(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท 5-4

Now you are reading (Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท Chapter 5-4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 5-4 เยียวยา

 

 

 

ซองจูพลิกเจ้า USB นั่นไปมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีนัก

 

 

“คำพูดคำจานายนี่มัน…ถ้าใช่แล้วจะทำไม ฉันก็แค่เอาให้ตามคำสั่งหรอก ขอบคุณสักคำก็ไม่มี ยังจะพูดหมาๆ แบบนั้นอีกเหรอ เข่าอ่อนเลยเนี่ย ให้ตายเถอะ”

 

 

“คำสั่ง? คำสั่งอะไร”

 

 

“ก็ไอ้นั่นไง ไอ้นั่นน่ะ”

 

 

ดงฮยอนพยักพเยิดปลายคางชี้ไปยัง USB ที่อยู่ในมือของซองจู ซองจูจ้องมองมันด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆ

 

 

“ยิ่งพูดมาแบบนี้มันยิ่งน่าสงสัยไปอีก ออกไปเลย เดี๋ยวผมเช็คเองว่ามันคืออะไรกันแน่”

 

 

“โอ้โฮ นี่! ถ้านายรู้ว่ามันเป็นอะไร นายจะต้องมาขอบคุณฉันแน่ๆ แต่นายกลับทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง!”

 

 

“บ้าเอ๊ย จู่ๆ ก็เอามาโยนให้แบบนี้ จะไม่ให้สงสัยได้หรือไง ไอ้นี่มันคืออะไรกันแน่”

 

 

ซองจูที่ไม่อาจอดกลั้นความโมโหเอาไว้ได้จึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา พอเห็นเช่นนั้นดงฮยอนก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับหัวเราะคิกคัก

 

 

“ดูทำสิ นายนี่ดูออกง่ายจริงๆ เลยนะ นี่ ฉันจะไปแล้ว ถือ USB นั่นไว้ให้แน่นจนกว่าจะไปถึงโซลนะ แล้วก็อยู่แบบนั้นไปอีกพันปีหมื่นปีเลย”

 

 

“บ้าเอ๊ย ก็ดูไม่เห็นจะมีอะไรสักนิด คงจะเป็นบทภาพยนตร์เรื่องต่อไปละสิ กลับดีๆ ล่ะ อย่าไปทะเลาะกับพี่ยองอุกอีกล่ะ”

 

 

“อยู่ที่นี่จะพูดถึงยองอุกขึ้นมาทำไมกัน”

 

 

“ที่ถามเนี่ยเพราะไม่รู้จริงๆ เหรอ ไปได้แล้ว รีบไปไกลๆ เลย”

 

 

ซองจูโบกมือไล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ ดงฮยอนได้แต่โมโหให้กับท่าทางไร้ความจริงใจแบบนั้น ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา เมื่อแน่ใจว่าประตูปิดลงแล้ว และอีกคนก็ออกไปแล้ว เจ้าตัวจึงกลับมามองพิจารณา USB ที่ถืออยู่ในทันที

 

 

“มาเพราะเรื่องงานจริงๆ เหรอ ของแบบนั้นส่งเมลล์มาก็ได้นี่ มันอะไรกันแน่นะ…”

 

 

ซองจูที่บ่นพึมพำ พร้อมจ้องมองเจ้า USB อยู่พักหนึ่งจึงได้ตัดสินใจเปิดฝาโน้ตบุ๊กออก แล้วเปิดเครื่อง ก่อนจะจัดการเสียบ USB เข้าไป เมื่อติดตั้งไดร์ฟเรียบร้อย โฟลเดอร์ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ ในตอนนั้นเองสีหน้าของซองจูก็ดูเหนื่อยหน่ายใจ

 

 

“อะไรเนี่ย ไฟล์เสียงเนี่ยนะ”

 

 

เมื่อได้เห็นข้อมูลที่ถูกใส่ไว้ในโฟลเดอร์แล้ว ใบหน้าของซองจูก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย แค่ที่จู่ๆ ก็โผล่มากะทันหันแบบนั้นมันก็น่าสงสัยพออยู่แล้ว ใน USB ที่ให้มาก็ยังใส่มาแค่ไฟล์เสียงแค่อันเดียว แบบนี้มันไม่ยิ่งน่าสงสัยกว่าเดิมเหรอ หรือว่าจะเป็นไฟล์ที่อัดเสียงที่เขาพูดถึงมุนเซจองให้ดงฮยอนฟังงั้นเหรอ นี่คงไม่ใช่การแบล็กเมล์จากดงฮยอนเพื่อให้เขายอมรับงานแปลกๆ หรอกนะ และแล้วซองจูก็รีบควานหาหูฟังในทันที

 

 

โชคดีที่หูฟังถูกวางทิ้งไว้ไม่ไกลจากตัวเขานัก เมื่อหาเจอแล้ว ซองจูก็จัดการเสียบมันเข้าไป แล้วกดเปิดไฟล์เสียงนั้นในทันที

 

 

สูดหายใจเข้าออกอย่างใจจดใจจ่ออยู่สักครู่ และทันใดนั้นเสียงกีตาร์อะคูสติกจังหวะแผ่วเบาก็ดังออกมาให้ได้ยิน มันเป็นเพลงที่ฟังดูเรียบๆ และอ่อนโยน เสียงเล่นดนตรีฟังดูไม่ค่อยดีนัก และดูไม่ชำนาญเอาเสียเลย แต่ว่าน่าแปลกที่หัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นมา ซองจูหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเอนตัวลงนอนบนเตียง

 

 

แม้จะมีบางส่วนที่เสียงเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาเหมือนยังปรับไม่เข้าที่นักดังออกมา แต่โดยรวมแล้วเพลงที่อัดมานี้ มันกลับทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก ในระหว่างที่ทำนองเพลงยังคงบรรเลงต่อไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำฮัมตามดนตรีดังแทรกเข้ามา ซองจูลืมตาที่หลับอยู่ในทันที นั่นคือเสียงของจองอูอย่างแน่นอน

 

 

เขาลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง และตั้งใจฟังเพลงส่วนที่เหลือ แม้ว่ามันจะเป็นเพลงที่มีความยาวแค่สามนาทีซึ่งสั้นกว่าที่คิดไว้ แต่สำหรับซองจูมันกลับให้ผลดียิ่งกว่าการได้พักผ่อนเป็นชั่วโมงเสียอีก พอเพลงนั้นจบลง เขาก็ผละจากโน้ตบุ๊ก แล้วไปต่อสายโทรหาจองอูในทันที

 

 

“สวัสดีครับ”

 

 

รอไม่นานเท่าไรจองอูก็รับสาย แม้ว่าจะหยุดพักไปได้ไม่นานนัก และเขาก็รู้สึกได้ว่าอีกคนคงอยากจะถามว่าโทรมาอีกแล้วเหรอ แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าจองอูจะรู้สึกอะไร ซองจูรีบตะโกนกลับไปในทันที

 

 

“นี่ เพลงน่ะ!”

 

 

คำพูดนั้นของซองจูทำให้จองอูยกยิ้มกว้างออกมา

 

 

“อ้อ ฟังแล้วสินะ”

 

 

พอได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงของอีกคน มันก็พลอยทำให้ซองจูรู้สึกอารมณ์ดีตามไปด้วย

 

 

“จู่ๆ ชินดงฮยอนก็มาหาฉัน แล้วเอาของที่ไม่มีที่มาที่ไปและดูไร้ประโยชน์แบบนั้นมาให้ ฉันก็เลยบ่นยับเลย…ที่จริงควรจะต้องชื่นชมด้วยซ้ำ”

 

 

“พี่ดงฮยอนมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจแย่”

 

 

“ก่อนจะทันได้พูด ฉันก็ไล่ไปแล้วละ”

 

 

ซองจูหัวเราะคิกคัก ขณะที่พูดถึงดงฮยอนว่าต้องรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน บางทีหากดงฮยอนมาได้ยินเข้าและได้เห็นว่าจองอูก็หัวเราะไปด้วย ก็คงได้ร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกมาแน่ แล้วทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุยเรื่องที่ยังคุยค้างเอาไว้ต่อ

 

 

“งานที่บอกเมื่อกี้เสร็จแล้วเหรอ”

 

 

“งานเมื่อกี้?”

 

 

“ก็นายบอกมีเรื่องด่วน”

 

 

“อ้อ นั่นน่ะ…พี่ซองฮุนเซฟไฟล์ที่อัดเสียงไปผิดน่ะ ก็เลยขอให้ช่วยส่งไปให้ใหม่อีกรอบ ตอนนี้หาเจอแล้ว ไม่เป็นไรแล้วละ”

 

 

“มินซองฮุนที่ปกติไม่เคยจะทำพลาดเลยแบบนั้นเนี่ยนะ ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ เพราะมีแฟนก็เลยไม่มีสมาธิงั้นเหรอ”

 

 

“พวกพี่เขาก็คบกันนานมากแล้วนะ…ถ้าตัดเรื่องที่พี่ซองฮุนดูเหมือนคนทำท่าทางประหม่าอยู่ทุกวัน ก็คงเป็นคู่ที่ไม่หวือหวาอะไรล่ะมั้ง”

 

 

“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน สำหรับเจ้าคนที่เหมือนกำแพงหินแบบนั้นแล้ว ก็คงต้องเป็นคนที่เรียกได้ว่ายอดคนแล้วละ”

 

 

“เป็นคนดีสินะ”

 

 

พูดออกมาแบบนั้นแล้วจองอูก็หัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

“อ้า ก็ใช่แหละ แต่ว่าเพลงนี้มันอะไรกัน นายดีดกีตาร์เองเหรอ พอดีดไอ้นั่นแล้ว ดูจะอัดเสียงได้ไม่ดีเท่าไหร่สินะ”

 

 

“อ้อ นั่นน่ะ เป็นเพลงที่กำลังคิดว่าจะเอาไปใส่ในโซโล่อัลบั้มดีไหมน่ะ”

 

 

“ว่าแต่ทำไมทำแค่นี้ล่ะ ที่ได้ยินจากเจ้าพวกนั้นว่านายเป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบนี้นา ตั้งแต่เริ่มเพลงแล้ว มันยังดูไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่เลยนะ”

 

 

จองอูยิ้มน้อยๆ ให้กับคำถามของซองจูที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

 

“ก็แค่พออยู่ห้องคนเดียวแล้วคิดถึงนายขึ้นมาก็เลยรีบอัดเอาไว้น่ะ แล้วอีกอย่างเพราะมันเป็นกีต้าร์อะคูสติก…นั่นฉันก็เต็มที่สุดๆ แล้วนะ”

 

 

“หืม พูดอะไรน่ะ”

 

 

คำพูดที่ไม่อาจจะเข้าใจความหมายได้นั้นทำให้ซองจูเอียงหัวไปมาอย่างสงสัย เพราะเป็นกีต้าร์อะคูสติก เต็มที่แล้ว? นั่นมันหมายถึงอะไรล่ะ เขายังคงเอียงหัวไปมา ขณะที่ก็ฟังเสียงของจองอูไปด้วย

 

 

“นิ้วก้อยข้างซ้ายของฉันมันออกแรงไม่ค่อยได้น่ะ ถ้าอัดเสียงด้วยพวกเบสหรือกีต้าร์ไฟฟ้า มันก็คงพอปรับแก้ได้ แต่เพลงนั้นฉันใช้ของใกล้ๆ ตัว ซึ่งมันก็มีแค่กีตาร์อะคูสติก แล้วก็อัดด้วยโทรศัพท์มันก็เลยออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของอีกคน ซองจูก็เกิดรู้สึกเสียใจที่ตัวเองพูดอะไรไม่ได้เรื่องออกไปแบบนั้น อยากจะตบปากตัวแรงๆ แทนที่จะบอกว่าดีแล้ว เขากลับเผลอพูดอะไรที่ไปสร้างบาดแผลให้อีกคนโดยไม่รู้ตัวออกไป หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วก็แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไร แต่พอเป็นเรื่องของจองอู มันกลับเปลี่ยนไป ซองจูรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ

 

 

“…ขอโทษ”

 

 

“ไม่หรอก ไม่เป็นไร นายทำไปเพราะไม่รู้นี่นา”

 

 

“ถึงงั้นก็เถอะ”

 

 

“ช่างเถอะ อย่าคิดแบบนั้นเลย ครั้งหน้าถ้ามันเสร็จสมบูรณ์ ฉันจะให้นายฟังนะ ตอนนี้มีงานอื่นต้องทำ คงต้องเลื่อนออกไปก่อน”

 

 

“นายจะออกอัลบั้มของตัวเองเมื่อไหร่”

 

 

“ไม่รู้สิ คงจะต้องรอไปสักหน่อยหนึ่งปี? สองปี?”

 

 

“อะไรกัน”

 

 

“ปกติฉันก็ไม่ได้ออกอัลบั้มบ่อยๆ อยู่แล้ว มีงานอื่นต้องทำจนยุ่งไปหมดน่ะ”

 

 

จองอูพูดแบบนั้นพร้อมกับระบายยิ้มบางๆ รู้สึกเหมือนได้เห็นใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างปรากฏออกมา ซองจูทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียง ทั้งที่ยังมีโทรศัพท์แนบอยู่ที่หู

 

 

“อยากรีบถ่ายให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับไป”

 

 

“อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง เวลาผ่านไปเร็วจะตาย ทำงานไปอีกแป๊บๆ เอง ฉันเองก็คิดถึงนายเหมือนกัน”

 

 

ฟังเสียงจองอูที่พูดออกมาแบบนั้นแล้ว ซองจูก็ค่อยๆ หลับตาลง เสียงของจองอูที่ได้ฟังในตอนนี้ กับเสียงทำนองจากกีตาร์หยาบๆ ที่ได้ฟังเมื่อครู่ มันกำลังช่วยปลอบโยนซองจูที่หมดแรงไปกับการถ่ายทำ

 

 

 

 

“โอ๊ย จะตายแล้ว ทำไมถึงได้เหนื่อยขนาดนี้เนี่ย ฉันคงแก่แล้วสินะ ร่างกายเริ่มไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วเนี่ย”

 

 

“พี่ยังดูเด็กอยู่เลยนะครับ ทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ คนอื่นมาได้ยิน คงพากันช็อก”

 

 

“มินซิก พี่น่ะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทำงานเกินเวลาได้สบายๆ เลย แต่ตอนนี้น่ะ ร่างกายนี่แทบจะไม่ไหวแล้วนะ นี่มันคือเรื่องของข้อจำกัดของร่างกาย โอ๊ย อู๊ย…”

 

 

ซองจูนอนแผ่ลงบนเบาะหลังของรถด้วยท่าทางเจ็บปวดไปทั้งตัว

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน ถ่ายทำเสร็จ เขาก็มักจะกลับมาด้วยอารมณ์ไม่พอใจอยู่ตลอด แล้วก็ค่อย ชๆ แสดงนิสัยร้ายๆ ออกมาทีละอย่างสองอย่าง แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเช่นนั้น หากตอนนี้เขากลับนอนโอดครวญอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ที่เบาะหลัง มันช่างเป็นความจริงอันน่าตกใจ มินซิกหันกลับไปมองที่เบาะหลังแวบหนึ่งในระหว่างที่รอสัญญาณไฟ ก่อนจะเอ่ยปากออกมา

 

 

“ยังไงซะถ้ากลับไปตอนนี้ก็จะได้พักยาวไปอีกหลายวันเลยนะครับ”

 

 

“นั่นมันก็ใช่ แต่ผู้กำกับนั่นดูยังไงก็คงจะให้ถ่ายซ่อมแน่ ใช่ไหมล่ะ นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหม”

 

 

ซองจูซักไซ้มินซิก แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา อันที่จริงเมื่อครู่ตอนที่ออกมาจากกองถ่าย เขาดันไปได้ยินผู้กำกับกับผู้ช่วยกำลังหารือกันเรื่องวางคิวถ่ายซ่อม ดังนั้นก่อนที่ข่าวนั้นจะถูกส่งผ่านบริษัทมาถึงเขาอย่างเป็นทางการ ซองจูจึงต้องยื่นเงื่อนไขขอวันพักไปเสียก่อน

 

 

“พี่ครับ ให้ตรงกลับไปบ้านเลยใช่ไหมครับ”

 

 

พอเห็นว่าใกล้ถึงเขตโซลเข้าไปทุกที เขาจึงได้เอ่ยถามซองจูออกไป แต่ว่ากลับไม่มีคำตอบใดกลับมา พอเขาลองมองกระจกมองหลัง ใบหน้าที่กำลังหลับลึกของอีกคนก็ปรากฏสู่กรอบสายตาของมินซิกในทันที

 

 

“โธ่ เห็นทีคงต้องบำรุงร่างกายให้พี่สักหน่อยแล้วสิ”

 

 

มินซิกพึมพำ พร้อมกับเหยียบคันเร่งต่อไป

 

 

 

 

ซ่า…

 

 

ซองจูกำลังยืนเหม่ออยู่ใต้สายน้ำอุ่นที่รินไหลลงมา

 

 

อันที่จริงใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงก็มาถึงโซลได้แล้ว แต่วันนี้รถติดอย่างน่าประหลาดใจ ในคืนวันธรรมดาแบบนี้ ทำไมรถถึงติดได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้ นั่นทำให้เขาหงุดหงิดอย่างมาก แต่ว่าด้วยกำลังคนธรรมดาคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัดนี้ได้ สุดท้ายซองจูก็ต้องเสียเวลาโดยเปล่าอยู่บนถนนนานกว่าสี่ชั่วโมง พอมาถึงห้องก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว

 

 

ซองจูรีบไล่มินซิกที่ดูจะเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเขากลับไปทันที ก่อนที่จะรีบตรงดิ่งขึ้นมาที่ห้องชุดของตัวเอง แม้ว่ามันจะมีเพียงห้องว่างเปล่า เย็นเชียบกำลังรอคอยเขาอยู่เท่านั้นก็ตาม แต่ว่าถึงจะเป็นเพียงกระท่อมปลายนา บ้านก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดอยู่แล้ว เขาอยากจะรีบไปทิ้งตัว แล้วนอนหลับแบบลืมตายบนเตียงกว้างที่กำลังรอคอยอยู่

 

 

พอประตูลิฟต์เปิดออก เขาก็เร่งฝีเท้าไปทางประตูใหญ่ ปลดล็อกเปิดประตูออก และแล้วความโดดเดี่ยวก็พุ่งเข้ามาทักทายเขาในทันที

 

 

มันเป็นความรู้สึกที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกเลย ตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยจะรู้สึกโดดเดี่ยวเลยสักนิด เขามักจะพูดเล่นๆ อยู่ตลอดว่า อยู่คนเดียวก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เขาเชื่อว่าการเชื่อถือในตัวเองมันปลอดภัยกว่าการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น สุดท้ายแล้ว เขาก็เลยกลายเป็นพวกที่ใช้ชีวิตคนเดียวมาเรื่อยๆ เขาใช้ชีวิตที่ผ่านมาด้วยสบายใจของตัวเอง ด้วยความเชื่อที่ว่าความสำเร็จในชีวิตนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด

 

 

ชีวิตที่เป็นมาแบบนั้นของซองจู เมื่อได้มาเจอกับจองอูแล้ว มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด