได้อยู่นี่ คงยังไม่ถึงตายสินะ?” 

 

 

แม้จะดูไร้เรี่ยวแรง แต่ฝีปากก็ยังคงเดิม นั่นทำให้สีหน้าของดงฮยอนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง หากแม้เรื่องร้ายที่เกิดในครั้งนี้ จะใช้เป็นโอกาสที่ทำให้ซองจูโตขึ้นได้ อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีได้เช่นกัน เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง 

 

 

“ฉันไปนะ ฉันไม่มีเวลามาคุยเล่นด้วยแล้ว ต้องไปตามหาเมียของนายก่อน” 

 

 

“จะทำไรก็รีบๆ ทำ” 

 

 

ทันที่ได้ยินเสียงตอบพึมพำจากอีกคนที่ยังคงเอาแต่มุดตัวอยู่ในผ้าห่ม ดงฮยอนก็ค่อยๆ ก้าวออกจากห้องไป 

 

 

ประตูปิดลง พร้อมเสียงประตูล็อกดังปิ๊บปิ๊บแสนน่ารำคาญดังออกมา ซองจูที่ยังอยู่ในผ้าห่มจึงบ่นงึมงำด้วยเสียงเบาออกมา 

 

 

“ไอ้เวรเอ๊ย มันกลับกันต่างหากเล่า” 

 

 

เมื่อบ่นเช่นนั้นออกมาแล้ว มือที่กำผ้าห่มก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น 

 

 

 

 

 

มันก็แค่คำโม้โอ้อวดของดงฮยอนเท่านั้น แม้แต่ร่องรอยของจองอูก็ยังหาไม่เจอ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความอดทนของซองจูก็ยิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ  

 

 

ซองจูไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมาอีกแล้ว 

 

 

มันเลยจุดของความโมโหไปไกลแล้ว ตอนนี้มีเพียงท่าทางของคนที่สิ้นหวัง เมื่อตระหนักได้ว่า หากอีกคนปรากฏตัวออกมา ก็อาจจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเขาก็ได้ เช่นนั้นแล้ว ความหวังที่มีก็ยิ่งลดฮวบลงไปยิ่งกว่าเดิม ซองจูที่กอดขวดไวน์ขวดหนึ่งไว้ตั้งแต่ช่วงหัววัน พาตัวเองเดินเข้าไปในห้องนอน 

 

 

เจ้าตัววางแก้วลงบนโต๊ะหัวเตียง แล้วรินไวน์ลงแก้ว ของเหลวสีแดงในแก้วที่ถือไว้ ถูกแสงแดดส่องกระทบจนเป็นประกายวิบวับ ซองจูคิดว่าไวน์มันช่างดูเหมือนเลือดเสียเหลือเกิน 

 

 

ถ้าปล่อยให้แก้วนี้ร่วงตกลงพื้น แล้วเขากรีดที่ข้อมือตัวเองดู สีที่ออกมามันจะเหมือนกันหรือไม่นะ ความคิดแบบนั้นของตัวเองมันช่างราวกับคนเสียสติเหลือเกิน คิดได้เช่นนั้น พร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา 

 

 

“ฉันคงจะเริ่มบ้าไปแล้วสินะ จบแล้วสินะ” 

 

 

เขาพึมพำเช่นนั้นออกมา แล้วจึงเกี่ยวนิ้วเข้ากับส่วนก้านของแก้วไวน์ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มช้าๆ  

 

 

จิบไวน์เข้าไปอึกหนึ่ง แล้วจึงเอนหลังพิงลงกับหมอน ความอ่อนนุ่มของหมอนขนนกที่โอบอุ้มแผ่นหลังเอาไว้ มันให้ความรู้สึกที่อุ่นและสบาย ช่างต่างกันเหลือเกิน กับความรู้สึกที่ได้รับจากแผ่นหลังของจองอูที่เขายังคงจดจำได้อยู่นั้น 

 

 

หลังจากเสร็จสิ้นการร่วมรักอันหนักหน่วง ซองจูก็มักจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนจองอูก็จะไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวให้ซองจู และบางครั้ง หรือหลายครั้ง ที่อีกคนไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง แล้วก็นอนหลับไปพร้อมกับซองจูแบบนั้น 

 

 

เมื่อซองจูหันหลังกลับไปก็จะพบกับจองอูที่หลับสนิทพร้อมกับกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง ในตอนแรกซองจูเองก็รู้สึกแปลกๆ กับไออุ่นของคนอื่น แต่แล้วเขาก็คุ้นเคยกับมัน และรู้สึกหลับได้อย่างสบายใจในอ้อมกอดของจองอู ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากด้านหลังนั้น แม้จะแข็งกระด้างแต่กลับอบอุ่น การนอนหลับไปแบบนั้นมันทำให้เขาพอใจกว่าที่คิด 

 

 

ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ทำคนเดียวมาตลอด แม่ที่งานยุ่งอยู่เสมอจะฝากซองจูและซองฮีสองพี่น้องเอาไว้กับครูพี่เลี้ยงและแม่บ้าน ผู้เป็นพ่อแม่เข้าบ้านมาในตอนดึกเพื่อตรวจเช็คกิจวัตรในแต่ละวันของพวกเขาพี่น้องเท่านั้น แม้จะอยู่ร่วมกันและคอยเฝ้าดู แต่ว่าก็ไม่ได้มอบความรักให้สองพี่น้องเหมือนอย่างคนอื่นๆ  

 

 

เด็กที่โหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่ ด้วยสภาพแวดล้อมนั้น เด็กจึงเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เย็นชาที่ไม่รู้จักความอบอุ่นของใคร แม้จะมีคนรัก แต่ก็ไม่ได้มอบความรักที่สมบูรณ์แบบให้ไป พยายามปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองขาดไป ด้วยการซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ความหยิ่งทระนงนั้น ซองจูได้ตระหนักแล้วว่า ชีวิตกว่าสามสิบปีของเขา มันคือสิ่งที่ผิดพลาดอย่างที่สุด หากว่าไม่ได้รู้จักกับจองอู แล้วอีกคนไม่ได้หายตัวไป ตลอดชีวิตเขาอาจจะไม่มีทางรับรู้ถึงความรู้สึกนี้เลยก็เป็นได้ 

 

 

ตั้งแต่ตอนนั้น ซองจูก็มีนิสัยบางอย่างเกิดขึ้นมา 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด