(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 4-4

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter 4-4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 4-4 ข้ามผ่าน

 

ไม่มีใครต้องรู้สึกละอายใจกับการทิ้งกระเป๋าสตางค์ใบนั้นอีกแล้ว มันถึงเวลาที่ต้องหยุดดึงรั้งกันและกันได้แล้ว แต่ทว่าพอได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเซจอง ก็ทำให้คิดได้ว่าอีกคนนั้นโตขึ้นมาก ซองจูยิ้มให้กับความคิดตัวเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก 

 

 

“ไม่ต้องเก็บมาคิดมากนักหรอกนะ” 

 

 

“ว่าไงนะครับ” 

 

 

“ก็ที่จงใจไม่ติดต่อมา แล้วยังตอนที่เจอกันก็เอาแต่ทำท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่กันซะขนาดนั้นน่ะ มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ ดีกันเถอะ นายเองก็เจอคนของนายแล้ว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปก็พอ ฉันเองถ้าได้เจอคนๆ นั้นบ้าง มันก็คงจะดีเหมือนกัน” 

 

 

“…รุ่นพี่ไม่ได้คบใครอยู่เหรอครับ” 

 

 

คำพูดที่ไม่คาดคิดแบบนั้น ทำเอาเซจองมีสีหน้าแปลกไป ซองจูที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมา ทำเอาเซจองหลุดอุทานออกมา 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

“ถึงไม่รู้ว่าคนๆ นั้นอยู่ที่ไหน แต่พอฉันบอกว่าจะอยู่กับคนดีๆ นายถึงกับคัดค้านเลยเหรอ” 

 

 

“เฮ้ย ทำไมรุ่นพี่พูดจาแบบนี้ล่ะครับ!” 

 

 

“อะไร? ฉันจะเจอคนดีๆ บ้างไม่ได้รึไง?” 

 

 

“ไม่ใช่แบบนั้นแต่ว่า…มันจริงใช่ไหมครับ เขาเป็นคนแบบไหนเหรอครับ” 

 

 

เซจองที่ดวงตาเบิกโพลงราวกับเรื่องที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องไม่คาดฝันอย่างที่สุด พอเอ่ยปากถามออกมาแบบนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเหมือนสมัยก่อนเลย ซองจูหลุดยิ้มกว้าง พร้อมกับส่ายหน้าไปมา 

 

 

“ไม่อยู่แล้วล่ะ ตอนที่เขายังอยู่ฉันไม่เคยเห็นค่า ตอนนี้ถึงได้หนีจากฉันไปแล้วน่ะ” 

 

 

“ทำตัวไม่ดีขนาดไหนกัน เขาถึงได้หนีไปน่ะครับ” 

 

 

“ก็อย่างนั้นล่ะ ฉันมันเอาแต่ใจตัวเอง ตอนเขาอยู่ข้างๆ กลับไม่เคยรับรู้ถึงความดีของเขาเลย เอาแต่ทำตามใจตัวเอง ทำนิสัยเสีย ทำให้เขาต้องเจ็บปวด เพราะอย่างนั้นถึงได้หนีไป พอเขาหายไปแล้ว ถึงได้เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีขนาดไหน เพราะถึงฉันจะทำตัวไม่ดียังไง ก็ยังอดทนรับข้อเสียของฉันได้” 

 

 

“รุ่นพี่ต้องเปลี่ยนตัวเองในเรื่องนั้นนะครับ ผมเองตอนที่คบกับรุ่นพี่ ก็ไม่ชอบนิสัยแบบนั้นเลย ตอนนี้พอคิดดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทนกับนิสัยเลวร้ายพวกนั้นด้วย เปลือกนอกมันน่ากลัวจริงๆ นะครับ” 

 

 

“ก็นั่นแหละ ครั้งนี้ฉันก็สำนึกผิดได้มากแล้ว” 

 

 

เซจองที่มองไปทางซองจูซึ่งกำลังยกยิ้มอย่างหดหู่ออกมา จึงได้พูดขึ้น 

 

 

“เสียใจจริงๆ ใช่ไหมครับ” 

 

 

“แล้วจะให้เสียใจปลอมๆ รึไง” 

 

 

“จับไว้สิครับ แค่นั้นก็สิ้นเรื่อง” 

 

 

“หา?” 

 

 

“บอกให้จับไว้ เห็นพี่ทำสีหน้าแบบนั้นแล้ว คงจะชอบเขาเอามากๆ เลยไม่ใช่เหรอไงครับ แทนที่จะมัวมานั่งเสียใจก็รีบคว้าเอาไว้ซะ แล้วก็เลิกยึดติดกับอะไรที่มันค้างคาสักที” 

 

 

ซองจูตั้งใจฟังคำพูดของเซจองด้วยสีหน้างุนงง บอกให้จับก็จับได้เลยงั้นเหรอ? เขาตั้งใจฟังคำพูดของเซจองด้วยความสงสัย ไม่สิ เป็นครั้งแรกเลยที่เซจองให้คำปรึกษากับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของซองจูแบบนี้ อย่างกับไม่ใช่เรื่องจริงเลย ซองจูกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา 

 

 

“จับไว้แล้วมันจะดีเหรอ?” 

 

 

“ก็ต้องลองดู ถ้าทางนั้นยังบอกว่าไม่ชอบอีก ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว” 

 

 

“หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันโดนเขี่ยทิ้งแล้ว” 

 

 

“ถ้าอีกคนรู้สึกชอบเหมือนกัน ยังไงก็ต้องกลับมาอีก” 

 

 

“แล้วนายรู้ได้ยังไง” 

 

 

“ก็แค่ มันน่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะครับ” 

 

 

เซจองพูดเช่นนั้น ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง 

 

 

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย หากเป็นเมื่อก่อน ซองจูคงจะเอาแต่ยิ้ม แล้วก็มองเซจองที่อยู่ตรงหน้า หากตอนนี้อีกคนกลับเอาแต่ก้มหน้า แล้วก็กดโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น เซจองค่อยๆ ลอบสังเกตท่าทางเช่นนั้นของซองจูอย่างเงียบๆ 

 

 

บรรยากาศอันหนักอึ้งที่ยากเกินจะควบคุมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมภายในห้อง เซจองจึงพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา 

 

 

“อิจฉานิดๆ แฮะ” 

 

 

ซองจูไม่ได้ตอบอะไรกลับไป 

 

 

 

 

 

“คุยกันแล้วใช่ไหม” 

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับดงฮยอนที่เดินเข้ามา อีกคนที่ออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกมานั้น มีกลิ่นบุหรี่โชยออกมาจากตัวจนรู้สึกได้ 

 

 

ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ซองจูสบถด่าอีกคนออกมาในใจ แล้วจึงจ้องเขม็งไปที่ดงฮยอน 

 

 

“ไม่ได้ไปกินข้าวมาใช่ไหม” 

 

 

“ไม่ ฉันไปกินมื้อกลางวันแสนอร่อยมาต่างหาก” 

 

 

“โกหกชัดๆ ไปกินอะไรที่ไหนกัน” 

 

 

“เอ๊ะ ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ คุณนักแสดงคนเก่ง” 

 

 

“เลิกเสแสร้งสักทีเถอะ! เพราะแบบนี้ไงถึงไม่ค่อยมีใครคบน่ะ” 

 

 

“เลิกพูดเรื่องไร้สาระสักที แล้วนี่พวกนายเคลียร์กันแล้วใช่ไหม” 

 

 

“มีอะไรให้เคลียร์อีกรึไง แค่ให้เป็นอย่างที่เป็นก็พอแล้วนี่” 

 

 

ซองจูพูดเช่นนั้นออกมา ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เซจองมองสองคนสลับไปมา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง 

 

 

“ไปแล้วเหรอ?” 

 

 

“ต้องไปแล้วสิครับ หายออกมาตอนช่วงที่ร้านกำลังยุ่งตั้งนานสองนาน ไม่รู้ข้างนอกจะหัวหมุนขนาดไหน” 

 

 

“วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ ขอบใจนะที่สละเวลามา คราวหน้าก็ชวนประธานคิมมาดื่มด้วยกันสักหน่อยนะ” 

 

 

“รอไปเถอะ รายนั้นน่ะออกนอกสถานที่ทุกวันเลย ยุ่งจนแทบไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว” 

 

 

เซจองพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิดประตู 

 

 

“ผมไปนะครับ รุ่นพี่ก็อย่าเอาแต่เศร้าแบบนั้น ลองพยายามดูนะครับ แล้วก็อย่าลืมกินข้าวด้วย หน้าตอบลงไปตั้งเยอะ” 

 

 

“รู้แล้วน่า รีบไปเถอะ” 

 

 

“ครับ ไปจริงๆ แล้วนะครับ” 

 

 

เซจองทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ  

 

 

เสียง ตึก ดังออกมาเมื่อประตูถูกปิดลงอีกครั้ง ดงฮยอนที่มองไปทางประตูอยู่เมื่อครู่ จึงได้หันกลับมายังซองจู 

 

 

“พยายาม? พยายามอะไร?” 

 

 

“ก็มีแล้วกันน่า” 

 

 

ซองจูตอบออกมาเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะยกกาแฟที่น้ำแข็งละลายไปกว่าครึ่งขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง 

 

 

กาแฟที่เซจองเอามามันก็อร่อยดี แต่ทว่ามันไม่ใช่รสชาติอย่างที่เขาต้องการ 

 

 

สิ่งที่เขาต้องการคือกาแฟที่ใส่น้ำแข็งจนเต็มให้พอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา แล้วก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้กับกลิ่นสดชื่นของเลม่อน 

 

 

“กาแฟก็งั้นๆ” 

 

 

ซองจูพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และได้ตระหนักว่าตัวเขาเคยชินกับรสชาติกาแฟที่จองอูเป็นคนชงให้เสียแล้ว ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความหดหู่ ดงฮยอนที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองจู ก็พาลให้สีหน้าดูครุ่นคิดมากกว่าเดิม 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“แหม ได้ร่วมงานกับคุณนักแสดงฮันแบบนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ นะครับ” 

 

 

“อะไรกันครับ ผมสิครับ ที่ต้องเป็นเกียรติ ตอนที่ถ่ายทำผมคงจะได้เรียนรู้อะไรอีกมากเลยล่ะครับ ผู้กำกับครับ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ” 

 

 

“คุณนี่อ่อนน้อมสมคำร่ำลือจริงๆ เลยนะครับ ผมเองก็จะตั้งตารอวันนั้นเลยนะครับ ยังไงก็ต้องขอฝากตัวด้วยเช่นกันนะครับ” 

 

 

“ครับ วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ ถ้าจัดการเรื่องวันเวลาได้แล้ว ก็ติดต่อมาได้เลยนะครับ” 

 

 

“กลับดีๆ นะครับ พอแก้ไขบทเสร็จแล้ว ผมจะส่งไปให้อีกครั้งนะครับ” 

 

 

“ครับ สวัสดีครับ” 

 

 

ซองจูหันไปค้อมศีรษะเป็นการร่ำลาให้กับชายวัยกลางคนที่ยังคงส่งยิ้มมาให้เขาอยู่ ทั้งดงฮยอนที่มองภาพตรงหน้า ทั้งมินซิกที่เอาแต่คอยเช็คดูเวลาจากมือถือในมืออย่างกระวนกระวายใจ และทั้งยองอุกที่คอยชำเลืองมองมินซิกด้วยสายตาที่ชวนให้อึดอัด ทั้งหมดต่างก็แสดงสีหน้าสดใสออกมาพร้อมๆ กัน พอพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของซองจูที่ระเบียงทางเดินก็พากันถอนหายใจเฮือกออกมาแทบจะในเวลาเดียวกัน 

 

 

“เฮ้อ…ในที่สุดก็ประทับตราเสียที” 

 

 

ยองอุกเข้ามาคว้าคอมินซิกที่กำลังพึมพำคำพูดนั้นออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

“ออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม” 

 

 

“เอ่อ ครับ…” 

 

 

ท่าทางที่น่ากลัวของยองอุก ทำเอาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ดงฮยอนได้แต่มองมินซิกที่ถูกยองอุกลากตัวออกไป ก่อนเจ้าตัวจะวางมือลงบนไหล่ของซองจู 

 

 

“ตอนนี้ถึงเวลาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วนะ มาทำให้ดีไปด้วยกันเถอะ” 

 

 

“ครับ ฝากตัวด้วยนะ” 

 

 

ซองจูตอบกลับดงฮยอนอย่างตรงไปตรงมา แล้วจึงก้าวต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ 

 

 

วันนี้คือวันที่ซองจูตัดสินใจหวนคืนสู่วงการอีกครั้ง 

 

 

ตอนแรกเพียงตั้งใจจะหยุดพักเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นว่าพักยาวมาจนเกือบจะหนึ่งปีแล้ว ด้วยเวลาขนาดนั้นการกลับมาจึงต้องคิดอย่างรอบคอบ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด